บนที่ราบสูงที่มีเขตติดต่อกับแคว้นเทียนเหอและแคว้นสือหลง มีเมฆเจ็ดสีลอยอยู่บนท้องฟ้า

ประตูมิติที่ส่องแสงสีขาวกำลังหม่นแสงลงช้าๆ มีเค้าลางราวกับจะแตกกระจายได้ทุกเมื่อ

สวีถง ประมุขหอเจ็ดสังหารและสวีหย่งหนานรองประมุข กำลังยืนมือไพล่หลังทอดมองไปไกล

ด้านหลังพวกเขาเป็นลูกศิษย์ที่เกรียงไกรในสำนักยี่สิบคน

หอเจ็ดสังหารเป็นสำนักบำเพ็ญเซียนระดับกลางบนที่ราบสูงทาริม หลังศิษย์ในสำนักเห็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน สวีถงก็นำกองทัพศิษย์เกรียงไกรของสำนักมาที่นี่ด้วยตัวเอง

เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติบ่งบอกว่ามีวัตถุล้ำค่าบังเกิด วัตถุล้ำค่ามีความดึงดูดใจสูงยิ่งนัก ประโยชน์ของมันเพียงพอจะทำให้ทั้งแคว้นสั่นสะเทือน หากหอเจ็ดสังหารได้วัตถุล้ำค่าชิ้นนี้มา หอเจ็ดสังหารอาจจะอาศัยโอกาสนี้ก้าวกระโดดเป็นสำนักบำเพ็ญเซียนชั้นสูงก็ได้!

แม้พวกเขาจะเข้าไปในประตูมิติไม่ได้ แต่รอให้คอข้างในเอาสมบัติออกมา ค่อยวางกับดักช่วงชิงเอาได้

ในตอนนั้นเอง ชั่วขณะที่ประตูแสงสั่นไหว มีชายชราผมขาวโพลนคนหนึ่งปรากฏสู่สายตาของทุกคน

ชายชราคนนั้นกวาดตามองทุกคนในหอเจ็ดสังหาร ไม่อยากพูดด้วยซ้ำ เหาะเหินเวหาไปทันที ชายชราที่มีชีวิตอยู่มาร่วมหมื่นปีแล้วอย่างเขา ไม่มีแม้แต่อารมณ์จะคุยกับผู้น้อยกลุ่มนี้ด้วยซ้ำ

“พี่ใหญ่…มียอดฝีมือที่เราเดาความสามารถไม่ได้ออกมาอีกแล้ว นักพรตที่เข้าไปล่าสมบัติในแดนพิศวงคงจะรับมือได้ยากแน่ๆ…” สวีหย่งหนาน รองประมุขหอปาดเหงื่อ พูดอย่างวิตกกังวล

สวีหย่งหนานกับสวีถงเป็นนักพรตระดับแปลงจิตทั้งคู่ นับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งในแดนจิ่วโจวแล้ว แต่พวกเขารออยู่นอกประตูมิติ ได้เห็นยอดฝีมือที่หยั่งความสามารถไม่ได้ออกมาหลายคนแล้ว ยอดฝีมือเหล่านี้ล้วนมีท่าทางสูงส่งไม่เว้นแม้แต่คนเดียว แม้แต่นกก็ยังขี้คร้านสนใจพวกเขา จากไปอย่างสง่าผ่าเผย

เมื่อเป็นเช่นนี้ นักพรตที่เตร็ดเตร่อยู่ในแดนพิศวงแห่งนี้ คงไม่อ่อนแอไปถึงไหน

สวีถงก็ดูจะลังเลอยู่บ้าง แต่ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็แสดงสีหน้าหนักแน่น “เรายืนชมทิวทัศน์ตรงนี้ไม่ได้หรือ ที่นี่เป็นเขตปกครองของหอเจ็ดสังหารอยู่แล้ว มาเดินเล่นที่นี่หน่อยจะเป็นไรไป ขอแค่นักพรตที่ออกมาในตอนสุดท้ายด้อยกว่าพวกเรา พวกเราก็จัดการพวกเขาเสีย! หากนักพรตที่ออกมาแข็งแกร่งกว่าพวกเรา เช่นนั้นพวกเราก็แสร้งทำเป็นชมทิวทัศน์…”

สวีหย่งหนานรู้ว่าพี่ใหญ่ตัดสินใจแล้ว ก็ทำได้แค่ถอนหายใจเบาๆ ไม่พูดอะไรอีก

ครืน!

