ตอนที่ 262 ผู้ล่ากับเหยื่อ

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

เหล่านักพรตหอเจ็ดสังหารตะลึงงัน ล้อกันเล่นหรือ ค่ายกลที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งหอเจ็ดดาวถูกคนดีดนิ้วทลายอย่างนี้เลยหรือ

หลังอันหลินใช้อัสนีทลายค่ายกลเจ็ดสังหารแล้ว ก็พุ่งใส่สวีถงและสวีหย่งหนาน ชัดเจนว่าสองคนนี้ต่างหากที่เป็นเหยื่อที่อ้วนท้วน

ทั้งสามบุกมาอย่างทรงพลัง นักพรตหอเจ็ดดาวถึงได้พากันเตรียมตัวพร้อมรบประหนึ่งเพิ่งตื่นจากภวังค์

“เหอะ แค่นักพรตหล่อเลี้ยงวิญญาณกระจอกๆ กล้าสู้กับข้าด้วยหรือ!”

สวีถงคิดว่าตนถูกดูแคลน จึงกระทืบเท้า เขตอาคมหมอกสีดำเริ่มแผ่กระจายไปรอบทิศ พลังยิ่งใหญ่ระดับแปลงจิตขั้นต้นถูกปล่อยออกมาจนหมดสิ้น

“ต๋าอี ต๋าเอ้อร์ แกะอ้วนสองตัวนี้ยกให้พวกเจ้าแล้วกัน!”

เพิ่งสิ้นเสียง ชั่ววินาทีที่แหวนมิติของนักพรตหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นต้นสว่างวาบ หุ่นสีเงินสองตัวปรากฏตัว กระโจนใส่สวีถงและสวีหย่งหนาน

“ไม่เจียมตัว!” ใบหน้าของสวีถงถมึงทึง เงื้อมือขึ้นฟาดหุ่นสีเงิน

ฝ่ามือขนาดใหญ่ที่ก่อตัวจากเปลวไฟฟาดกันดั้มผ่านอากาศ ภายในฝ่ามือเปลวไฟมีหมอกดำที่ลุกลามไปทั่วปานใยแมงมุม แฝงด้วยพลังทมิฬ เมื่อถูกแผดเผา ต่อให้เป็นเหล็กกล้า ก็จะผุกร่อนละลายอย่างสิ้นเชิงภายใต้อุณหภูมิสูงและพิษร้ายได้เช่นกัน

กันดั้มตัวหนึ่งยื่นมือออกไปคว้าอากาศ ดาบเลเซอร์สีน้ำเงินพุ่งขึ้นฟ้า ทิ้งลำแสงเจิดจ้าเป็นทาง ฟันฝ่ามือเปลวเพลิงแตกออกอย่างง่ายดาย ซ้ำยังไม่หยุดยั้ง มุ่งหน้าฟันศีรษะของสวีถงต่อ

“อะไรกัน!” สวีถงใจกระตุก คาดไม่ถึงว่าหุ่นสีเงินตัวนี้จะทลายการโจมตีของเขาได้

เขาถอยกรูด ไม่คิดว่าลำแสงสีน้ำเงินของกันดั้มจะยืดยาวตามมาไม่หยุด สร้างร่องลึกยาวสิบกว่าจั้งบนผืนพสุธา ปลายกระบี่ก็เฉือนร่างของเขาจนเกิดบาดแผลเป็นทาง

สวีถงกุมหน้าอก มองหุ่นสีเงินตรงหน้าด้วยความหวาดหวั่นชอบกล ราวกับตระหนักได้แล้วว่ารอยยิ้มของอันหลินหมายถึงอะไร

ครืน!

เสียงแตกระแหงสะเทือนฟ้าดังมาไม่ไกล

สวีถงเหลียวหลัง เห็นสวีหย่งหนานที่อยู่ไม่ไกล เกราะสายลมถูกหมัดของกันดั้มอีกตัวสะเทือนจนแหลก พลังที่น่ากลัวถึงขั้นพัดเปลือกของผิวดินปลิวกระจาย

สวีหย่งหนานที่อยู่ในระดับแปลงจิตขั้นต้นเช่นเดียวกัน กระอักเลือดและลอยออกไปปานว่าวเชือกขาด

นักพรตเก่งฉกาจยี่สิบชีวิตของหอเจ็ดสังหารก็ถูกเปลี่ยนบทบาทเช่นกัน ถูกหมาป่าหิวโซทั้งสามอย่างอันหลิน ต้าไป๋และเจ้าอัปลักษณ์เห็นเป็นลูกแกะ

อันหลินกางปีกวายุ สังหารก้าวละคนภายใต้ความเร็วที่แสนน่ากลัว

ก้าวที่หนึ่ง

อันหลินปล่อยหมัดสะเทือนขุนเขาสีทองออกไป สะเทือนศิษย์กายแห่งมรรคขั้นสิบคนหนึ่งของหอเจ็ดสังหารตายทันที

