ท่าทางของจิ่วเยี่ยจริงจังและเคร่งขรึมยิ่งนัก การที่เขาพ่นคำพูดอันตรายออกมานั่นหมายความว่า ‘ห้ามขัดขืนเขาเป็นอันขาด’

มู่เฉียนซีรู้ตัวเองดีว่านางมิอาจขัดขืนบุรุษอย่างจิ่วเยี่ยได้ จึงยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี “จิ่วเยี่ย หากเจ้าสามารถหลับตาทำแผลให้ข้าได้ เช่นนั้นเจ้าก็ลงมือเลยเถอะ”

“เหตุใดข้าถึงต้องหลับตาด้วย มู่เฉียนซี เจ้าน่ามองเช่นนี้ จะให้หลับตาได้อย่างไร ?” จิ่วเยี่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

ทว่าคำกล่าวของเขาทำให้มุมปากมู่เฉียนซีกระตุกอย่างแรง บุรุษผู้นี้เห็นรูปร่างนางหมดแล้วทั้งตัว อีกทั้งยังมีหน้ามาบอกว่าน่ามอง อยากจะมองอีก นางควรฆ่าเขาให้ตายไปเสียเลยดีหรือไม่ ?

มู่เฉียนซีแทบคลั่ง น่าเสียดายที่ความคิดนี้คิดได้เพียงในใจเท่านั้น นางมิอาจทำอะไรคนอย่างจิ่วเยี่ยได้ ความแข็งแกร่งของนางกับความแข็งแกร่งของจิ่วเยี่ยแตกต่างกันเกินไป

ดวงตาสงบ ไม่มีร่องรอยของความโลภแต่อย่างใด เวลานี้จิ่วเยี่ยไม่ได้ป่วย เขาไม่มีอาการเฉกเช่นคราก่อน เพียงแค่พูดในสิ่งที่เขาคิดอยู่ภายในใจเท่านั้นเอง

มู่เฉียนซีกล่าว “แล้วถ้าหากข้าบอกว่าไม่ได้ล่ะ ?”

“ซี… ความแข็งแกร่งของเจ้ามิอาจสู้ข้าได้ ทางที่ดี หลีกเลี่ยงการใช้กำลังจะดีกว่า”

ชั่วขณะหนึ่ง มู่เฉียนซีรู้สึกว่าร่างของตนเองไม่สามารถขยับได้ นางทำได้เพียงมองดูจิ่วเยี่ยถอดเสื้อผ้า ทำแผลใหม่ให้เท่านั้น  เขาดูไม่เหมือนหมอเลย กลับดูเหมือนนักฆ่าเสียมากกว่า แต่ตอนนี้วิธีการทำแผลของเขานั้น ชำนาญราวหมอมาเองก็ว่าได้

จิ่วเยี่ยทำแผลพลางชื่นชมผิวของนางที่ขาวดั่งหิมะ ความชื่นชมนี้ของเขาเป็นความรักที่บริสุทธิ์ ภายในดวงตาสีฟ้าคู่นั้นไม่มีร่องรอยของเจตนาอันชั่วร้ายแฝงอยู่แต่อย่างใด

มู่เฉียนซีลอบพึมพำกับตัวเอง “จิ่วเยี่ยผู้นี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก”

สายตาเช่นนี้… ถึงแม้ว่าเขาจะเห็นเรือนร่างนางหมดแล้ว แต่นางก็ไม่วายคิดอยากจะวางยาพิษให้บุรุษผู้เจ้าเล่ห์นี่ตาบอดไปเสีย

จิ่วเยี่ยแกะผ้าพันแผลแผ่นสุดท้ายออกก่อนจะนำเอาเสื้อสีดำยาวมาคลุมให้นางพลางกล่าวว่า “เสร็จแล้ว”

มู่เฉียนซีกัดฟันแน่น “จิ่วเยี่ย ข้าอยากจะฉีกเนื้อเจ้าออกเป็นชิ้น ๆ นัก”

จิ่วเยี่ย “ได้ รอให้เจ้ามีพลังแข็งแกร่งกว่าข้า เจ้าอยากจะทำอะไรกับข้าก็ตามแต่เจ้าปรารถนา แต่ตอนนี้…”

มู่เฉียนซีโกรธระคนเจ็บใจเล็กน้อย นางรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเขาต้องการจะกล่าวอะไรออกมา เพียงแต่ตอนนี้นั้น พลังความแข็งแกร่งของนางช่างน้อยนิด นางอ่อนแอเกินกว่าที่จะแก้แค้นเขาได้

มู่เฉียนซีกล่าวว่า “จิ่วเยี่ย ตอนนี้ข้าขอให้เจ้าหันหลังไปและไปยืนห่าง ๆ ข้าหน่อยได้หรือไม่ ? ข้าจะเปลี่ยนชุด”

