ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 36 ขอบคุณ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ประโยคนี้โหดร้าย เยือกเย็นอย่างยิ่ง

เฉินฉางเซิงยืดตัวลุกขึ้น จ้องมองอาจารย์สำนักเทียนเต้า เงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด ลั่วลั่วโมโหอย่างยิ่ง แต่เห็นเขาไม่เอ่ยสิ่งใดจึงทำได้แต่เงียบตาม

อาจารย์ไม่เอ่ยสิ่งใดและยังไม่ได้ชี้แนะว่าควรทำอย่างไร

นางคิดว่าตนเองเป็นศิษย์ไม่ควรเสนอความคิดเห็นโดยพลการ

คนที่มายืนอยู่ที่หน้าประตู เอ่ยสองประโยคที่ไม่มีมารยาทอย่างยิ่ง ดูแล้วคล้ายกับไม่มีที่มาที่ไป แต่เฉินฉางเซิงได้ยินคำที่ว่าการชุมนุมไม้เลื้อยคำนี้ คิดไปถึงคำพูดของถังซานสือลิ่วเมื่อคืนทำให้เข้าใจของมูลเหตุเรื่องนี้

เดิมทีเขาไม่คิดว่าการชุมนุมไม้เลื้อยจะเกี่ยวกับตนเอง เพราะเขาลืมว่าสำนักฝึกหลวงก็เป็นหนึ่งในสำนักไม้เลื้อยทั้งหกเหมือนกับคนอื่นๆ ทว่าชัดเจนยิ่งนัก ไม่ใช่ว่าทั่วทั้งโลกจะลืมเลือนเรื่องนี้ โดยเฉพาะหลังจากสำนักฝึกหลวงมีเขาที่เป็นนักเรียนใหม่เพิ่มเข้ามา

เฉินฉางเซิงจ้องมองไปยังบุรุษวัยกลางคนที่สวมเสื้อคลุมของอาจารย์ที่อยู่ด้านข้างของอาจารย์สำนักเทียนเต้า ปรากฏว่าตนเองรู้จักฝ่ายตรงข้าม เขาคืออาจารย์ซินแห่งสำนักการศึกษากลาง ถึงแม้จะไม่ได้พบเจอมาหลายวัน แต่งานการซ่อมแซมสำนักฝึกหลวง ล้วนแต่เป็นอาจารย์ซินท่านนี้ที่ดูแลรับผิดชอบให้

อาจารย์ซินพยักศีรษะทักทายตอบแววตาของเขา เพียงแต่ท่าทางชัดเจนว่าอึดอัดวางตัวไม่ถูก

เขามองไปยังอาจารย์สำนักเทียนเต้า เอ่ยโน้มน้าว “เมื่อก่อนสำนักฝึกหลวงไม่มีนักเรียน ธรรมดาไม่ต้องเข้าร่วม ในเมื่อตอนนี้มีนักเรียน ต้องเข้าร่วมอย่างมิต้องสงสัย ราชสำนักและนิกายหลวงได้อนุญาตเรียบร้อยแล้ว อาจารย์เผิง รีบทำเอกสารยอมรับพยานให้เสร็จแล้วกลับเถอะขอรับ”

สำนักเทียนเต้าเป็นสำนักที่สำคัญที่สุดในช่วงหลายปีนี้ ฐานะสำคัญอย่างยิ่ง เป็นธรรมดาที่อาจารย์ของสำนักเทียนเต้าจะมีฐานะสูงส่งไปด้วย ไม่ใช่ว่าเขาที่เป็นเพียงอาจารย์ธรรมดาของสำนักการศึกษากลางจะคัดค้านได้ หากเป็นสถานการณ์อื่น อาจารย์ซินคงจะเห็นดีเห็นงามไปด้วย เพียงแต่ว่า…เขาชัดเจนมากกว่าผู้ใด หนุ่มน้อยที่ดูเหมือนธรรมดาตรงหน้าผู้นี้ ที่จริงมีเบื้องหลังที่แข็งแกร่ง เขาจะกล้ากล่าวโทษได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้จึงทำได้เพียงเห็นดีเห็นงามกับเขาอย่างสุดชีวิต

