ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 37 บทเรียนแรก

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เฉินฉางเซิงพลันคิดเรื่องหนึ่งออก เอ่ยว่า “ใช่แล้ว ข้านามว่าเฉินฉางเซิง”

“ข้ารู้แล้ว” ลั่วลั่วหัวเราะโต้ตอบ

นางจะต้องรู้ว่าอาจารย์นามเฉินฉางเซิงแน่นอน ถึงแม้ไม่เคยสงสัยมาก่อน แต่ยังคงอยากจะคารวะเขาเป็นอาจารย์ คนของนางที่พักอยู่สวนร้อยหญ้าใช้ทุกวิถีทางตรวจสอบเฉินฉางเซิงอย่างละเอียด นางรู้ว่าเขามาจากเมืองเล็กๆ ชื่อซีหนิง รู้ว่าเขารู้จักถังซานสือลิ่ว รู้แม้กระทั่งเขาเข้ามาสำนักฝึกหลวงได้อย่างไร ดังนั้นนางจึงเชื่อมั่นมากขึ้นว่าอาจารย์จะต้องไม่ใช่คนธรรมดา

นางคิดเรื่องหนึ่งออก เอ่ยด้วยความกังวล “อาจารย์ คำพูดที่ข้าเพิ่งคุยกับอาจารย์จากสำนักเทียนเต้าไม่เหมาะสมใช่หรือไม่”

เฉินฉางเซิงคิดไตร่ตรอง กล่าวว่า “อืม ที่จริงแล้วก็มีบ้าง ‘อย่างนั้นแล้วเกี่ยวอะไรกับท่านเล่า’ ประโยคนี้ที่จริงแล้วสามารถเปลี่ยนเป็น ‘เกี่ยวอะไรกับเจ้า’ ”

เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ เขาหัวเราะออกมา ลั่วลั่วก็หัวเราะออกมา ทั้งสองมีความสุขอย่างยิ่ง นางคิดว่าอยู่กับอาจารย์ทำให้มีความสุขได้ง่ายดาย เช่นนี้เป็นเรื่องที่ดี หลังจากนั้นนางคิดออกถึงเรื่องก่อนที่อาจารย์สำนักเทียนเต้าจะมาถึง

“คนของจวนตงอวี้เพราะเหตุใดถึงมาหาอาจารย์”

“มีธุระเล็กน้อย”

เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร จ้องมองหญิงสาวที่มีท่าทางแปลกใจ จึงเอ่ยถาม “เจ้ารู้จักจวนตงอวี้หรือไม่”

ลั่วลั่วเอ่ย “รังของหงส์ในตำนาน จะไม่รู้จักได้อย่างไรเล่า”

คำว่ารังของหงส์ จะต้องมีเกี่ยวกับสายเลือดสวรรค์ของสวีโหยว่หรงเป็นแน่

เฉินฉางเซิง เอ่ยถาม “เจ้ารู้จักสวีโหยว่หรงหรือไม่”

“กลับกันเป็นข้าที่อยากรู้จักนางอย่างยิ่ง”

ลั่วลั่วกล่าวด้วยความเสียใจ “เมื่อข้ามาจิงตู นางก็ไปทิศใต้จึงไม่มีโอกาสได้พบกัน”

เฉินฉางเซิงนึกไปถึงสิ่งที่ถังซานสือลิ่วได้ประเมินสวีโหย่วหรงไว้ จึงเอ่ยแนะนำ “ลั่วลั่ว ข้ารู้ว่าเจ้าแข็งแกร่ง แต่ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับนาง พวกเราไม่ต้องคิดว่าจะแข็งแกร่งกว่าผู้ใด ขอเพียงแค่พวกเราก้าวหน้า เช่นนั้นก็คือความแข็งแกร่งที่แท้จริง”

