ที่แท้ หลังจากที่อวี้โหรวจวงถูกนำตัวกลับเมืองหลวง เนื่องจากรักษาอาการบาดเจ็บที่ศีรษะจึงนอนไม่ได้สติมาตลอด ส่วนอวี้เหวินผิงก็ไปรายงานอาการบาดเจ็บกับจย่าไทเฮาและรัชทายาท บอกว่าลูกสาวอาการเช่นนี้หากมอบให้กรมอาญาจัดการ ไม่เพียงแค่ไม่ออกมาไต่สวน ยิ่งเรื่องในคุกตะรางคงไม่มีชีวิตรอดแน่ จึงขอร้องไม่ให้นำตัวลูกสาวเข้าคุกชั่วคราว
มารดาผู้ให้กำเนิดอวี้โหรวจวง ฮูหยินชั้นเก๊ามิ่ง[1]หรือฮูหยินประจำแคว้นฮวา[2]ร้องห่มร้องไห้เข้าวัง นึกแค้นใจที่ตัวเองได้ทำผิดไป ที่เอาแต่พูดลูกสาวตนโดนกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม จย่าไทเฮาเป็นผู้ที่นึกถึงความรู้สึกมากที่สุด กอปรกับรับไม่ไหวต่อการคุมคามของภรรยาอวี้เหวินผิง เดี๋ยวหนึ่งคนมาเดี๋ยวสองคนไป จึงบอกให้อวี้เหวินผิงพาลูกสาวกลับมารักษาอาการบาดเจ็บ รอฟื้นก่อนค่อยส่งเรื่องไปให้กรมอาญา ส่วนรัชทายาทยังต้องพึ่งความเห็นจากไทเฮาอยู่
หลังจากอวี้โหรวจวงถูกนำตัวกลับมาที่จวนของสมุหนายก โดนกักบริเวณอยู่แต่ในห้อง อวี้เหวินผิงที่ขอร้องต่อแพทย์ถึงสองสามครา แม้จะขอร้องกับหมอหลวงที่คุ้นเคยกันดี ก็ต่างอับจนปัญญากันทั้งนั้น
ถึงเมื่อวาน ขบวนล่าสัตว์วสันตฤดูมาถึงเมืองหลวงเมื่อวันก่อน อวี้โหรวจวงเพิ่งจะฟื้นก็เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย สาวใช้ที่ไม่ระวังก็ล้มหัวคะมำจุมเค้กที่อยู่บนพื้นจนได้กินเต็มปาก ไม่รู้จักใครทั้งสิ้นแล้ว
อวี้โหรวผิงร้องไห้พลางรายงานต่อไทเฮาและองค์รัชทายาท กล่าวว่าสมองของลูกสาวตนไม่สมประกอบแล้ว เกรงว่าจะหาพบได้ยากยิ่ง
จย่าไทเฮาตะลึงไปชั่วขณะ จึงส่งจูซุ่นให้พาหมอหลวงไปดู จูซุ่นและหมอหลวงก็นำข่าวมาบอก เดิมทีคุณหนูอวี้ที่งามบริสุทธิ์และหยิ่งยโสนั้นได้กลายเป็นคนสติฟั่นเฟือนไปเสียแล้ว สกปรกมอมแมมไปทั้งตัว เอาแต่ยิ้มโง่ๆ แม้ว่าตนจะเรียกเท่าไหร่ก็ไม่รู้ตัว
แม้นจย่าไทเฮาจะโกรธที่อวี้โหรวจวงกระทำความผิด แต่ในเหตุการณ์เช่นนี้ คนก็สติฟั่นเฟือนไปแล้วจะยังไต่สวนอะไรอีก ยิ่งต้องถ่วงเวลาไปก่อน เพื่อให้อวี้โหรวจวงได้อยู่ที่จวนอวี้
พอกลับเมืองหลวงได้สองวัน สำนักการพระราชวงศ์ก็ส่งคนมาเยือนสกุลอวิ๋น เพื่อทำนายดวงชะตาแปดอักษร[3]ของอวิ๋นหว่านชิ่น หลังจากการทำนาย อวิ๋นเสวียนฉั่งก็รับราชโองการพิธีราชาภิเษกสมรสของลูกสาวคนโตจากวังหลวงอย่างเป็นทางการ แล้ววันนั้นอวิ๋นเสวียนฉั่งก็นำราชโองการกลับไปที่จวน สกุลอวิ๋นพากันคึกคักยิ่ง