“เจ้าแน่ใจว่าจะให้ของไร้ประโยชน์เช่นนี้เข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อยรึ” อาจารย์เผิงแห่งสำนักเทียนเต้าเอ่ยถามด้วยความเยือกเย็น

อาจารย์ซินกล่าวอย่างจนปัญญา “นี่เป็นข้อระเบียบ ข้าก็หมดหนทางที่จะปฏิเสธได้ขอรับ”

“กฎระเบียบ ไม่ว่าจะสิ่งใดก็เอ่ยถึงกฎระเบียบ อย่างนั้นข้าก็จะเอ่ยถึงกฎระเบียบเช่นกัน!”

อาจารย์สำนักเทียนเต้าหัวเราะเยือกเย็นพลางเอ่ย “ตามกฎระเบียบของปีที่ผ่านมา ชุมนุมไม้เลื้อยก็เลียนแบบกฎระเบียบของการสอบใหญ่ แบ่งรูปแบบการทำข้อสอบเป็นสองรอบ ทุกสำนักจะต้องมีนักเรียนเข้าร่วมทดสอบรอบละหนึ่งคน แต่ตอนนี้มองแล้ว สำนักตกอับแห่งนี้มีของไร้ประโยชน์เพียงคนเดียว จะเข้าร่วมอย่างไรรึ”

อาจารย์ซินนิ่งเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด คิดออกว่ามีกฎข้อนี้ของชุมนุมไม้เลื้อยจริงๆ เพียงแค่ก่อนหน้านี้ เขาคิดว่าจะทำอย่างไรให้อาจารย์เผิงกับเฉินฉางเซิงไม่ทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นจึงลืมกฎข้อนี้ รู้สึกกระวนกระวายใจ ในใจคิดว่าในเมื่อเป็นเช่นนี้เหตุใดก่อนหน้านี้ท่านไม่เอ่ย

“ต้องการเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อย อย่างน้อยจะต้องมีนักเรียนสองคน…ตอนนี้มีเพียงของไร้ประโยชน์คนเดียว เจ้าจะให้ข้ารับรองเอกสารพยานอย่างไรรึ”

อาจารย์สำนักเทียนเต้าเอ่ยด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความยั่วเย้า “ท่านอาจารย์ ท่านคิดว่าข้าไม่สามารถทัดทานแรงกดดันของสำนักการศึกษากลางได้จริงๆ จึงมาที่นี่อย่างนั้นรึ ไม่ใช่ ข้าเพียงแค่มาดู เรื่องขบขันของสำนักฝึกหลวงแท้จริงสามารถทำให้ข้าหัวเราะได้ถึงเมื่อไหร่!”

เขายืนอยู่ที่ประตูของสำนัก จ้องมองไปอย่างนิ่งเงียบไม่มีเสียงใด ถึงแม้การซ่อมแซมสำนักฝึกหลวงยังคงชำรุดอยู่บ้าง เอ่ยออกมาอย่างปลง “สำนักฝึกหลวง…ปีนั้นมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่! แต่ตอนนี้เล่า เป็นเพียงแค่หลุมฝังศพ!”

“ไม่ว่าจะซ่อมแซมอย่างไร ที่นี่ก็เป็นแค่หลุมฝังศพ!”

เสียงของอาจารย์สำนักเทียนเต้ายิ่งนานยิ่งเยือกเย็น “ไม่นานมานี้จิงตูมีข่าวเล่าลือว่าใต้เท้าสังฆราชต้องการเปิดสำนักฝึกหลวงมาอีกครั้งหนึ่ง ไม่รู้ว่าคำพูดนี้จะไร้สาระเพียงใด ถึงแม้จะเป็นเรื่องจริง ก็ต้องดูว่าบรรดาผู้อาวุโสเช่นข้าจะยินยอมหรือไม่!”