ลั่วลั่วรู้ว่าเขาเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง จึงหัวเราะพลางเอ่ยออกมา “นางคือสายเลือดหงส์กลับชาติมาเกิด บนโลกนี้มีเพียงหนึ่งเดียว แม้แต่ครอบครัวข้าก็ชื่นชมนาง ตั้งแต่เยาว์วัยก็มักจะนำนางมากระตุ้นข้าตลอด แต่ข้าไม่เคยคิดจะเปรียบเทียบอะไรกับนางจริงๆ ได้ยินมาว่านางเป็นคนดี นอกจากนิสัยสงบนิ่งไม่ชอบคบค้าสมาคมกับผู้ใดบ้าง แต่ก็คงจะดีกว่าเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพของทางทิศใต้ แท้จริงแล้วข้าก็อยากจะรู้จักนาง อยากจะเป็นสหายกับนาง อาจารย์ ท่านว่าเช่นนี้ดีหรือไม่”

เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งชั่วครู่ เอ่ยว่า “ข้ากับนาง…ความสัมพันธ์ไม่ค่อยจะดี”

ฟังประโยคนี้ลั่วลั่วพลันตะลึงงัน หลังจากนั้นคิดอะไรบางอย่างออก เอ่ยว่า “อาจารย์แท้จริงแล้วชอบโกหกผู้อื่น”

เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ เอ่ยถาม “ข้าโกหกที่ไหนกัน”

“อาจารย์มักจะบอกว่าตนเป็นมนุษย์ธรรมดา”

“ข้าก็คือมนุษย์ธรรมดา”

ลั่วลั่วปิดปากหัวเราะ กล่าวว่า “มนุษย์ธรรมดา…แล้วจะมีความสัมพันธ์ไม่ดีกับนางได้อย่างไร”

เฉินฉางเซิงพูดไม่ออก เพราะสิ่งที่นางเอ่ยมีเหตุผล ถ้าหากว่าเป็นมนุษย์ธรรมดาจริงๆ เดิมทีคงไม่สามารถเกี่ยวข้องใดกับสวีโหย่วหรงผู้ที่อยู่สูงไกลสุดขอบฟ้า ถ้าหากไม่มีความสัมพันธ์อันใด แล้วจะมีความสัมพันธ์ไม่ดีได้อย่างไรเล่า

ลั่วลั่วจ้องมองท่าทางของเขา จึงไม่หัวเราะอีกต่อไป เอ่ยอย่างจริงจัง “อาจารย์ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าจะไม่ชอบนางแล้ว และก็จะไม่อยากเป็นสหายกับนาง”

เฉินฉางเซิงตะลึงงัน เอ่ยถาม “เพราะเหตุใด”

ลั่วลั่วกล่าวอย่างมีเหตุมีผล “เพราะว่าความสัมพันธ์ของอาจารย์กับนางไม่ดี เช่นนั้นนางคงไม่ใช่คนดีเป็นแน่”

เฉินฉางเซิงถอนหายใจ เอ่ยว่า “อย่างนี้ก็ไม่หลักการเสียเลย”

ลั่วลั่วเอ่ย “อาจารย์คืออาจารย์ ทุกสิ่งข้าจะต้องเชื่อฟังอาจารย์แน่นอน เช่นนี้ไม่ใช่หลักการหรอกหรือ”

เฉินฉางเซิงไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด ส่งสัญญาณให้นางนั่งลง หลังจากนั้นยื่นมือออกไป

ลั่วลั่วจะต้องคารวะเขาเป็นอาจารย์ เพราะว่านางมีปัญหาทางด้านการฝึกบำเพ็ญเพียรที่ยากจะแก้ไข

การบำเพ็ญเพียรใดๆ ล้วนแต่ต้องสอดคล้องกับวิธีการขับเคลื่อนพลังปราณแท้ เพียงแค่เข้าใจทั้งหมดก็จะสามารถนำอานุภาพที่แท้จริงของพลังปราณแท้ออกมาได้ ปัญหาของนางอยู่ที่ไม่สามารถขับเคลื่อนพลังปราณแท้ในร่างกายตามวิธีที่บันทึกในตำรา