ถงซื่อมีความสุขเป็นอย่างมาก แม้จะไม่รู้ตัวหนังสือ ก็ยังนำราชโองการพิธีราชาภิเษกสมรสผ้าไหมสีทองลายเมฆมาวางที่ใต้แสงไฟ แล้วมองซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งแนวตั้งแนวนอน จนกลับถึงทางเดินเรือนตะวันตก ก็ยังคงนึกถึงอยู่
อนุฟางที่ประคองเหล่าไท่ไท่กลับเรือน ระหว่างทางก็ได้ยินเหล่าไท่ไท่ยกยอหลานสาวคนโตราวกับเป็นมีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่จะมี ใต้หล้าหาได้พบได้ง่ายไม่[4] จนสกุลอวิ๋นแทบจะนับว่าหญิงสาวผู้นี้โดดเด่นที่สุด ในใจจึงริษยายิ่ง ลูกสาวตนก็ได้แต่งงานกับท่านอ๋องเช่นกัน แม้จะพูดได้ไม่เต็มปากนัก แต่อย่างน้อยก็ใกล้เคียงอันดับหนึ่งที่สุด อีกทั้งเว่ยอ๋องก็เป็นผู้ที่ฮ่องเต้โปรดปรานมากที่สุด ในเวลานั้นทำไมยังไม่เคยเห็นคนในสกุลชื่นชมบ้าง จนสุดท้ายก็ทนไม่ได้ เบ้ปาก แล้วหัวเราะเยาะเสียงต่ำออกมา
ถงซื่อได้ยินอนุฟางไม่พอใจ จึงชักสีหน้าว่า “ในบ้านกำลังมีเรื่องน่ายินดี ไฉนเจ้าทำหน้าเช่นนี้? โชคไม่ดีของถงเอ๋อร์ ที่ไม่ได้รับทรัพย์สินของมีค่า เกรงว่าบัดนี้สกุลอวิ๋นของเรายังจะหวาดกลัวอยู่ หวาดกลัวจนมีผลกระทบไปด้วย นานๆ ทีพี่ชิ่นจะสามารถนำความภาคภูมิให้พวกเรา หากเจ้าอยากจะหัวเราะข่มขื่นริษยาเช่นนี้อีก ทำลายโชคลาภสกุลเรา ข้าจะให้เจ้าเห็นดีแน่!”
อนุฟางที่ไม่กล้าเอ่ยวาจา กลับขมวดคิ้วพึมพำว่า “…เหล่าไท่ไท่คิดจะปิดปากข้าน้อย ข้าน้อยก็จะพูดอยู่ดี ไม่ใช่ว่ารำคาญปากข้าน้อยหรือ เหล่าไท่ไท่ก็อย่าดีใจจนออกนอกหน้านัก ฐานะของฉินอ๋องนั้นเจ้าก็น่าจะได้ยินมาบ้าง มารดาก็แค่เป็นชนเผ่าจากทางเหนือที่ส่งมาสมรสเพื่อนสันติภาพ ที่ฮ่องเต้ไม่เคยให้ความสำคัญ แม่นางเฮ่อเหลียนนั่นจนสิบยี่สิบปีก็ยังไม่ได้เลื่อนขั้น แล้วลูกชายจะได้ดีเด่ที่ไหนกัน? ยิ่งไปกว่านั้น แม่นางเฮ่อเหลียนนั่นจะได้เข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้หรือ? ฉินอ๋องจะได้ดีเช่นไรกัน?ถึงเรื่องงานนั้นจะดีเว่ยอ๋องก็เถอะ อย่าว่าข้าเลวที่ปากเสียเลย หากเกิดเรื่องราวดังในวันนี้ จุดจบของฉินอ๋องก็ไม่อาจเทียบเว่ยอ๋องได้!”
