ตอนที่ 170 เห็นเจ้าเป็นเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

ท่ามกลางหิมะที่ปลิดปลิวอยู่กลางอากาศ บุรุษชุดดำผู้งดงามไร้ผู้ใดเทียบเทียม อุ้มสตรีในชุดม่วงนางหนึ่งเดินเหยียบผ่านบนหิมะไปอย่างนิ่มนวล ทว่ารวดเร็วราวกับพุ่งผ่านไปกลางอากาศ

“ถึงแล้ว”

เมื่อถึงจุดหมาย จิ่วเยี่ยวางร่างมู่เฉียนซีลง  เกล็ดหิมะที่ตกลงมา ไปติดอยู่บนแพขนตาของนาง

“ช้าก่อน… อย่าเพิ่งขยับ”

เสียงของจิ่วเยี่ยนั้นเพิ่งถูกส่งมาทางนางเมื่อครู่ และใบหน้าหล่อเหลาพราวเสน่ห์ก็ค่อย ๆ ขยายใหญ่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

กลิ่นอายอบอุ่นแผ่ออกมา เขาเป่าเกล็ดหิมะบนขนตานางออกเบา ๆ  ลมหายใจนั้นทำให้ใบหน้าของนางร้อนผ่าวขึ้นมาอยู่บ้างเล็กน้อย

มู่เฉียนซีเอ่ยถามขึ้น “จิ่วเยี่ย เจ้าพาข้ามาที่นี่ทําไมรึ ?”

ไม่ดูก็ไม่รู้ เมื่อมองดูแล้วถึงกับตกใจ  ด้านหน้าเป็นฝูงเสือดาวหิมะ พวกวายร้ายที่เกือบทำให้นางต้องจบชีวิต  แต่มาบัดนี้ ดูเหมือนว่าพวกมันจะยืนล้อมอะไรบางสิ่งอยู่เงียบ ๆ จิ่วเยี่ยจึงจูงมู่เฉียนซีเข้าไปดู

เสือดาวหิมะดุร้ายเหล่านี้  เมื่อพวกมันรู้สึกว่ามีคนบุกเข้าไปในเขตแดนของพวกมัน  ก็ตั้งท่าเตรียมพร้อมที่จะโจมตี ทว่าทันใดนั้น กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมาจากจิ่วเยี่ย พวกมันหวาดกลัวจนแทบสลบไป รีบถอยร่นออกไปอย่างรวดเร็วจนสุดท้ายไม่เหลือสักตัว

เมื่อพวกเสือดาวหิมะหนีไป  มู่เฉียนซีก็พบว่าสถานที่ที่เสือดาวหิมะเหล่านี้อาศัยอยู่นั้น มีเสาหิมะสูงใหญ่และเสาเตี้ยวางอยู่อย่างผิดปกติ ราวกับเป็นค่ายกล

จิ่วเยี่ย “ซี… เจ้าลองไปตรงนั้นดูสิ”

มู่เฉียนซีก้าวเข้าสู่ค่ายกล ทันใดนั้นนางรู้สึกว่าความเข้มข้นของพลังวิญญาณในที่แห่งนี้ช่างน่าตกใจมาก  ราวกับว่านางรู้สึกว่าตนเองได้เข้าสู่สภาวะประหลาด จากนั้นก็เริ่มเริ่มฝึกปรือโคจรเคล็ดวิชาต่อต้านสวรรค์

นี่ต้องเป็นสถานที่ล้ำค่าแห่งการฝึกฝนอย่างแน่นอน  ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเสือดาวหิมะเหล่านี้ถึงได้แข็งแกร่งกันมากเพียงนั้น ที่แท้ก็มาฝึกตนอยู่ที่นี่นี่เอง

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปอย่างช้า ๆ พลังวิญญาณของมิตินี้พุ่งเข้าไปในค่ายกลอย่างบ้าคลั่ง มันถูกใช้โดยมู่เฉียนซี

จิ่วเยี่ยยืนเงียบ ๆ ราวกับรูปปั้นยืนเฝ้ามู่เฉียนซีอยู่ด้านข้าง

เสือดาวหิมะเหล่านั้นทําได้เพียงเฝ้ามองอยู่ไม่ไกล เฝ้าดูสมบัติของการฝึกตนของพวกมันถูกมนุษย์ผู้หนึ่งยึดครอง  นอกจากนี้มนุษย์ผู้นี้ยังผิดปกติมาก ความเร็วในการฝึกฝนของนางนั้น ไม่อาจทราบได้ว่ารวดเร็วเป็นกี่เท่าของพวกมัน

มู่เฉียนซีดูดซับพลังวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้นพลันเกิดเสียง ‘ตูม’ ขึ้น  มู่เฉียนซีรู้สึกว่าอุปสรรค์ที่ทำให้นางอยู่ในระดับสามแตกออก นางได้กลายเป็นจอมภูตระดับสี่ไปได้อย่างราบรื่น