เขาหันกลับไปมองเฉินฉางเซิง นัยน์ตาลุกไหม้ไปด้วยเปลวไฟ ตะเบ็งเสียง “ข้าจะต้องบอกกับคนบนโลกใบนี้ คนเพ้อเจ้อก็คือคนเพ้อเจ้อ! สำนักฝึกหลวงที่ไร้ประโยชน์ก็คือสวนขยะ! ของที่ไร้ประโยชน์ก็คือของที่ไร้ประโยชน์ ใครก็อย่าคิดจะทำสิ่งใดอีก!”

ทั่วทั้งสำนักฝึกหลวงเงียบสงบ ด้านหลังของอาคารต้นหญ้ายังไม่ได้ถูกกำจัดให้สะอาด

เฉินฉางเซิงจ้องมองอาจารย์สำนักเทียนเต้าผู้นั้นเงียบๆ พลันเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว

ของไร้ประโยชน์…เรื่องขบขัน…สวนขยะ…สุสานฝังศพ

คำเหล่านี้ยังคงล่องลอยเข้ามาในหอตำราที่เงียบสงบ

เขาไม่รู้ว่าอาจารย์สำนักเทียนเต้าผู้นี้เพราะเหตุใดจึงรู้สึกเกลียดสำนักฝึกหลวงและตนถึงเพียงนี้ แต่เขารู้ความจริงสิ่งเดียวเท่านั้น

เขาเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง

เป็นนักเรียนเพียงหนึ่งเดียว เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไม่นาน แต่เพราะว่ามีหนึ่งเดียว สำนักฝึกหลวงแห่งนี้จึงเป็นของเขา ดอกไม้ ต้นหญ้า ต้นไม้ ก้อนอิฐ กระเบื้อง ก้อนหินเหล่านี้ล้วนแต่เป็นของเขา เขามองดูที่นี่มีชีวิตชีวาอีกครั้ง เขาเป็นนักเรียนรักความสงบ ที่นี่เป็นสวนสนุกของเขา ไม่ใช่สวนขยะ

เขาไม่ชอบการถูกทำให้เสียเกียรติ ยิ่งไม่ชอบให้สำนักฝึกหลวงถูกทำให้เสียเกียรติ

เขาคิดไปถึงความอัปยศอดสูที่ได้รับหลังจากเข้ามาในจิงตู คิดไปถึงซวงเอ๋อร์ก่อนที่จะเพิ่งจากไป ตัดสินใจที่จะทำบางอย่าง

“ข้าจะเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อย”

เขาจ้องมองไปยังอาจารย์สำนักเทียนเต้า เอ่ยว่า “อาจารย์ข้าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดท่านถึงมีความคิดเห็นต่อข้าและสำนักฝึกหลวงมากมายเช่นนี้ แต่หากท่านอยากจะขัดขวางให้ข้าออกจากการชุมนุมไม้เลื้อย ข้าจึงได้เพียงกล่าวกับท่านอย่างเสียใจ ท่านจะไม่มีวันสำเร็จ เพราะกิริยาท่าทางของท่านไม่มีมารยาทอย่างยิ่ง”

อาจารย์สำนักเทียนเต้าเอ่ยออกมาอย่างเมินเฉย “เข้าร่วมชุมนุมไม้เลื้อยจะต้องมีนักเรียนสองคน หรืออาจจะเป็น…ของไร้ประโยชน์สองสิ่ง ถึงแม้เจ้าใจกล้าที่จะเข้าร่วม ข้าก็ทำได้เพียงบอกกับเจ้าอย่างเสียใจ เจ้าไม่มีวันสำเร็จ เพราะว่าทั่วทั้งต้าลู่ไม่มีผู้ใดยินยอมที่จะเข้าสำนักฝึกหลวง นอกจากคนโง่เขลาเช่นเจ้า”