จิ่วเยี่ยโอบกอดนางไว้พลางกล่าว “ซี… ข้าชอบที่เจ้าใส่ชุดของข้า”

มู่เฉียนซีไม่พอใจเล็กน้อย “จิ่วเยี่ย เจ้าชอบอะไรพิลึกพิลั่นนัก ข้าทนไม่ไหวจริง ๆ”

“ข้าชอบ เช่นนี้ร่างของเจ้าก็จะมีกลิ่นกายของข้าอยู่ตลอดเวลา” จิ่วเยี่ยเข้าใกล้มู่เฉียนซีและกระซิบเบา ๆ ข้างหูนาง

ดูเหมือนว่าจิ่วเยี่ยจะชอบให้นางสวมใส่อาภรณ์ของเขามาก

หิมะตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ร่างของทั้งสองแนบชิดติดกัน หัวใจสองดวงเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ  ในขณะที่จิ่วเยี่ยเงยหน้าขึ้นมานั้น ปลายจมูกของทั้งสองสัมผัสกัน

จิ่วเยี่ยกล่าวถามขึ้น “ซี… เจ้ายังไม่ลืมใช่หรือไม่ เรื่องที่เจ้าเคยให้คำมั่นสัญญาไว้กับข้า”

“คำมั่นสัญญาเรื่องอะไรรึ ?” มู่เฉียนซีเอ่ยถาม น้ำเสียงของจิ่วเยี่ยทำให้นางที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ได้สติกลับคืนมาทันที

“เจ็ดวัน”

เมื่อได้ยินคำว่า ‘เจ็ดวัน’ มู่เฉียนซีพลันตกใจ หัวใจสั่นสะท้านขึ้นมาทันที นางอยากจะคิดบัญชีกับบุรุษผู้นี้ยิ่งนัก แต่การคิดบัญชีกับจิ่วเยี่ย ผลลัพธ์คงจะออกมามิสู้ดี อีกทั้งยังดูรุนแรงอีกด้วย

นางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ มันเป็นเพียงแค่การจูบเท่านั้นมิใช่หรอกหรือ ?  ถือว่าเพิ่มประสบการณ์การจูบของตัวนางเองก็แล้วกัน

ร่างมู่เฉียนซียืนตรงอยู่ภายในอ้อมแขนของเขา ศีรษะเอียงเล็กน้อย สองมือยกขึ้นคล้องคอเขาเอาไว้ นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย กล่าวเสียงแผ่วเบา “จิ่วเยี่ย ทักษะการจุมพิตของเจ้าที่ผ่านมาไม่ค่อยเท่าไหร่  วันนี้ข้าจะทำให้เจ้ารู้สักคราว่าการจุมพิตที่แท้จริงมันเป็นเช่นไร”

แน่นอนว่าการที่นางกล่าวไปเช่นนั้น มิใช่เป็นเพราะว่านางมีประสบการณ์มาก่อนแต่อย่างใด เพียงแต่นางเคยเห็นผู้คนในสมัยปัจจุบันจูบกันบ่อย ๆ ก็เท่านั้นเอง แม้นางจะไม่เคยจูบกับใครมาก่อน แต่ก็เคยผ่านตามาบ้าง

ทว่าการตอบโต้ของมู่เฉียนซีทำให้ดวงตาจิ่วเยี่ยฉายแววอันตรายมากขึ้นเรื่อย ๆ แววตาเช่นนี้ราวกับจะกลืนกินมู่เฉียนซีเข้าไปทั้งร่าง

“ซี… เจ้าคิดจะยื้อเวลาใช่หรือไม่ ?”

“ข้าเปล่าสักหน่อย”

ริมฝีปากอันแดงระเรื่อยื่นเข้าไปใกล้ จากนั้นจูบลงเบา ๆ อย่างนุ่มนวลและอ่อนโยนที่สุด  การจูบที่สมบูรณ์แบบนำพาความเสียวซ่านและความเร่าร้อนให้พุ่งเข้ามาในร่างกาย ทำให้มนุษย์อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากครอบครอง

มู่เฉียนซีไม่คิดเลยว่าการจูบของนางจะทำให้มุมปากของจิ่วเยี่ยยกขึ้นเป็นรอยยิ้มได้

ในความคิดของเขา ดวงตาคู่นั้นของนางช่างมีเสน่ห์ยิ่งนัก

จากนั้นครู่หนึ่ง นางสามารถเปิดริมฝีปากของจิ่วเยี่ยได้ ลมหายใจของจิ่วเยี่ยร้อนผ่าว เขาเริ่มจูบดุเดือดขึ้นเรื่อย ๆ

ยุ่งเหยิงไปกันใหญ่แล้ว!