หลังจากเลื่อนขึ้นมาได้หนึ่งระดับ มู่เฉียนซีไม่ได้ทำการฝึกฝนต่อ  จิ่วเยี่ยปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ นาง เขากล่าวถามว่า “เหตุใดเจ้าจึงหยุดหรือ ?  ค่ายกลนี้สามารถทำให้เจ้าทะลุผ่านไปเป็นจอมภูตระดับเจ็ดได้ในระยะเวลาอันสั้น”

มู่เฉียนซีกล่าวว่า “หึ ๆ ในเมื่อข้าเลื่อนขั้นแล้ว ก็ได้เวลาแก้แค้น”

“ตอนนี้ยังทําไม่ได้ อย่างน้อยเจ้าต้องระดับเจ็ดเสียก่อน”

มู่เฉียนซี “ข้าสามารถทนอยู่ได้นานมากในตอนที่ข้ายังระดับสาม ข้าจึงสามารถอดทนได้นานขึ้นอีกเมื่อข้าอยู่ในระดับสี่  ข้าจะฝึกฝนไปทีละขั้น ๆ  เช่นนี้ถึงจะมั่นคง มันมีความท้าทายกว่าการเลื่อนระดับขึ้นไปที่ระดับเจ็ดในทีเดียว”

หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเต็มไปด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้ ดวงตาสีดําแวววาวของนางส่องประกาย ช่างมีเสน่ห์น่าหลงใหลอย่างแท้จริง

หนทางที่นางเลือกเดิน จิ่วเยี่ยไม่ได้ห้ามปรามอันใด

“เจ้าไปเถอะ”

ฉับพลันทันใด ร่างจิ่วเยี่ยอันตรธานหายไปกลางอากาศราวกับภูตผี!

ครานี้มิใช่พวกเสือดาวหิมะที่จะโจมตีมู่เฉียนซี มู่เฉียนซีเป็นฝ่ายย่างสามขุมเข้าไปกลางดงพวกมัน

มู่เฉียนซีโบกมือ กล่าวว่า “เสี่ยวหง อู๋ตี้ พวกเจ้าออกมากันได้แล้ว”

“อู๋ตี้ผู้ไร้เทียมทานในใต้หล้า มาแล้ว! คราก่อนถูกพวกเสือดาวงั่ง ๆ รุมล้อมโจมตี ครานี้ประเดี๋ยวจะเจอท่านแมวอย่างข้า จะซัดพวกเจ้าให้หมอบเรียบ”

เปลวเพลิงสีแดงเข้มพุ่งออกมาอย่างดุดันบนหิมะ ทำให้หิมะละลายเป็นสายธารน้อยสามสาย

“คราก่อนพวกเจ้ากล้าทำร้ายให้นายท่านของข้าต้องบาดเจ็บสาหัส ข้าโกรธเคืองอย่างมาก ผลของมันร้ายแรงนัก พวกเจ้ารอรับเพลิงพิโรธของข้าให้ดีเถอะ!”

— ฟู่ม! —

— ซู่ม! —

มู่เฉียนซีชักกระบี่มังกรเพลิงพร้อมหยิบเข็มยาออกมา นางเปิดศึกกับพวกเสือดาวหิมะในทันใด  ความแข็งแกร่งของนางเพิ่มขึ้นมาหนึ่งระดับ! เห็นได้ชัดเลยว่าเวลานี้นางต่อสู้ได้สบายมือขึ้นมาก “ผนึกมังกรวารี!”

“บุปผาหลั่งสายฝน!”

“มังกรวารีสะท้านสวรรค์!”

— ฟึ่บ!  ฟึ่บ!  ฟึ่บ! —

เข็มยามากมายพุ่งออกไปเหมือนดั่งนารีโปรยดอกไม้ มันพุ่งไปทางจุดที่อ่อนแอที่สุดของพวกเสือดาวหิมะ  เมื่อกระบี่มังกรเพลิงถูกชักออกมา นางตะโกน “มังกรเพลิงพิฆาต!”

แม้ความแข็งแกร่งของนางจะเพิ่มขึ้นหนึ่งระดับ แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเสือดาวหิมะที่มีความแข็งแกร่งเป็นจำนวนมาก มู่เฉียนซีกลับกลายเป็นฝ่ายที่ถูกล้อมไปเสียได้  ทว่านางมิยอมแพ้ง่าย ๆ  นางหลบการโจมตีที่หวังเอาถึงชีวิตแล้วโจมตีสวนกลับไป เป็นเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า

จังหวะหนึ่ง ขณะที่เสือดาวหิมะตัวหนึ่งกำลังจะตะปบไหล่ของนางให้แหลกสิ้น เงาสีดำร่างหนึ่งโผล่ขึ้นมาในทันใด  เขาเพียงยกมือขึ้นเบา ๆ  เสือดาวหิมะที่อยู่ในระยะสามสิบเมตรกลายเป็นกระดูกขาวไปในพริบตา