อาจารย์ซินมิได้เอ่ยสิ่งใด แต่เขารู้ว่าอาจารย์สำนักเทียนเต้าพูดเป็นความจริง ไม่มีผู้ใดยินยอมเข้าสำนักฝึกหลวง หรือว่าเฉินฉางเซิงถูกผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นเนรเทศมาที่นี่ อาจจะรับภาระสิ่งใดไว้ แต่ว่าคนเช่นนี้คงจะไม่มีคนที่สองเป็นแน่

หอตำราสงบเงียบอย่างยิ่ง

เฉินฉางเซิงจ้องมองจ้องมองพื้นสีดำแวววาวอยู่ด้านหน้า พลันเอ่ยถาม “เจ้ายังจะทำอยู่หรือไม่”

น้ำเสียงอ่อนนุ่มเยาว์วัยและเด็ดเดี่ยวดังขึ้น “ข้าจะทำ”

“ข้าคงจะสอนอะไรไม่ได้”

“อาจารย์ท่านสอนข้ามากมายแล้ว”

“เป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง เจ้าอาจจะต้องรับกับการดูถูกมากมาย”

“อาจารย์ ข้าชำนาญในการกลอกตาอย่างยิ่ง”

“เจ้าอาจจะ…ได้รับความเสื่อมเกียรติและความกดดัน”

“อาจารย์ ไม่มีผู้ใดกล้าทำให้ข้าเสื่อมเกียรติ”

หลังจากบทสนทนาจบลง

เฉินฉางเซิงยิ้มออกมา จ้องมองไปยังคนที่อยู่ข้าง เอ่ยว่า “ข้ายังไม่รู้ชื่อของเจ้า”

ลั่วลั่วดวงตาเป็นประกาย จับแขนเสื้อด้านขวาของเขาแนบแน่น กลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจภายหลัง เอ่ยว่า “อาจารย์ ข้าชื่อลั่วเหิง”

เฉินฉางเซิงยื่นมือไปจับมือซ้ายของนาง หลังจากนั้นมองไปยังอาจารย์สำนักเทียนเต้า เอ่ยว่า “ท่านดู ตอนนี้พวกเรามีสองคนแล้ว”

ลั่วลั่วรู้สึกเขินอาย พิงไหล่ขวาของเขา ราวกับนกแก้วที่เลียนเสียงเอ่ยมาอีกครั้งหนึ่ง “ใช่แล้ว มีสองคนแล้ว”

อาจารย์ซินตะลึงงัน

อาจารย์สำนักเทียนเต้าผู้นั้นโกรธจนถึงขีดสุด กล่าวตำหนิ “มีอย่างที่ไหน! สถานที่ผุพังแห่งนี้มีนักเรียนเพิ่มมาอีกเมื่อไหร่กัน เจ้าคิดว่าเจ้าคือใคร! เจ้าคิดว่าเจ้าเอ่ยว่านางคือนักเรียนของที่นี่ นางก็สามารถนับเป็นนักเรียนของที่นี่ได้หรือ!”

เฉินฉางเซิงไม่สนใจเขา ให้สัญญาณลั่วลั่วไปหยิบสมุดรายชื่อกับพู่กัน

เขาเพิ่มรายชื่อของลั่วลั่วบนสมุดรายชื่อ จริงจังและเป็นทางการอย่างยิ่ง

ลั่วลั่วยกขึ้นส่องกับแสงอาทิตย์ ใบหน้าเล็กๆ พองขึ้น ใช้แรงเป่าออกไป ปรารถนาให้แห้งเร็วๆ

แสงอาทิตย์กระทบลงมา สมุดรายชื่อถูกแสงแดดสาดสองทำให้ชัดเจนยิ่งนัก มีเพียงแค่สองรายชื่อ แต่สองรายชื่อก็เพียงพอแล้ว