ประตูมิติสั่นสะเทือนอีกครั้ง อิฐสีดำก้อนหนึ่งพุ่งออกจากประตู

บนก้อนอิฐมีชายหนึ่งหญิงหนึ่ง หนึ่งวานรและหนึ่งสุนัข

ประตูมิติพังทลายโดยสิ้นเชิงหลังจากที่พวกเขาออกมาได้ไม่นาน กลายเป็นจุดแสง

นี่เป็นนักพรตกลุ่มสุดท้าย! สวีถงกับสวีหย่งหนานต่างก็นิ่งอึ้งไป

“นักพรตหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นต้นคนหนึ่ง สุนัขหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นกลาง นักพรตหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลายกับวานรกึ่งแปลงจิต…พี่ใหญ่ ไม่คิดว่าพวกเขาจะด้อยขนาดนี้…” ตอนแรกสวีหย่งหนานคิดว่านักพรตที่นำกลุ่มเข้าแดนพิศวงน่าจะมีระดับแปลงจิตอย่างน้อยหนึ่งคน คิดไม่ถึงว่าระดับของพวกเขาจะต่ำกว่าระดับแปลงจิตทั้งหมด ทำให้สวีหย่งหนานเริ่มอยากรู้อยากลองแล้ว

สวีถงแสยะยิ้ม “ท่าทางครั้งนี้สวรรค์จะเข้าข้างหอเจ็ดสังหารแล้ว กระตุ้นค่ายกลเจ็ดสังหาร เริ่มปิดล้อม!”

พวกอันหลินเพิ่งขี่ก้อนอิฐออกมา อยู่ภายใต้แสงตะวันเจิดจ้า ยังไม่ทันได้พูดอะไร ค่ายกลขนาดใหญ่ก็โผล่พรวดออกมาปกคลุมทุกคนไว้

ภายในค่ายกล มีกระบี่กระจายอยู่ทั่ว เถาวัลย์หลับใหล แท่งน้ำแข็งกองใหญ่แขวนอยู่บนฟากฟ้า มังกรไฟคำรามเหนือพสุธา หินทรายปลิวว่อน ลมพัดกระโชก อัสนีกะพริบแปลบปลาบ เป็นสัญลักษณ์ของทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ลมและสายฟ้า พลังอันยิ่งใหญ่ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงถึงเจ็ดชนิด จิตสังหารน่าพรั่นพรึง

จากนั้นนักพรตที่สวมชุดดำกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวนอกค่ายกล

สวีถงที่นำหน้าระเบิดเสียงหัวเราะแล้วยกมือขึ้นคารวะ “ข้าน้อยสวีถง ประมุขแห่งหอเจ็ดสังหาร ขอแสดงความยินดีกับทุกท่านที่ได้สมบัติในแดนพิศวง ตอนนี้ขอให้สหายทุกท่านส่งสมบัติทั้งหมดมา”

มุมปากของอันหลินกระตุกเล็กน้อย ให้ตายสิ เพิ่งออกมาก็ถูกดักปล้นแล้วเหรอ ซวยจริงๆ!

เขาตอบเสียงเรียบว่า “หากพวกเราไม่ส่งให้ล่ะ”

สวีหย่งหนานยิ้มแสยะ “ถ้ายอมส่งสมบัติออกมาแต่โดยดีก็จะยอมปล่อยพวกเจ้า มิเช่นนั้นจะทำให้พวกเจ้าทรมานปางตายในค่ายกลเจ็ดสังหาร!”

“อ้อ จะฆ่าคนปล้นชิงหรือ”

อันหลินค่อนข้างตื่นเต้น บำเพ็ญเซียนมาเนิ่นนานปานนี้ ในที่สุดก็เจอเรื่องพรรค์นี้สักที

ต้าไป๋เองก็พูดขึ้นมาเหมือนกันว่า “พี่อัน หอเจ็ดสังหารเป็นสำนักบำเพ็ญเซียนชั้นกลางในแคว้นสือหลง เป็นอิทธิพลในสังกัดสำนักมารมหาปราชญ์! สิ่งที่หอเจ็ดสังหารชอบทำเป็นชีวิตจิตใจก็คือ เรื่องชั่วๆ อย่างฆ่าคนปล้นชิง แต่เพราะพวกเขาอำพรางการปฏิบัติการทุกครั้ง ยากจะจับร่องรอยได้ จึงไม่เคยถูกทำลาย”

สำนักสัตว์เทพของต้าไป๋ก็อยู่ในแคว้นสือหลงเช่นกัน จึงค่อนข้างรู้จักสำนักบำเพ็ญเซียนในแคว้นสือหลงเป็นอย่างดี

“ฮ่าๆ ไม่คิดว่าสุนัขอย่างเจ้าจะรู้มากไม่เบา แต่รู้แล้วอย่างไร พวกเจ้าติดอยู่ในค่ายกลเจ็ดสังหารยากจะหลบหนีได้ ยอมตายเสียดีๆ เถอะ!” สวีถงทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง

ค่ายกลเจ็ดสังหารมีอานุภาพท่วมท้น สังหารได้แม้กระทั่งนักพรตระดับแปลงจิต นักพรตที่ไม่บรรลุระดับแปลงจิตพวกนี้จะต้านทานได้อย่างไร

สวีเสี่ยวหลานเห็นค่ายกลที่เต็มไปด้วยอันตราย ใบหน้างามฉายอาการย้อนความทรงจำ “เหตุการณ์นี้คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่เสิ่นอิงพบเจอในตอนนั้น จะมีชายหนุ่มที่โดดเด่นปรากฏตัวที่นี่หรือไม่”

อันหลินได้ยินก็ใจกระตุก ก้าวออกไปข้างหน้า “เสี่ยวหลานไม่ต้องกังวล และไม่ต้องลงมือด้วย ศัตรูทั้งหมด ข้าจะจัดการเอง!”