สีขาวของหิมะนั้นช่างงดงาม แต่สีขาวของกระดูกจากพลังของจิ่วเยี่ย ช่างให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกน่าหวาดกลัวอย่างมาก  มันเป็นกระดูกสีขาวซีดแปลกตา

“จิ่วเยี่ย!” มู่เฉียนซีขมวดคิ้วมุ่น เจ้าก้อนน้ำแข็งผู้นี้มาอีกแล้ว…

“ฝึกในสถานการณ์จริงพอประมาณแล้ว กลับไปฝึกฝนแบบซ้อมต่อได้  ข้าไม่อยากให้เจ้าได้รับบาดเจ็บอีก หากครั้งหน้าเจ้าได้รับบาดเจ็บ ข้าคงจะทนไม่ได้ ข้าต้องอดทนแทบจะทำลายมิติโลกนี้ทิ้งไปเสีย” จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงขรึม

มู่เฉียนซี “จิ่วเยี่ย ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้า แต่การพัฒนาขึ้นไปนั้น ผู้ใดบ้างจะไม่ผ่านอันตราย ?  เจ้ามิใช่ว่าอยากให้ข้าแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วหรอกหรือ ? ข้าเองก็อยากแข็งแกร่งขึ้นเร็ว ๆ  ข้ายังมีเรื่องอีกมากมายต้องทำ และไม่ได้อยากอ่อนแอกว่าเจ้ามากนัก อ่อนแอชนิดที่อาจจะถูกเจ้าตีตายได้ทุกวัน”

“ถ้าหากอยากแข็งแกร่งขึ้น วิธีการนุ่มนวลเช่นนี้ใช้ไม่ได้  เราจะต้องได้พบเจอกับการเลือดตกยางออก ต้องดิ้นรนอยู่บนขอบชายเขตระหว่างความเป็นและความตาย จิ่วเยี่ย ข้ารู้ว่าเจ้าเข้าใจดี” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างจริงจัง เงยหน้าขึ้นมองเขา เห็นจิตสังหารกระหายเลือดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างของเขา พลันคิดว่าไม่รู้ว่าเขาได้ผ่านความเป็นความตายมามากน้อยเพียงใด และได้สังหารชีวิตผู้คนไปมากน้อยเพียงใดกว่าที่จะมาเป็นเช่นนี้ได้

จิ่วเยี่ยยื่นมือออกไปปัดหิมะที่ติดอยู่บนมวยผมของมู่เฉียนซี เขากล่าว “อืม ข้าเข้าใจ”

“เส้นทางของยอดฝีมือ ข้ารู้ว่าหนทางของมันนั้นเป็นเช่นไร  แม้ข้าจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ แต่เมื่อเห็นเจ้าบาดเจ็บ ข้าก็อดไม่ได้ที่จะลงมือ ข้าไม่อยากให้เจ้าบาดเจ็บแม้แต่น้อย”

มู่เฉียนซีกล่าว “จิ่วเยี่ย ข้าเป็นผู้นำตระกูลแห่งตระกูลมู่ เป็นบุตรสาวแห่งตระกูลมู่ ไม่ใช่นกขมิ้นในกรงทองหรือดอกไม้ในห้องที่อบอุ่น ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากให้ข้าตายเพราะเหตผลบางอย่าง …แต่ข้าขอร้องเจ้า หากเป็นสถานการณ์ที่ข้าจะตายได้จริง ๆ เจ้าค่อยลงมือ เป็นเช่นไร ?”

“ข้าทำไม่ได้ ข้าเพิ่งเจอความขัดแย้งกับตัวเองเช่นนี้ครั้งแรก ซี… เจ้าว่าข้าควรทำเช่นไร ?”

จิ่วเยี่ยที่เจอเข้ากับปัญหายากเย็น เริ่มที่จะขอร้องแก่ผู้อื่นบ้างแล้ว

ผู้ที่ไม่มีสิ่งใดทำไม่ได้เช่นเขา ต้องมาเจอกับเรื่องไร้ซึ่งหนทางแก้ไขเช่นนี้  ตลอดชีวิตของเขานั้น เขาอยู่ในสถานะพิเศษตลอดมา

เรื่องนี้เมื่อตอนที่จื่อโยวถามขึ้น เขาเองก็ยังคิดว่ามันเป็นปริศนาเงื่อนตายหรืออย่างไร เหตุใดเขาถึงได้คิดอะไรไม่ออกเลย ?

จิ่วเยี่ย “ข้ารู้ ท่านอาเล็กของเจ้า เขาต้องรู้สึกขัดแย้งเหมือนกันกับเจ้า”

มู่เฉียนซี “ใช่! ข้านั้นต้องเป็นญาติคนสำคัญที่สุดของท่านอาเล็กอยู่แล้ว แต่ว่าคนที่สำคัญที่สุดของเจ้าคือข้า แล้ว… บรรดาญาติสนิทมิตรสหายของเจ้าล่ะ ?  เจ้าพูดออกมาเช่นนี้ พวกเขาจะไม่ช้ำใจร้องไห้ไปแขวนคอตายหรืออย่างไร ?”

.