ก้าวที่สอง

อันหลินปั้นขนนกเพลิงสีแดงเป็นเกาทัณฑ์ ปักชายชราหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นกลางคนหนึ่งในพริบตา ร่างของชายชราคนนั้นละลายภายใต้อุณหภูมิที่สูงจนน่ากลัว

ก้าวที่สาม

อันหลินชักกระบี่พิชิตมารออกมา พุ่งออกไปหาชายชราหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นต้นคนหนึ่งอย่างรวดเร็ว วาดลำแสงดำทะมึนดุจน้ำหมึก ฟันร่างของชายชราคนนั้นพร้อมกับอาวุธอย่างกระบี่เป็นสองท่อน

ก้าวที่สี่…

ทุกครั้งที่อันหลินก้าว จะสังหารหนึ่งคน ทำเอาศิษย์เก่งฉกาจของหอเจ็ดสังหารอกสั่นขวัญแขวน

เจ้าอัปลักษณ์ทุ่มเทยิ่งกว่าเขาเสียอีก ระเบิดพลังกึ่งแปลงจิตออกมาอย่างสิ้นเชิง การเคลื่อนไหวของกระบองเงินประหนึ่งภูเขาลูกใหญ่บดขยี้ นักพรตเหล่านี้แทบจะสู้ไม่ได้เลยสักนิด ตายทันทีที่ปะทะกัน

ต้าไป๋ก็เพียรพยายามมากเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่จะเลือกนักพรตกายแห่งมรรค หรือไม่ก็หล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นต้น เช่นนี้จะปิดฉากต่อสู้ได้ไวกว่า มีประสิทธิภาพกว่า

ทุกครั้งที่พวกเขาสังหารเสร็จจะทำเรื่องเดียวกันนั่นก็คือ เอาแหวนมิติของศัตรูไป

ใช่แล้ว ต่อให้เป็นการต่อสู้ที่โกลาหลและอันตรายปานนี้ เมื่อพวกเขาสังหารศัตรูเสร็จ สิ่งแรกที่ทำไม่ใช่การสู้กับศัตรูคนอื่นต่อ แต่เป็นการเก็บไอเทม…

สวีถงเห็นเจ้าอัปลักษณ์ยอมให้นักพรตทุบข้างหลัง แต่ไม่ยอมทิ้งแหวนมิติของนักพรตที่เพิ่งเอาชนะได้ แม้แต่อาวุธในมือก็จะเก็บเอาไปด้วย เกรงว่าจะถูกคนอื่นช่วงชิงเอาไป

ในตอนนั้นเขาเข้าใจแล้วว่า หอเจ็ดสังหารของตนตกอยู่ในสภาพแบบไหน…ในสายตาของพวกอันหลิน ฝ่ายตนไม่ถือเป็นศัตรูด้วยซ้ำ แต่เป็นคลังสมบัติเคลื่อนที่ชัดๆ!

“ถอยเร็ว!”

สวีถงตระหนักได้แล้วว่าตอนนี้ตำแหน่งผู้ล่ากับเหยื่อพลิกสลับแล้ว จึงรีบตัดสินใจล่าถอยทันที

นักพรตเจ็ดสังหารอยากหนีตั้งนานแล้ว แต่ไหนแต่ไรมามีแค่พวกเขาที่ฆ่าคนปล้นชิง ไม่คิดเลยว่าจะมีสามคนที่โหดร้ายกว่าพวกเขาปรากฏตัว พวกเขาสังหารแล้วจึงค่อยแบ่งสมบัติกัน แต่พวกอันหลินกลับเป็นเหมือนโจรปล้นทรัพย์ ฆ่าหนึ่งคนเสร็จก็ริบแหวนมิติกับอาวุธไปอย่างอดรนทนไม่ไหว อยากจะถอดเอาเสื้อผ้าของศัตรูไปด้วยซ้ำ น่าสะพรึงกลัวจริงๆ

“คิดจะหนีหรือ ฝันไปเถอะ!”

อันหลินมองนักพรตที่คิดจะใช้คาถาหลบหนีพลางกางปีกวายุ กระบี่พิชิตมารห้อมล้อมด้วยลำแสงสีขาว ใช้กระบี่สายลมในหกกระบี่เทพสังหาร ปีกวายุผสานกับกระบี่สายลม ทำให้ความเร็วของเขาเหนือความเร็วเสียงถึงสามเท่าในพริบตา ทุกหนแห่งที่ผ่านเกิดซอนิกบูม[1] ลำแสงสีขาวเป็นเหมือนสายฟ้าฟาด สังหารนักพรตสามคนในเสี้ยววินาที

นักพรตที่เหลือถูกลำแสงที่น่ากลัวทำให้ตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน สับเท้าวิ่งเร็วกว่าเดิม

“แยกกันหนี!”

