บทที่ 22.4 เหตุวุ่นวายในโรงน้ำชา แผนการของแต่ละฝ่าย (4)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

บทที่ 22 เหตุวุ่นวายในโรงน้ำชา แผนการของแต่ละฝ่าย (4) โดย Ink Stone_Romance

ในบรรดาสาวใช้สี่นางข้างกายเหยียนหลิงจวินนั้น อิ้งจื่อท่าท่างคล่องแคล่วที่สุด แต่คืนวันเทศกาลโคมไฟได้เผยโฉมหน้าออกสู่สาธารณชนแล้ว หากให้ไปดูแลฉู่สวินหยางคงจะไม่ดีเท่าไร

ฉู่สวินหยางยังคงสติล่องลอย จึงตอบรับไปอย่างไม่ทันไตร่ตรอง

เหยียนหลิงจวินถอยกลับไปดื่มชาต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ทางที่กลับไปตลอดทั้งทาง ทั้งสองต่างเงียบกริบไม่พูดไม่จา พอส่งฉู่สวินหยางกลับวังบูรพาเสร็จ เหยียนหลิงจวินก็เปลี่ยนเป็นขี่ม้ากลับไป

จนกระทั่งออกจากตรอกเล็กๆ หลังประตูวังบูรพา เขาจึงมองซ้ายมองขวาก่อนเอ่ยกับอิ้งจื่อ “มีอะไรก็พูดมา ไม่ต้องซ่อนไว้เช่นนั้นหรอก”

“ในเมืองส่งข่าวมา บอกว่าครึ่งปีหลังนี้องค์ชายสิบสองไปมาระหว่างคฤหาสถ์สองรอบแล้ว หากไม่เรียกกลับมา พอเขาเจอคนผู้นั้น เกรงว่าจะปิดเขาได้ไม่นาน” อิ้งจื่อเอ่ย พลางใช้หางตามองสังเกตท่าทีของเขา “นายท่านจะกลับไปพิจารณาก่อนหรือไม่ องค์ชายสิบสองไม่ได้ด้อยกว่าผู้อื่น หาก…”

“ส่งสาส์นไป ครั้งหน้าหากมีคนไปก็บอกว่าข้าอาการร้ายแรง ถูกอาจารย์รับตัวไปแล้ว” เหยียนหลิงจวินเอ่ย มุมปากเผยอยิ้มเย็นเยือก “หากไม่ได้ผลอีก ก็บอกกับพวกเขาไปเลยว่าข้าป่วยตายไปแล้ว พวกนั้นจะได้ไม่ต้องมาคอยเป็นห่วงอีก”

คำพูดเช่นนี้ หากเป็นแต่ก่อนเขาคงไม่มีทางพูดอย่างแน่นอน

อิ้งจื่อตะลึงงัน แล้วจึงนึกได้ว่าช่วงนี้อารมณ์ของเขาไม่ค่อยดีนัก จึงรีบก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไรขึ้นมาอีก

———————————–

จวนหลัวกั๋วกง

ข่าวหลัวส่วงเกิดอุบัติเหตุพลัดตกลงมาตายแพร่กระจายมา พวกญาติของเขาต่างก็เป็นลมหมดแรงไปกันยกใหญ่

หลัวเหว่ยเดินหน้าดำค่ำเครียดเข้ามา ส่วนฮูหยินหลัวก็ได้ข่าวรออยู่ในนั้นตั้งนานแล้ว เมื่อเห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปรับ “ท่านกั๋วกง เป็นอย่างไรบ้าง?”

“ศพของน้องห้าถูกศาลาว่าการนำตัวไป บอกว่าจะนำไปตรวจสอบอีกขั้น!” หลัวเสียงตอบอย่างโกรธโมโห

ทางด้านฮูหยินรองหลัว ตั้งแต่หลัวอี้ตายไปก็ซูบผอมลงมาก ร่างกายดูซีดเซียวผอมแห้ง นางเช็ดน้ำตาแล้วเอ่ย “แล้วคนเลวนั่นเล่า? ตระกูลฮั่วของพวกเขานี้ช่างชอบกลั่นแกล้งผู้อื่นนัก นี่ก็ครั้งสองครั้งแล้วคิดว่าคนตระกูลหลัวของข้าน่ารังแกมากหรือกระไร?”