สวีเสี่ยวหลานมองแผ่นหลังของชายหนุ่มอึ้งๆ เกิดความอบอุ่นในหัวใจ

นั่นสิ ก็เขานี่แหละชายหนุ่มผู้โดดเด่นคนนั้นไม่ใช่หรือ

“หอเจ็ดสังหารเป็นสำนักนอกรีต พวกเราไม่ต้องยั้งมือ”

“พวกเขาชอบฆ่าคนปล้นชิง ในแหวนมิติต้องมีของดีแน่…ข้าขอบอกพวกเจ้าไว้ก่อนนะ ใครได้แหวนมิติไปก็เป็นของคนนั้น ห้ามไม่พอใจเด็ดขาด…” นัยน์ตาอันหลินเป็นประกาย แลบลิ้นเลียริมฝีปาก

ดวงตาของเจ้าอัปลักษณ์กับต้าไป๋วาวโรจน์ จ้องนักพรตหอเจ็ดสังหารเขม็งประหนึ่งสัตว์ร้ายรอตะครุบเหยื่อ

ให้ตายสิ! ท่องทั่วสุสานมังกรเหมันต์ไม่ได้อะไรเลย พวกมันจะไม่หงุดหงิดได้อย่างไร

สวรรค์คงจะสงสารพวกมันกระมัง ถึงได้ส่งนักพรตนอกรีตที่ฆ่าคนปล้นชิงกลุ่มนี้มาให้

“หึๆ ๆ…”

หนึ่งมนุษย์ หนึ่งวานรและหนึ่งสุนัขต่างก็หัวเราะอย่างมีเลศนัย

สวีเสี่ยวหลานนวดขมับ รู้สึกอึดอัดใจ

ดีใจเร็วไปหน่อย ไม่คิดเลยว่าภาพลักษณ์ชายหนุ่มดุจดวงตะวันของอันหลินจะพังทลายไวปานนี้…

สวีหย่งหนานเห็นอากัปกิริยาของพวกอันหลินก็เย็นวาบในใจ “พี่ใหญ่ ทำไมข้ารู้สึกเหมือนพวกเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายล่า พวกเราเป็นเหยื่อล่ะ…”

สวีถงเห็นรอยยิ้มพิลึกนั่นก็สะดุ้งในใจ แต่ยังคงกระตุ้นค่ายกลด้วยแววตาเย็นเยือกเช่นเดิม “แค่นักพรตหล่อเลี้ยงวิญญาณจะทำอะไรได้ พวกเขาก็แค่ฝืนวางท่าเท่านั้น ข้าจะใช้ค่ายกลสังหารพวกเขาเดี๋ยวนี้เลย!”

สิ้นเสียงตะโกนของสวีถง ค่ายกลเจ็ดสังหารก็เริ่มกำราบอย่างเป็นทางการ

พลังยิ่งใหญ่เจ็ดชนิดระเบิดทันใด พุ่งไปบดขยี้พวกอันหลินด้วยพลังมหาศาลอย่างยิ่ง

เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่มืดฟ้ามัวดิน นัยน์ตาอันหลินกลายเป็นสีขาวโพลน เสกตะปูทะลุมิติออกมาแล้วดีดไปยังบริเวณหนึ่งของค่ายกล

หากอันหลินใช้เพียงแรงอย่างเดียว อาจถูกคลื่นโจมตีอันน่ากลัวของค่ายกลบดขยี้ก็ได้ แต่ตะปูทะลุมิตินั้นไม่ใช่ มันเป็นอาวุธทลายค่ายกลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เป็นวัตถุที่ทำลายทุกสรรพสิ่ง ตะปูทะลุมิติกลายเป็นเส้นสีแดงทะลุผ่านใบมีดลม ทะลวงร่างมังกรไฟ กระทั่งโจมตีตำแหน่งหนึ่งกลางอากาศ

ภายใต้สายตาตกตะลึงของสวีถงกับสวีหย่งหนาน ค่ายกลสะท้านฟ้าที่สังหารนักพรตระดับแปลงจิตได้ พังครืนทันทีประหนึ่งปราสาททรายที่พบเจอพายุหมุน

“พวกเราลุย!”

อันหลิน ต้าไป๋และเจ้าอัปลักษณ์นัยน์ตาเป็นประกาย กระโจนใส่นักพรตหอเจ็ดสังหารปานหมาป่าหิวโซ สร้างฝันร้ายที่ลืมไม่ลงให้กับนักพรตหอเจ็ดสังหาร