นักพรตสี่คนที่เหลือหนีกันไปคนละทิศละทาง อันหลินเพิ่งใช้กระบี่สายลมเสร็จ พลังยังสั่นคลอนไม่แน่นอน จึงไม่มีแรงไล่กวดแล้ว

นักพรตคนหนึ่งถูกเจ้าอัปลักษณ์ตามกวด อีกคนถูกต้าไป๋วิ่งไล่

นักพรตที่เหลือสองคนดีใจเมื่อเห็นดังนั้น รู้ว่าตนเป็นผู้โชคดีในสงครามนี้ จึงวิ่งเร็วยิ่งกว่าเดิม

สิ่งที่ไม่คาดคิดคือ เมื่อนักพรตคนหนึ่งเงยหน้าขึ้น สิ่งที่ต้อนรับเขาคือกระบี่เปลวเพลิงที่พุ่งทะลุฟ้ามา

นักพรตคนนี้เบิกตากว้าง แต่เขาตอบสนองไวอย่างยิ่งสมกับเป็นชายชราหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นกลาง เสกกำแพงน้ำแข็งสามชั้นขวางตรงหน้าในพริบตา

ทว่า อุณหภูมิที่แฝงอยู่ในกระบี่น่ากลัวอย่างที่สุด ถึงขั้นทำให้มิติบิดเบี้ยว กระบี่ยังไม่ทันสัมผัสกำแพงน้ำแข็ง กำแพงสามชั้นก็ละลายจนหมดสิ้น

“เป็นไปได้อย่างไร!” นักพรตเบิกตากว้าง ทันได้อุทานเพียงเสียงเดียว ร่างกายก็ถูกเปลวเพลิงท่วมท้น

หญิงชุดเขียวคนหนึ่งกางปีกอัคคี ประหนึ่งพญาหงส์บินร่อนกลางนภา ทุกแห่งที่ผ่านมีสายฟ้ากะพริบแปลบปลาบ

มือขาวผ่องดุจหยกของนางพลิกเบาๆ เก็บแหวนมิติไป จากนั้นก็เหาะไปหานักพรตคนสุดท้ายโดยไม่รั้งรอ

สวีเสี่ยวหลานลงมือแล้ว พลังยุทธ์ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลาย บวกกับการผสานระหว่างสายเลือดของมังกรและพญาหงส์ ความสามารถของนางบรรลุขั้นที่ยิ่งใหญ่จนน่าสะพรึง แทบจะไร้เทียมทานในระดับเดียวกัน

นักพรตที่วิ่งหนีคนสุดท้ายเห็นสวีเสี่ยวหลานที่เหาะเหินเหนือความเร็วเสียง ใบหน้าก็ฉายความสิ้นหวัง

เขาคิดไม่ถึงเลยว่าปฏิบัติการซุ่มโจมตีครั้งนี้ ทุกอย่างจะกลับตาลปัตร

ยิ่งคิดไม่ถึงเลยว่า พวกเขาจะไม่มีโอกาสแม้แต่จะหนีด้วยซ้ำ…

รองประมุขสวีหย่งหนานถูกกันดั้มตัวหนึ่งใช้ไฟมังกรเวหาหาวย่างจนสุก ประมุขหอสวีถงใช้คาถาหลบหนีหนีสุดชีวิต แต่ไม่คิดว่าจะถูกงูเทพร่วมร้อยตัวไล่กวดใช้ขีปนาวุธระเบิดจนตายทั้งเป็น

การต่อสู้ปิดฉากลงอย่างรวดเร็ว ยุติด้วยผลลัพธ์ที่หอเจ็ดสังหารตายยกกองทัพ

ทว่าสำหรับพวกอันหลินแล้ว ผลลัพธ์อะไรพรรค์นั้นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือแหวนมิติของพวกเขามีของดีเท่าใด

อันหลินเป็นผู้ชนะอันดับหนึ่ง ได้แหวนมิติมาสิบวงโดยรวมของสวีถงและสวีหย่งหนานด้วย

เจ้าอัปลักษณ์ได้แหวนมิติมาเจ็ดวง ต้าไป๋ได้มาสามวง สวีเสี่ยวได้มาสองวง

ตอนแรกสวีเสี่ยวหลานไม่ได้คิดจะลงมือ แต่เร่งสังหารศัตรูโดยไวต่างหากเป็นวิธีการจัดการที่เชื่อถือได้ จึงลงมือสังหารนักพรตที่หวังจะหลบหนีสองคน

นางเห็นต้าไป๋ได้แหวนมิติน้อยที่สุดทำท่าน่าสงสาร จึงยกแหวนมิติในมือให้ต้าไป๋ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงกลายเป็นอันหลินมีแหวนมิติสิบวง เจ้าอัปลักษณ์มีเจ็ดวงและต้าไป๋มีห้าวง

เมื่อเห็นเช่นนั้น ต้าไป๋ที่ยังยากจนเข้าใกล้คำว่าเศรษฐีไปอีกขั้น ในใจก็สงบลงบ้างแล้ว

จากนั้นลำดับต่อไป ก็เป็นช่วงเวลาแห่งการเปิดสมบัติอันน่าตื่นเต้น!

……….

[1] ซอนิกบูม คือ เสียงดังเช่นเสียงฟ้าร้อง อันเกิดจากอากาศยานเคลื่อนผ่านอากาศเหนือศีรษะของเรา ด้วยความเร็วสูงกว่าความเร็วของเสียง