นางพูดพลางหันกลับมาดึงมือฮูหยินใหญ่หลัว “ท่านพี่ เรื่องของท่านชายตระกูลเราเมื่อครั้งก่อนยังไม่สะสางกับฮั่วกัง ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าพวกเขามายั่วยุ เราต้องเข้าวังไปขอให้ฮองเฮาเป็นสักขีพยานให้กับเรา จะต้องไม่อ่อนข้อกับพวกตระกูลฮั่วต่ำช้านี่!”

ฮูหยินใหญ่หลัวก็เผยอารมณ์เศร้าหมองให้เห็นอยู่บ้าง จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นเช็ดน้ำตา แต่ไม่ได้ตอบรับ ทำเพียงมองไปทางหลัวเหว่ยเพื่อดูปฏิกิริยาของเขา

หลัวเหว่ยนั่งหน้าขรึมบนเก้าอี้ ไม่พูดไม่จา

เมื่อเห็นบรรยากาศแข็งทื่อเช่นนี้ หลัวเสียงจึงถอนหายใจเอ่ย “ท่านลุง ท่านป้า จะว่าไปน้องห้าก็นับว่าลำบากเพราะพวกเราสองตระกูล ช่วงนี้เนื่องด้วยเรื่องของท่านพ่อ ฮั่วกังเสียอำนาจทหาร ตระกูลฮั่วของพวกเขาคงจะโกรธแค้นตระกูลเราเป็นแน่ ข้าเคยได้ยินมาว่านิสัยของฮั่วชิงเอ๋อร์อะไรนั่นก็ไม่ได้มีอะไร แต่กลับไม่คิดว่านางจะใจกล้าหน้าด้านเช่นนี้ ยอมทำเรื่องเช่นนี้เพียงเพราะอยากระบายความโกรธเคือง ที่น่าสงสารคงจะเป็นน้องห้า โดนนางคร่าชีวิตไม่พูดอะไร พอตายไปยังจะโดนนางย่ำยีชื่อเสียงอีก”

หลัวเหว่ยฝากความหวังไว้กับหลัวส่วงมากแค่ไหน ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าฮูหยินใหญ่หลัวอีกแล้ว

ฮูหยินใหญ่หลัวแอบถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนเดินไปด้านหน้าเพื่อนวดไหล่ให้หลัวเหว่ย ก่อนถอนหายใจเอ่ย “ท่านกั๋วกง เรื่องนี้จะจัดการเช่นไร? หากเป็นเพราะแม่หญิงตระกูลฮั่วทำเพื่อแก้แค้นจริงๆ ก็จะให้ส่วงเอ๋อร์ตายไปเปล่าๆเช่นนี้ไม่ได้…”

“หึ!” หลัวเหว่ยหัวเราะเล็กน้อย และโยนถ้วยชาที่เพิ่งส่งถึงมือออกไป แล้วก็หมุนตัวเดินออกไปด้านนอก “คนของตระกูลหลัวของข้าไม่ใช่ใครคิดอยากจะแกล้งก็แกล้งได้ง่ายๆ ข้าจะไปเขียนสาส์นให้ตระกูลฮั่วชดใช้ชีวิตของลูกข้าเดี๋ยวนี้!”

ฮูหยินใหญ่หลัวสบสายตากับหลัวเสียงเป็นนัยว่ารู้กัน…

โวยวายเข้าไป ยิ่งทำเรื่องให้ใหญ่เท่าไรก็ยิ่งดี จะได้ใช้โอกาสนี้แก้แค้นตระกูลฮั่วให้กับหลัวอี้ หากไม่ทำเช่นนี้ สุดท้ายคนที่จะโดนหัวเราะเยาะก็เป็นตระกูลของนาง นี่นับว่าเป็นโอกาสดีของนางสองแม่ลูกจริงๆ

ฮูหยินใหญ่หลัวถอนหายใจด้วยความเศร้าระทม

ฮูหยินรองหลัวรีบตั้งสติไปประคองนาง ก่อนเอ่ยเกลี้ยกล่อม “ท่านพี่ คนตายไม่อาจฟื้นคืน ท่านก็พูดกล่อมท่านลุงให้ปลงเถิด!”