ค่ำคืนที่ผู้แกร่งกล้าเผ่ามารลักลอบจะสังหารนาง เฉินฉางเซิงใช้ประโยคนั้นพิสูจน์ว่าสามารถแก้ไขปัญหานั้นได้ อย่างน้อยที่สุดก็มีความเป็นไปได้

เฉินฉางเซิงเขียนชื่อนางบนสมุดรายชื่อของสำนักฝึกหลวง เขายิ่งจะต้องรับผิดชอบการฝึกบำเพ็ญเพียรของนาง เขารู้ปัญหาของนางคร่าวๆ การเรียนครั้งแรกเป็นธรรมดาที่จะเริ่มจากด้านนี้ ก่อนอื่นเขาจะต้องรู้สภาพพลังปราณแท้ในร่างกายของนาง

ลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านเข้ามาในหน้าต่าง พัดหน้าตำราและชายกระโปรงปลิวไสว เฉินฉางเซิงกับลั่วลั่วนั่งบนพื้นไม้สีดำขลับหันหน้าเข้าหากัน เขาหลับตาคิดไตร่ตรองทำให้ใจให้สงบชั่วครู่ จึงให้สัญญาณลั่วลั่วยื่นมือขวาออกมา หลังจากนั้นเขาจึงยกมือของตนขึ้น ร่วงหล่นลงไประหว่างข้อมือของนางอย่างเชื่องช้า

การกระทำของเขาตามสบายและแม่นยำอย่างยิ่ง นิ้วชี้และนิ้วนางประกบชิดกันราวกับกระบี่ที่ถูกลับคม แผ่กระจายความหวาดกลัว ร่วงลงยังจุดชีพจรของนางอย่างแม่นยำ แต่เมื่อนิ้วมือวางลงไปชั่วพริบตา กลับนุ่มนวลอ่อนโยน เหมือนกับใบไม้ที่ร่วงหล่นในฤดูใบไม้ร่วงจะไม่ให้พื้นดินใต้ต้นไม้ได้รับความตื่นตกใจ

ดวงตาของลั่วลั่วเบิกกลมโต จ้องมองนิ้วมือของเขาที่กำลังวางบนข้อมือของตน แปลกประหลาดใจยิ่งนัก เมื่อนางเยาว์วัยก็มีชีวิตที่เพียบพร้อมไปด้วยทุกสิ่ง พบเจอสิ่งต่างๆ มากมาย ไม่รู้ว่าพบเจอแพทย์มานับเท่าไหร่ เป็นธรรมดาที่จะรู้ว่าวิธีการวางจุดชีพจรที่เหมือนกับไม่สะดุดตานี้ แท้จริงแล้วยอดเยี่ยมอย่างไร

หรือว่าอาจารย์จะเป็นแพทย์

นางตกตะลึงเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เฉินฉางเซิงก็ตกตะลึง เพราะว่าเขารับรู้ถึงสภาพการเต้นของชีพจรหญิงสาวที่สะท้อนออกมามีพลังแข็งแกร่ง แจ่มชัดราวกับกลองศึกก็มิปาน ปัญหาก็คือ…เสียงกลองนี้รวมตัวกันอย่างหนาแน่นเกินไป การเต้นของชีพจรเหตุใดถึงรวดเร็วเช่นนี้! นิ้วมือของเขาราวกับเม็ดฝนที่ถูกหนังกลองดีด ชั่วพริบตาก็เก็บกลับไป

เขาแหงนหน้ามองดวงตาของนาง เพ่งมองนัยน์ตาที่สงบสุกใสดวงนั้น แน่ใจว่าไม่ใช่เพราะว่านางตื่นเต้นจึงทำให้การเต้นของชีพจรเร็วเช่นนี้ หลังจากคิดไตร่ตรองชั่วครู่ จึงนำนิ้วมือทั้งสองวางลงไปข้อมือของนางอีกครั้ง คิดไม่ถึงว่าการเต้นของชีพจรที่สะท้อนออกมายังเป็นเช่นเดิม

ความถี่การเต้นหัวใจของลั่วลั่วเกินขีดธรรมดามากกว่าเท่าตัว!