“เจ้า…เจ้ายังจะกล้าปากเสียอยู่อีกนะ!” ถงซื่อถึงกับลนลาน แล้วง้างมือข้างหนึ่งขึ้น ที่อยากจะฟาดเสียจริง แต่กลับถอนหายใจ แล้วลดมือลงไป ไม่พูดไม่ได้แล้ว แม้ปากอนุฟางจะน่ารังเกียจ แต่เรื่องการวิเคราะห์ก็ไร้ซึ่งเหตุผล ที่โดนนางปั่นหัวเช่นนี้ ความดีอกดีใจแต่เดิมของถงซื่อก็ลดลงไปไม่น้อย
ในตอนเช้าหลังสองสามวัน ข้าหลวงจากสำนักการพระราชวงศ์ก็มาเยือนเพื่อกำหนดการหมั้นหมาย ซึ่งเสนาธิการเกาที่จวนฉินอ๋องเป็นตัวแทนฝ่ายชาย ก็มาเยือนเช่นกัน เพื่อมอบสินสมรสจากราชวงศ์ เหลือเพียงรอเลือกฤกษ์จากสำนักดาราศาสตร์[5] ก่อนจะกลับก็ประกาศต่ออวิ๋นเสวียนฉั่งว่า ช่วงนี้สามารถเริ่มให้คุณหนูจัดการสินเดิมเจ้าสาว[6]ได้แล้ว อวิ๋นเสวียนฉั่งก็รีบตอบรับไปทันที
รอจนข้าหลวงและองคมนตรีเกาจากสำนักการพระราชวงศ์กลับไปแล้ว ถงซื่อก็รีบเข้ามาดูสินสอดทองหมั้นของที่วังหลวงส่งมา นางออกมาจากโถงแล้วรีบตรงดิ่งมาที่ชานเรือน
อนุฟาง เหลียนเนียง และฮุ่ยหลานก็รีบตามหลังเหล่าไท่ไท่มา ไม่กล้าที่จะเมินเฉยแล้ว ครั้งนั้นที่หลังจากถงซื่อทะเลาะกับนายท่านก็ล้มป่วยลง หลายคนก็จำฝังใจ รู้ดีว่านายท่านห่วงใยนางไม่สามารถขัดใจได้ หลายวันมานี้จึงปรนนิบัติทั้งซ้ายขวา คอยเอาอกเอาใจถงซื่อ โดยเฉพาะอนุฟางและเหลียนเหนียง ซึ่งแอบแข่งกันอยู่ลับๆ โดยที่ไม่มีใครยอมล้าหลังแต่อย่างใด
ในชานเรือน สินสอดที่ถูกวางอย่างสงบนิ่ง บนกล่องก็ผูกด้วยผ้าไหมสีแดงผืนใหญ่ ที่รอให้เจ้าของคนใหม่ได้ยล
ซึ่งมีทั้งสิ้นสามสิบสี่กล่องใหญ่ และยี่สิบสี่กล่องเล็ก
อนุฟางเหลือบมองจากด้านหลัง ในใจราวกับหินก้อนใหญ่ร่วงหล่นกับพื้น ใบหน้าเผยรอยยิ้มดูแคลนเล็กน้อย หลายวันก่อนที่พี่สาวจะออกเรือน นางก็เคยเข้าใจว่าฮ่องเต้จะจัดงานแต่งอย่างหรูหราอลังการ ที่จะจัดตามแบบต้าเซวียน ที่แท้มาตรฐานสินสอดที่ฉินอ๋องหมั้นหมายคู่หมั้นก็แค่สามสิบสี่กล่องใหญ่ ยี่สิบสี่กล่องเล็ก ทว่านี่ก็เป็นเพียงมาตรฐานทั่วไป โดยทั่วไป องค์ชายจะได้รับน้ำใจเล็กน้อยจากองค์ฮ่องเต้ หรือสกุลมารดาลุงขององค์ชายที่เฟื่องฟู แน่นอนว่าอาจจะเพิ่มตามสถานการณ์ ระหว่างการหมั้นหมายเจิ้งเฟยขององค์ชาย องค์ชายคนโตและองค์ชายรองจะมอบสินสอดช่วงแรกตามกฎมาตรฐานห้าสิบหกสิบกล่อง
ทว่าในตอนนี้กล่องที่วางอยู่บนพื้นไม่ได้มากนัก พูดให้กระจ่างคือ มีเพียงของจากสายเลือดจากต่างแดนขององค์ชาย สุดท้ายก็ไม่ได้รับความสำคัญ ก็เทียบไม่ได้กับองค์ชายที่เกิดในบ้านเกิดเมืองนอนตนเองอยู่ดี
ฮ่องเต้ปฏิบัติต่อฉินอ๋องผู้นี้อย่างตั้งใจจะกดขี่มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตำแหน่งของเขา กระทั่งพิธีสมรส คงไม่ยอมใหเขาได้ไต่เต้าขึ้นเป็นใหญ่
เจ้าสาวได้เป็นเจิ้งเฟยแล้วอย่างไร? เจ้าสาวผู้นี้ไร้ซึ่งอำนาจในกำมือ ยิ่งไม่มีอะไรเป็นที่น่าโปรดปรานของท่านอ๋องขี้โรค มีอะไรให้น่าภูมิใจกัน!