“อืม” ฮูหยินใหญ่หลัวพยักหน้าด้วยความเสียใจจนเกินขีดจำกัด และสะบัดมือของนางออก เดินไปยังหลังจวน

เมื่อออกจากโถงใหญ่ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นปกติ ไร้ซึ่งความโศกเศร้าใดใด สายตาของนางยังแฝงไปด้วยความดีใจอยู่ด้วย

เวลานี้หลัวเหว่ยยังคงโกรธจัด นางจึงไม่ได้ตามไปที่ห้องหนังสือ แต่เลี่ยงไปทางจวนของบุตรสาวหลัวซืออวี่แทน

ในเวลาเดียวกัน หลัวซืออวี่กำลังนั่งปักดอกไม้อยู่ในห้องริมหน้าต่าง หลัวเถิงก็กำลังนั่งดื่มชาเป็นเพื่อนนาง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า สองพี่น้องจึงหันไปมองเป็นสายตาเดียวกัน

“ท่านแม่!” หลัวเถิงเอ่ยและรีบไปพยุงฮูหยินใหญ่หลัวมานั่ง ก่อนส่งถ้วยชาไปให้

ฮูหยินใหญ่หลัวดื่มไปคำหนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ท่านพ่อของเจ้าโกรธไม่น้อย ยามนี้กำลังเขียนสาส์น บอกว่าจะทำเรื่องให้ใหญ่โตไปถึงห้องทรงอักษร เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับชายห้า”

“คนบ้านสองพวกนั้นก็นับว่าวางแผนมาดี พวกเขารู้ดีว่าท่านพ่อตั้งความหวังกับหลัวส่วงไว้มาก จึงลงมือกับเขา” หลัวเถิงเอ่ย พลันขมวดคิ้วเล็กน้อย กลัวคนอื่นมาเห็นแล้วจะพลอยไม่สบายใจ

ลักษณะนิสัยของเขาเป็นคนสุขุมไม่พูดมาก ทั้งยังเรียบร้อย และยังมีทักษะวิทยาดี เพียงแต่ตลอดเวลาที่ผ่านมามีหลัวส่วงบังหน้าตลอด หลัวเหว่ยจึงไม่ได้อะไรกับเขา

หากวันนี้เป็นผู้อื่นที่ตาย หลัวเหว่ยต้องคงไม่เดือดพล่านเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องสงสัยเบื้องหลังทั้งหมดของเรื่องนี้

แต่คนที่ตายคือคนที่เขาตั้งความหวังมาโดยตลอดอย่างหลัวส่วง เหมือนเหยียบลงมายังแผลสดๆ ของเขาเสียอย่างนั้น

“ตายแล้วก็ตายไป บุรุษผู้นั้นกะล่อนปลิ้นปล้อน เหมือนกับแม่ของเขาไม่มีผิด ล้วนแต่หน้าไหว้หลังหลอก ต่อหน้าอย่างลับหลังอีกอย่าง คอยประจบประแจงแต่พ่อเจ้า” ฮูหยินใหญ่หลัวเอ่ย “ตอนนี้เขาตายไปแล้ว ก็นับว่าเป็นการปูทางไปสู่อนาคตให้เจ้าเดิน ถือเป็นเรื่องดีสำหรับเรายิ่งนัก”

“คนบ้านสองจะต้องใช้โอกาสนี้ทำเรื่องอะไรแน่ ทางฝั่งวังโซ่วคังก็กล้ำกลืนเต็มทน หากท่านพ่อจะทำเรื่องให้ใหญ่โตไปถึงห้องทรงอักษร เกรงว่าจะไม่ได้จบง่ายๆ” หลัวเถิงเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นกังวล “หากให้ท่านพ่อโกรธต่อไป สุดท้ายก็เป็นบ้านสองที่เสียเปรียบ”

บ้านสองอยากจะได้ยศถาบรรดาศักดิ์ แต่ก่อนไม่กล้าเผยต่อหน้า ตอนนี้หลัวอี้ตายแล้ว คนพวกนั้นไม่มีอะไรต้องสนอีกแล้ว ถึงได้สอดไม้สอดมือมาถึงจวนของตนแล้ว

เรื่องหลังจากนี้จะเปลี่ยนไปเป็นเช่นไร ใครก็ไม่อาจคาดเดาได้ แต่ที่เห็นได้ชัด…

บ้านสองคิดจะคว้าโอกาสนี้ลงมือแล้ว

สีหน้าของฮูหยินหลัวและหลัวเถิงต่างคนต่างหนักอึ้ง เงียบสงบลง

เมื่อนั่งได้สักพัก หลัวซืออวี่จึงเงยหน้ามองท้องฟ้าและเอ่ย “นี่ก็ผ่านไปได้สักพักแล้ว ท่านแม่กลับไปอยู่กับท่านพ่อเถิด อย่างน้อยก็ไปกู้หน้าให้เต็มที่ ตอนนี้ท่านพ่อกำลังโกรธอยู่ เขาโกรธก็ส่วนโกรธ แต่คงจะไม่ปล่อยให้มือดีมาสร้างความร้าวฉานให้ท่านกับท่านพี่หรอกใช่หรือไม่”

เมื่อฮูหยินใหญ่หลัวได้ยินดังนั้น จึงเกิดความกลัวขึ้นมาทันที รีบลุกขึ้น “อืม ข้าจะไปดูเดี๋ยวนี้!”