“สมุดรายชื่ออยู่ที่ข้า ข้าอยากจะเพิ่มรายชื่อของใคร ผู้นั้นก็เป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง”

เฉินฉางเซิงชี้ไปที่สมุดรายชื่อ จ้องมองอาจารย์สำนักเทียนเต้า พลางเอ่ยว่า “ถึงแม้ท่านเป็นใต้เท้าสังฆราช ก็เปลี่ยนแปลงความจริงนี้ไม่ได้”

อาจารย์ซินรีบทำให้เรื่องจบลง เขาเอ่ยวาจานุ่มนวลสุดชีวิต เพื่อไว้หน้าอาจารย์สำนักเทียนเต้า เวลาเดียวกันก็ให้เขารับรองเอกสารพยานให้ทั้งสองมีคุณสมบัติเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อย อาจารย์สำนักเทียนเต้าเงียบนิ่งเป็นเวลายาวนาน จึงประทับตราส่วนตัวของเขาลงเอกสารในมือของอาจารย์ซิน

เรื่องราวยังไม่จบ

อาจารย์สำนักเทียนเต้าจ้องมองไปยังเฉินฉางเซิงกับลั่วลั่ว ใบหน้าไร้ความรู้สึก เอ่ยว่า “การชุมนุมไม้เลื้อย นักเรียนที่สอบผ่านล้วนแต่มีคุณสมบัติเข้าร่วม มีจำนวนมากที่มาจากทุกหนทุกแห่งของต้าลู่ ของที่ไร้ประโยชน์ดังเช่นพวกเจ้า เตรียมตัวที่จะไปให้ต้าโจวเสียหน้ารึ”

เฉินฉางเซิงคิดใคร่ครวญ เตรียมที่จะเอ่ยบางอย่าง

เวลานี้ ลั่วลั่วอยู่ด้านข้างกำลังดึงแขนเสื้อของเขา เอ่ยถามอย่างหวาดกลัว “อาจารย์ ข้าพูดได้ไหม”

เฉินฉางเซิง เอ่ย “ตอนนี้เจ้าคือนักเรียนของสำนักฝึกหลวง แน่นอนว่าได้”

ลั่วลั่วมองไปยังอาจารย์สำนักเทียนเต้า กล่าวอย่างจริงจัง “แต่ว่า อย่างนั้นแล้วเกี่ยวอะไรกับท่านเล่า”

อาจารย์สำนักเทียนเต้าไม่ใช่อาจารย์ของสำนักฝึกหลวง มีสิทธิ์อะไรที่จะมาสั่งสอนนักเรียนของสำนักฝึกหลวง ลั่วลั่วมองแล้วก็เป็นหญิงสาวอายุสิบเอ็ดสิบสอง นางพูดอย่างจริงจัง น้ำเสียงมีความอ่อนเยาว์เต็มไปด้วยความน่ารักไร้เดียงสา ประโยคนี้กลับชี้ถึงแก่นสาร อาจารย์สำนักเทียนเต้าได้ยินคำพูดที่เปล่งออกมาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่กลับไม่รู้ว่าจะพูดสิ่งใดต่อ

“ดี! ดี! ดี!”

เขาแปรเปลี่ยนเป็นหัวเราะ ตะเบ็งเสียงด้วยความเยือกเย็น “ข้าจะคอยดูว่าสำนักฝึกหลวงจะเปลี่ยนเป็นชนะได้อย่างไร ของที่ไร้ประโยชน์ออกจากสวนขยะถูกผู้คนทำให้เสียเกียรติในวันเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อย แปรเปลี่ยนเป็นจุดอ่อนที่น่าหัวเราะเยาะของทั่วทั้งต้าลู่ ไม่ต้องโทษว่าวันนี้ข้าไม่ได้บอกก่อน!”