หากเป็นมนุษย์ธรรมดา ความถี่การเต้นของหัวใจยังคงรวดเร็วเช่นนี้ สีหน้าก็จะเป็นสีแดงและเวียนศีรษะ มีเหงื่อผุดขึ้นเต็ม เวลาผ่านไปนานอีกนิด ไม่แน่อาจจะเส้นเลือดแตกเสียชีวิต!

แต่…ลั่วลั่วกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ มองแล้วธรรมดาอย่างยิ่ง แม้แต่สภาพของชีพจรยังคงปรกติ นี่เพราะเหตุใด

เฉินฉางเซิงไม่ได้ชักนิ้วมือกลับ ใจจดจ่อตรวจสอบการเต้นของชีพจรนาง สังเกตสภาพชีพจรของนาง หัวคิ้วยิ่งนานยิ่งขมวดเข้าหากัน จนกระทั่งเวลาผ่านไปเนิ่นนาน พบว่าความถี่การเต้นของหัวใจนางไม่เพียงแต่ไม่ได้ช้าลงตามระยะเวลา แต่กลับยิ่งนานยิ่งเร็ว!

เขาแหงนหน้ามองใบหน้าของลั่วลั่ว พบว่าไรผมของนางมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมา ลมหายใจแปรเปลี่ยนเป็นถี่ขึ้นเล็กน้อย รู้ว่าครั้งนี้นางตื่นเต้นจริงๆ

ลั่วลั่วแท้จริงแล้วตื่นเต้นอย่างยิ่ง นางคิดไม่ถึงว่าการกระทำครั้งแรกในการเรียนครั้งแรกของอาจารย์ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นการสัมผัสชีพจรของตนเอง จนกระทั่งฉินฉางเซิงใช้นิ้วมือของตนวางลงบนข้อมือนาง นางถึงเพิ่งคิดปัญหาข้อนั้นออก คิดออกว่าสภาพชีพจรของนางกับมนุษย์ธรรมดาแตกต่างกันอย่างยิ่ง…เช่นนี้แล้วจะทำอย่างไรเล่า

เฉินฉางเซิงชักมือกลับมา จ้องมองนางแล้วนิ่งเงียบเป็นเวลานาน เอ่ยถาม “ชีพจรของเจ้า…เป็นเช่นนี้มาตลอดเลยหรือ”

ลั่วลั่วก้มหน้าลง ตอบรับเสียเบา ราวกับเด็กที่ทำความผิดมาก็มิปาน “ตั้งแต่เกิดก็เป็นเช่นนี้”

เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบต่อไป คล้ายกับว่ากำลังคิดไตร่ตรองปัญหาที่ยากยิ่ง

เขาคาดเดาที่มาที่ไปของลั่วลั่วได้อย่างคลุมเครือ

มนุษย์ผู้ใดก็ตาม ความถี่การเต้นของหัวใจล้วนไม่สามารถเต้นรวดเร็วเป็นระยะเวลานานเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายาวนานดังเช่นลั่วลั่ว

สถานการณ์เช่นนี้สามารถอธิบายได้เพียงอย่างเดียว ลั่วลั่วไม่ใช่มนุษย์

ลมฤดูใบไม้ผลิพัดเข้ามาในหน้าต่างมิหยุด พัดหน้าตำรากับชายกระโปรงของนางปลิวไสว ยังมีไรผมที่เปียกชื้นเล็กน้อย