มู่เฉียนซีตกตะลึงอย่างยิ่งเมื่อเห็นเปลวไฟที่ลุกโชนภายในดวงตาคู่นั้นของจิ่วเยี่ย ดวงตาของนางเบิกกว้างแทบถลนออกมานอกเบ้า  อาการป่วยของจิ่วเยี่ยกำเริบขึ้นอีกแล้วรึ ?

ร่างมู่เฉียนซีแนบชิดติดกับร่างของจิ่วเยี่ย นางมีเพียงเสื้อคลุมยาวสีดำตัวเดียวเท่านั้นที่กั้นระหว่างร่างของทั้งสองเอาไว้

อันตราย!

มันช่างอันตรายยิ่งนัก!

ดวงตามู่เฉียนซีจ้องเขม็งอยู่ที่บุรุษผู้งดงามหาที่เปรียบมิได้ผู้นี้ จูบของจิ่วเยี่ยยิ่งยาวนานขึ้นเรื่อย ๆ

หลังจากที่จูบอันดุเดือดของจิ่วเยี่ยสิ้นสุดลง เขาก็โน้มตัวลงกล่าวกับนาง “ซี… เจ้าโกหกข้า”

“แท้จริงแล้วทักษะการจูบของข้าดีเลิศ” มู่เฉียนซีได้ยินเช่นนี้ก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง

ปลายนิ้วอันเรียวยาวนุ่มนวลของเขาแตะสัมผัสวนรอบริมฝีปากของนางเบา ๆ และช้า ๆ “ข้าชอบยิ่งนัก!”

“ซี… เอาชุดของเจ้าออกมา”

มู่เฉียนซีนำเอาชุดกระโปรงยาวของนางออกมาจากพื้นที่ของนาง ทว่าจิ่วเยี่ยกลับขมวดคิ้วมุ่น เสื้อคลุมสีดำของเขาที่ให้นางเมื่อครู่นี้ฉีกขาดแล้ว ไม่อาจใส่ของเขาได้อีกแล้ว  นางก้มหยิบเสื้อคลุมสีดำของเขาบนพื้นขึ้นมาปิดตาเขาไว้

“จิ่วเยี่ย ปิดตาเจ้าเอาไว้ก่อน ห้ามขยับจนกว่าข้าจะเปลี่ยนชุดเสร็จ!”

ให้เขาใส่ยาทำแผลให้ก็เกินพอแล้ว ขืนยอมให้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อีก มีหวังนางต้องบ้าคลั่งเป็นแน่แท้   ถึงแม้ว่าจิ่วเยี่ยจะไม่ได้ทำอะไรเกินเลยไปจนถึงจุดนั้น ทว่าเขาก็เป็นบุรุษ เป็นเพศตรงข้ามกับนางอยู่ดี

บนร่างกายนางไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์สวมใส่อยู่แม้แต่ชิ้นเดียว ร่างของนางเปลือยเปล่าทั้งหมด ขืนยอมให้เขาสวมเสื้อผ้าให้ มีหวัง…

ยังพอโชคดีที่นางมีปฏิกิริยาเร็ว ไม่เช่นนั้นคงต้องยิ้มทั้งน้ำตาเพราะบุรุษอย่างจิ่วเยี่ย

มู่เฉียนซีสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นเอาผ้าปิดตาจิ่วเยี่ยออก นางกลัวเขาโกรธอยู่หน่อย ๆ จึงเอ่ยปากกล่าวขึ้นว่า… “จิ่วเยี่ย มา… ประเดี๋ยวข้าจะช่วยเจ้าใส่เสื้อคลุม”

จิ่วเยี่ยยอมให้นางสวมใส่ให้แต่โดยดี เขาไม่คิดปฏิเสธนาง เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าเสื้อผ้าสตรีต้องสวมเช่นไร  จึงพลาดโอกาสนี้ไปอย่างน่าเสียดาย ดูเหมือนว่าคราหน้าต้องรบกวนให้จื่อโยวช่วยสอนให้เสียแล้ว

จิ่วเยี่ยกล่าวกับนางว่า “คราหน้าหากข้าเรียนรู้ได้แล้วข้าจะสวมอาภรณ์ให้เจ้าเอง”

มู่เฉียนซี “อันที่จริงไม่เป็นไร นี่มันไม่จำเป็นเลย ข้าจัดการเองได้”

“จำเป็น”

อะไรก็ตามที่จิ่วเยี่ยตัดสินใจแล้ว มู่เฉียนซีมิอาจปฏิเสธได้  นางลอบพึมพำกับตัวเอง “หวังว่าชาตินี้เจ้าจะทำไม่เป็น” ทว่าเมื่อคิด ๆ ดูแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดที่เขากล่าวว่าจะทำ เขาก็ต้องทำให้ได้

ทันใดนั้น เขาคว้าร่างนางมากอดพลางกล่าวว่า “ซี… ข้าจะพาเจ้าไปยังสถานที่หนึ่ง”

.