เอ่ยประโยคนี้จบ เขาสะบัดแขนเสื้อออกไป

อาจารย์ซินไม่ได้ตามออกไป เขาเข้ามาในหอตำรา กดน้ำเสียงให้ต่ำลงอธิบายกับเฉินฉางเซิงไม่กี่ประโยค

เฉินฉางเซิงถึงได้เข้าใจ เดิมทีการชุมนุมไม้เลื้อยมีสำนักไม้เลื้อยทั้งหกเป็นเจ้าภาพสับเปลี่ยนหมุนเวียนกัน พอดีปีนี้หมุนเวียนมาถึงสำนักเทียนเต้า เนื่องจากอาจารย์สำนักเทียนเต้ารับผิดชอบตัดสินผู้เข้าร่วมการชุมนุม หลายปีมาแล้วที่สำนักฝึกหลวงไม่มีนักเรียนเข้าร่วม จึงค่อยๆ ถูกผู้คนลืมเลือน แต่ปีนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม นี่คงไม่ใช่สาเหตุที่อาจารย์สำนักเทียนเต้ามีอากัปกิริยาเลวร้ายเช่นนี้และยังไม่ให้เกียรติเขาถึงเพียงนี้ สาเหตุที่สำคัญอยู่ที่ข้อกำหนดของต้าโจว

ในข้อกำหนดเหล่านั้น หากไม่ได้รับสมัครนักเรียนติดต่อกันหลายปี ก็จะถูกยกเลิกคุณสมบัติทางด้านการศึกษารวมทั้งการคุ้มครอง สำนักฝึกหลวงหลายปีมาแล้วที่ไม่ได้รับสมัครนักเรียน ถ้าหากเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งปี ก็คงจะถูกยกเลิกความเป็นมาที่ยาวนานอย่างเงียบๆ ไร้ข่าวคราว ทว่าใครจะรู้…ปีสุดท้าย สำนักฝึกหลวงมีนักเรียนเพิ่มมาหนึ่งคนนามว่าเฉินฉางเซิง

“เพราะเหตุนี้หรือขอรับ” เฉินฉางเซิงถามออกไป

หลังจากอาจารย์ซินเงียบนิ่งชั่วครู่ จึงเอ่ยว่า “ปีนั้นที่สำนักฝึกหลวงมีเรื่อง…ศิษย์พี่ศิษย์น้องของอาจารย์เผิงสามท่าน ได้เสียชีวิตอยู่ที่นี่”

“แต่ว่าไม่ต้องกังวลจนเกินไป ถึงอย่างไรเมื่อการชุมนุมไม้เลื้อยมาถึงเพียงแค่ไม่ยกเลิกการเข้าร่วม อาจารย์เผิงกับผู้อาวุโสในปีนั้น ก็หมดหนทางจะทำอันใดเจ้าได้”

อาจารย์ซินปลอบโยนเขาสองประโยค จ้องมองลั่วลั่วที่ยืนข้างเขาอย่างเงียบๆ ยิ้มออกมาพลางตบไหล่เขา เอ่ยว่า “เจ้าทำได้แน่”

สี่คำนี้มีความหมายอะไร ลั่วลั่วไม่เข้าใจอย่างยิ่ง เฉินฉางเซิงก็ไม่เข้าใจ

แท้จริงแล้วทั้งสองมีอายุเพียงแค่สิบสี่ปี แต่เฉินฉางเซิงจนถึงขณะนี้คิดว่าลั่วลั่วเป็นหญิงสาวอายุสิบเอ็ดสิบสองปี

เฉินฉางเซิงจ้องมองใบหน้าน้อยๆ ของลั่วลั่ว พลันรู้สึกลังเล เพราะว่าจนถึงตอนนี้ เขาเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าหญิงสาวผู้นี้ช่างงดงามจริงๆ

ลั่วลั่วจับแขนเสื้อของเขา เอ่ยว่า “อาจารย์ ท่านเสียใจภายหลังไม่ได้แล้ว”