ทั่วทั้งหอตำราเงียบสงบ

ลั่วลั่วก้มหน้าลง ลักษณะท่าทางน่าสงสารอย่างยิ่ง

เฉินฉางเซิงจ้องมองนาง อยากจะถามอะไรบางอย่าง หากไม่รู้จะเอ่ยอย่างไร

ลั่วลั่วพลันเงยหน้าขึ้น จ้องมองท่าทางชะงักของเขา จึงเอ่ยด้วยความกล้า “อาจารย์ ท่านถามข้าก็จะตอบ”

เฉินฉางเซิงจ้องมองนาง ทันใดนั้นรู้สึกว่านางกล้าหาญอย่างยิ่ง คิดทบทวนชั่วครู่ จึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าไม่ถามแล้ว”

ลั่วลั่วเบิกตากลมโต จ้องมองเขาด้วยความตกตะลึง เอ่ยถาม “เพราะอะไร อาจารย์ หรือว่า…ท่านไม่ประหลาดใจเลยรึ”

ความประหลาดใจคือความคันที่ยากยับยั้งที่สุดในชีวิต และเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจที่สุด ดังเช่นตอนนี้นางแปลกใจอย่างยิ่ง เฉินฉางเซิงเพราะเหตุใดถึงไม่เอ่ยถามออกมา นางก็เอ่ยอย่างชัดเจนแล้ว เพียงแค่เขาถาม นางจะบอกเรื่องราวทั้งหมดแก่เขา

“ประหลาดใจสิ แต่บางทีก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี”

“หือ”

เฉินฉางเซิงถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “ข้าเป็นอาจารย์เจ้าใช่หรือไม่”

ลั่วลั่วงุนงง กล่าวว่า “แน่นอนว่าใช่สิ อาจารย์”

เฉินฉางเซิงยื่นมือลูบศีรษะของนาง หัวเราะพลางกล่าวว่า “อาจารย์ก็ต้องมีลักษณะของอาจารย์ ถ้าหากตกตะลึงกับสภาพความเป็นจริงเกินไป ตกตะลึงกับความเป็นมาของเจ้า ภายหลังพวกเราจะคบค้าสมาคมกันอย่างไร ตำแหน่งที่มีเกียรติของอาจารย์ ข้าจะรักษาได้อย่างไร”

“โอ้…”

ลั่วลั่วคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ นิ่งอึ้งไป หลังจากนั้นเอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง “อาจารย์ หรือว่าท่านไม่กลัวหรือ”

เฉินฉางเซิงกล่าว “มีอะไรให้เกรงกลัว เพียงแค่เมื่อก่อนไม่เคยพบเจอ จึงไม่คุ้นเคยเท่านั้นเอง”

ลั่วลั่วได้ฟังประโยคนี้ดีใจอย่างยิ่ง ใช้ศีรษะถูที่ฝ่ามือของเขา ราวกับแกะน้อยที่น่ารักตัวหนึ่ง เอ่ยออกมาพึมพำ “อาจารย์ดีที่สุดเลย”

อาจจะเพราะความรู้สึกข้างในของเฉินฉางเซิงส่งออกมาถึงข้างนอก เส้นผมทุกเส้นล้วนแต่ดี ลั่วลั่วเดิมทีเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างหาที่สุดมิใด หลังจากเวลานี้ได้ขยายใหญ่ขึ้นอย่างคาดไม่ถึง ราวกับพระอาทิตย์ยามรุ่งอรุณโผล่ขึ้นมา ถึงแม้เขาจะไม่เอ่ยถาม แต่ว่านางกลับอยากเอ่ยบางอย่าง

“อาจารย์ พลังปราณแท้ในร่างกายของข้ามีจำนวนไม่น้อย” นางเอ่ยออกมา

เฉินฉางเซิงคิดไปถึงสภาพชีพจรของนางก่อนหน้า มั่นใจเช่นนี้ พลังจิตของนางแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ถ้าหากมีความเป็นมาเช่นนั้น อย่างนั้นพลังปราณแท้ในร่างกายธรรมดาแล้วคงจะมีไม่น้อย อย่างน้อยคงจะมากกว่ามนุษย์ธรรมดาที่อายุเท่ากันหลายเท่า!