เมื่อคิดเช่นนี้ อนุฟางจึงยืดอกขึ้น ความริษยาหลายวันนี้ก็ลดลงไปครึ่งหนึ่ง
ถงซื่อย่อมชัดแจ้งกับพิธีการภายใน นึกถึงคำพูดที่ไร้สาระก่อนหน้าของอนุฟาง จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ฮุ่ยหลานที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่น ก็เอ่ยอย่างปลอบใจว่า “เหล่าไท่ไท่ อย่าลืมสิ คุณหนูใหญ่ยังไม่ได้รับชุดผลึกจินเฝ่ยจากฉินอ๋องเลย สิ่งนั้นน่ะ เป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุดมากกว่าสิ่งอื่นใดแล้วนะ”
——
[1] ชั้นเก้ามิ่ง คือส่วนหนึ่งของบรรดาศักดิ์สตรีข้างนอก ซึ่งหมายถึงภรรยาของขุนนางระดับ 1 ถึงระดับ 5
[2] ฮูหยินประจำแคว้น เป็นชื่อตำแหน่งที่ฮ่องเต้แต่งตั้งให้สตรีในสมัยราชวงศ์ถัง
[3] ดวงชะตาแปดอักษร เป็นวิธีทำนายดวงตามโหราศาสตร์จีน โดยใช้ตัวอักษรแทนวัน เดือน ปีเกิดและเวลาตกฟากมาคำนวณผูกดวง มีอักษรจีนทั้งสิ้น 8 ตัวอักษร แบ่งเป็น 2 แถวบนและล่าง แถวละ 4 ตัว แถวบนแทนธาตุต่างๆ ได้แก่ ทอง น้ำ ไม้ ไฟ ดิน ซึ่งแบ่งตามคู่หยิน-หยาง เช่น ทองหยิน ทองหยาง ส่วนแถวล่างจะแทนปีเกิดตาม 12 นักษัตร คือปีชวด ถึง ปีกุน เพียงใช้ 8 ตัวอักษรนี้ สามารถทำนายได้ทั้งบุคลิก นิสัยใจคอ เงินทอง โชคลาภ อายุ ครอบครัว ญาติมิตร บริวารและเพื่อนฝูง มากมายหลายด้าน
[4] มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่จะมี ใต้หล้าหาได้พบได้ง่ายไม่ เป็นการเปรียบว่าสิ่งนั้นช่างดีเหลือเกิน หาพบได้ยากยิ่ง
[5] สำนักดาราศาสตร์ รับผิดชอบงานเฝ้าสังเกตดวงดาวเพื่อคำนวณและประกาศใช้ปฏิทินหลวง
[6] สินเดิมเจ้าสาว เวลาออกเรือน เจ้าสาวจีนจะต้องมีทรัพย์สินเงินทอง เสื้อผ้าหมอนมุ้ง เครื่องเรือน และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เหล่านี้ติดตัวไปบ้านเจ้าบ่าวด้วยถือเป็นสินส่วนตัวเจ้าสาว ยิ่งมีมากครอบครัวสามียิ่งเกรงใจมาก