เฉินฉางเซิงเกาหัวอย่างจนปัญญา คิดเป็นเวลายาวนาน เก็บความรู้สึกไว้ภายใน เอ่ยออกมา “เจ้า…กินอะไรหรือยัง”

ลั่วลั่วเบิกดวงตากลมโต รู้สึกงงงวย “ตอนเช้าก็กินเกี๊ยวน้ำกับอาจารย์ไม่ใช่หรือ”

“เอ่อ…นี่เวลาอาหารเที่ยงแล้ว”

เฉินฉางเซิงจ้องมองไปยังนอกหน้าต่าง กล่าวว่า “ถึงเวลาที่ควรจะต้องรับประทานอาหารกลางวันแล้ว”

ลั่วลั่วได้ยินคำพูดเหล่านั้น จึงประสานมือไว้ข้างหน้า ย่อลงเล็กน้อยทำความเคารพ เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ข้าจะไปทำอาหารให้อาจารย์”

“ซื้อเอาเถอะ” เฉินฉางเซิงเอ่ยออกมา

ลั่วลั่วเสนอออกไป “เกี๊ยวน้ำ”

เฉินฉางเซิงคิดชั่วครู่ กล่าวว่า “ในตรอกนอกจากเกี๊ยวน้ำยังมีร้านบะหมี่ทำมือเจ้าหนึ่ง รสชาติไม่เลว ใช่แล้ว ไม่ต้องใส่ถั่วงอกเยอะ ใส่พริกหอมเยอะหน่อย”

ลั่วลั่ววิ่งออกไป ตลอดทางมีแต่เสียงหัวเราะเบิกบาน หางเปียกวัดแกว่งเบาๆ

บนกำแพงสวน ผู้ช่วยจินและผู้ดูแลหลี่มองกันและกัน

“เช่นนี้จะดีรึ”

“ข้ามองว่าดีอย่างยิ่ง”

หลังจากกินบะหมี่เรียบร้อยแล้วก็เป็นเวลาหลังเที่ยง ลมของฤดูใบไม้ผลิราวกับเพิ่มความหอมตามธรรมชาติ สูดดมแล้วทำให้เคลิบเคลิ้ม อยากจะนอนหลับ

เฉินฉางเซิงจ้องมองลั่วลั่ว พลางเอ่ย “วันนี้เพิ่งจะถามชื่อของเจ้า ขออภัย”

ลั่วลั่วยิ้ม ไม่เอ่ยสิ่งใด

“นำไข่มุกราตรีและสิ่งของทั้งหมดกลับไปเถอะ ข้ารับไม่ได้จริงๆ”

“อาจารย์ ท่านจะกลับคำใช่หรือไม่”

“แน่นอน…ว่าไม่ใช่”

“เช่นนั้น…จะคืนสิ่งของคารวะอาจารย์ได้อย่างไร”

“ก่อนหน้าเจ้าไม่ได้ซื้อบะหมี่ให้ข้าหรอกหรือ”

ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของลั่วลั่วพลันหยุดลง ยกชายกระโปรงขึ้นมา ค่อยๆ ก้มลงคำนับลงไปที่พื้นสีดำขลับ

เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งชั่วครู่ คำนับไปทางทิศของเมืองซีหนิง หลังจากนั้นจึงคำนับนาง

ฤดูใบไม้ผลิอากาศและทิวทัศน์งดงามอย่างยิ่ง ทะเลสาบเงียบสงบราวกระจก มีลมพัดผ่านห้องโถง หมุนรอบชั้นตำรา ร่วงหล่นลงมาที่ศีรษะ

เฉินฉางเซิงยืดตัวลุกขึ้น จึงพยุงนางให้ลุกขึ้นด้วย

ลั่วลั่ว กล่าว “ขอบคุณ”

เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยสิ่งใด ใคร่ครวญเป็นเวลานาน เอ่ยดังเช่นนาง “ขอบคุณ”