“แต่ข้าไม่รู้ว่าจะใช้ยังไง”

ลั่วกล่าวอธิบาย “ตระกูลข้าธรรมดาก็มีวิทยายุทธ์การฝึกบำเพ็ญเพียร แต่วิทยายุทธ์สูงสุดก็เหมาะสมสำหรับบุรุษ…ถึงแม้ข้าจะปลุกพลังลมปราณ ใช้วิทยายุทธ์วิธีนั้นก็ไม่สามารถฝึกฝนจนแข็งแกร่งดีเลิศ อย่างมากที่สุดจึงทำได้เพียงแค่ขั้นรวบรวมดวงดาว ไม่สามารถเข้าถึงเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์”

เฉินฉางเซิงไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด ในใจคิดใคร่ครวญถ้าหากสามารถฝึกบำเพ็ญถึงขั้นรวบรวมดวงดาว เช่นนั้นต้าลู่คงมีผู้แกร่งกล้าจำนวนมาก แต่หญิงสาวผู้นี้คาดไม่ถึงว่ากลับไม่พึงพอใจ เพราะเหตุนี้สามารถคาดเดาได้ว่านางมีความคาดหวังกับตนเองสูงเพียงใด อาจจะกล่าวได้ว่าความเป็นมาของนางน่าตกตะลึงไม่น้อย

“ถ้าหากไม่สามารถแข็งแกร่งที่สุด ภายภาคหน้าก็จะไม่สามารถสืบทอดตำแหน่งของท่านพ่อ ข้าก็จะต้องสมรสกับผู้สืบทอดของท่าน”

ลั่วลั่วจ้องมองเขา เอ่ยด้วยความเศร้าโศก “แต่ข้าไม่อยากสมรส”

“ดังนั้นเจ้าจึงอยากเรียนรู้วิธีการฝึกบำเพ็ญเพียรของมนุษย์ ลองดูว่าจะมีวิธีที่จะสามารถทำลายขีดจำกัดนั้นได้หรือไม่”

เฉินฉางเซิงคิดใคร่ครวญ หลังจากนั้นกล่าวว่า “ไม่มีปัญหา พวกเราจะต้องเป็นคู่ศิษย์อาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในต้าลู่เป็นแน่”

ลั่วลั่วเบิกตากลมโต ถึงแม้นางจะเชื่อมั่นในตัวเฉินฉางเซิงราวกับคนตาบอด แต่เมื่อฟังประโยคนี้ กลับยังคงไม่กล้าเชื่อ

เฉินฉางเซิงคิดใคร่ครวญปัญหาของตน มองไปยังทิศทางของหอหลิงเยียนในพระราชวัง รู้สึกหดหู่เล็กน้อย สิ่งที่เขาจะต้องทำล้วนแต่เป็นสิ่งเพ้อฝันเพ้อเจ้อของผู้อื่น แต่เขาจะต้องคิดเช่นนั้น และยังต่อสู้เพื่อสิ่งนี้ เพราะว่าโชคชะตาไม่มีทางเดินสายที่สองให้เขา

“กล้าที่จะคิด มีความใฝ่ฝันก่อนที่จะเป็นจริง ไม่มีข้อจำกัดให้กับตนเองก่อน ไม่เสาะหาข้ออ้างที่จะท้อถอย เหตุผลของความพ่ายแพ้มีเพียงเท่านี้ พวกเราถึงจะสามารถทำให้ความใฝ่ฝันที่เหมือนจะแสนไกล แปรเปลี่ยนเป็นความจริง”

“นี่ก็คือบทเรียนแรกที่ข้าให้กับเจ้า”