รออยู่นาน หลัวเถิงจึงหันมาพูดกับหลัวซืออวี่ “น้องรัก เจ้ามีอะไรจะพูดใช่หรือไม่?”

หลัวซืออวี่ยิ้มขื่น ก่อนจะลุกเข้าไปในห้องด้านในเพื่อหยิบถุงกระดาษออกมาส่งให้กับหลัวเถิง

หลัวเถิงเปิดออกดูอย่างสงสัย จ้องอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา “เจ้าหมายถึง…”

“ท่านพ่อกำลังโกรธเป็นไฟ เขาอยากจะเขียนสาส์นก็ให้เขาเขียนไป ขอแค่อย่าให้เขามีโอกาสได้ส่งสาส์นนั่นไปก็เท่านั้น” หลัวซืออวี่เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบๆ ตามเดิม ไม่มีอารมณ์ใดใด

พวกคนบ้านสองยังรอให้พวกเขาเข้าตามแผน ในระหว่างที่ไม่รู้แผนการขั้นถัดไปพวกของอีกฝ่าย

วิธีที่ดีที่สุดก็คือไม่ขยับ!

ในเมื่อไม่มีวิธีเกลี้ยกล่อมหลัวเหว่ย เช่นนั้นก็ทำได้เพียงซ่อนไว้

แต่การจะใช้วิธีเช่นนี้กับพ่อแท้ๆ ของตนก็คงไม่ดีเท่าไร หลัวเถิงจึงได้แต่ถือถุงกระดาษ ยิ้มขื่นอยู่อย่างนั้น

หลัวซืออวี่ตบบ่าเขา ยิ้มเล็กน้อย “ท่านพี่ก็อย่าอคติไปเลย ยามนี้ท่านพ่อไม่ฟังใครพูดอะไร รอจนเรื่องอุตลุดวุ่นวายเมื่อไร เขาก็จะเข้าใจเอง แล้วก็จะไม่โทษท่าน”

“ข้าเข้าใจ!” หลัวเถิงยิ้มตอบกลับไป “วางใจเสียเถิด ข้ารู้หนักรู้เบาดี ยามนี้ไม่ใช่ยามที่จะมาคำนึงถึงเรื่องกตัญญูอกตัญญูแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวไปเตรียมการก่อน”

“อืม!” หลัวซืออวี่พยักหน้ามองเขาออกไป และกลับมานั่งปักดอกไม้ต่อจนถึงยามอาทิตย์อัสดง เมื่อมองไปยังห้องครัวก็รู้สึกว่าถึงเวลาทำกับข้าวแล้ว จึงลุกขึ้นเก็บของและจุดคบเพลิงเดินไปยังห้องครัว

หนังสือบรรยายเหตุของหลัวเหว่ยเขียนหนาเตอะ เขียนจนดึกจนดื่น จนตาแดงก่ำ เตรียมจะส่งเรื่องไปขอความเป็นธรรมให้กับลูกชายของตน แต่จู่ๆ ก็ปวดท้องขึ้นมากลางดึกแปลกๆ ตอนดึกจึงวิ่งไปเข้าห้องน้ำถึงสิบกว่ารอบ สาส์นที่เหลือจึงยังไม่ได้สรุปชัดเจน วันที่สองก็ไม่มีแรง จึงหยุดรักษาอยู่บ้าน

ความหวังที่ของเขาที่จะไปร้องขอความเป็นธรรมให้ลูกชายเหมือนจะล้มเหลว โกรธเสียจนควันออกหู

บ่ายวันนั้น จึงพาคนบุกไปที่จวนของหลัวซืออวี่ ปาถุงกระดาษลงบนสะดึงดอกไม้ของนางอย่างแรง ก่อนเอ่ย “ท่านหญิง ท่านกล้าใช้วิธีเช่นนี้กับท่านกั๋วกง ท่านนี่มันใจกล้าเสียเหลือเกิน!”

——————————–