บทที่ 22.3 เหตุวุ่นวายในโรงน้ำชา แผนการของแต่ละฝ่าย (3)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

บทที่ 22 เหตุวุ่นวายในโรงน้ำชา แผนการของแต่ละฝ่าย (3) โดย Ink Stone_Romance

ฉู่สวินหยางถือกาน้ำชาตะลึงงัน

เมื่อเห็นน้ำชาในกานั้นจะหกออกมา เหยียนหลิงจวินจึงรีบไปหยิบกาน้ำนั้นมาพลางเอ่ย “ก่อนหน้านี้มีงานอวมงคลของตระกูลหลัว เจิ้งเยียนก็มาร่วมด้วย”

“แล้วอย่างไรต่อ?” ฉู่สวินหยางยิ้มเจื่อนอย่างไม่อยากล้อเล่นด้วย “นี่เป็นการร่วมมือกันทั้งนอกในหรือ?”

ใช้ทายาทของจวนใหญ่ตระกูลหลัวมาเป็นเหยื่อล่อ ทำให้ตระกูลหลัวและตระกูลฮั่วสองตระกูลขัดแย้งกันอย่างรุนแรง เมื่อเรื่องราวกลายมาเป็นเช่นนี้ ผลลัพธ์ใครก็ไม่อาจคาดการณ์ได้

“เกรงว่าจะไม่เพียงเท่านี้” เหยียนหลิงจวิ้นถอนหายใจมาแต่ไกล ก่อนจะมองไปทางนาง “หลัวอวี่ก่วนเป็นศัตรูที่ตระกูลฮั่วแค้นใจนัก แต่ไม่ได้เกี่ยวกับตระกูลเจิ้ง ใครๆ ก็รู้ดี เจ้ากับท่านหญิงฮั่วนั่นเป็นมิตรกัน หากเรื่องเป็นเช่นนี้จริงๆ…

ที่จริงก็ควรจะคิดทบทวนนัก”

เขาพูดพลางเคาะโต๊ะอย่างสบายอารมณ์

ฉู่สวินหยางจ้องเขาอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่มีอารมณ์มาวุ่นอยู่ในแวดวงนี้เช่นเจ้า เจ้ารู้อะไรก็พูดมาให้หมดทีเดียวไม่ได้หรือ!”

“หึ” เหยียนหลิงจวินยิ้ม ดึงนางเข้าไปในอ้อมกอด วางคางลงบนไหปลาร้าของนาง

ฉู่สวินหยางผลักหัวเขาออก เงยหน้าไปมองและเอ่ยเร่ง “พูดออกมาสิ!”

“ตามจริง…” เหยียนหลิงจวินเอ่ยด้วยท่าทีไม่ใช่เรื่องของตัวเองเช่นเดิม เอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรร้ายแรง ช่วงนี้เจิ้งเยียนไปวัดก่วงเหลียนโดยเฉพาะถึงสองครั้งสองครา”

ฉู่สวินหยางผ่อนหายใจ ถึงบางอ้อ “เช่นนี้นี่เอง!”

ตระกูลหลินโดนฉู่เยว่เหยาทำให้ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เจิ้งเยียนจะคิดบัญชีนี้กับฉู่สวินหยางก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่หากผ่านมือฉู่หลิงอวิ้นคิดแผนแทนนางเพื่อใช้มาลากให้นางลงน้ำล่ะก็…

เรื่องนั้นก็ควรจะต้องคิดทบทวนอย่างหนักแล้ว

อีกฝ่ายคงไม่ช่วยเจิ้งเยียนแก้แค้นด้วยวิธีง่ายๆ ขนาดนั้น จะต้องมีแผนที่ลึกล้ำกว่านี้แน่

สีหน้าของฉู่สวินหยางสงบลงอย่างไม่รู้ตัว

เหยียนหลิงจวินยกมือถูหน้าผากนางเบาๆ ก่อนถาม “คังจวิ้นอ๋องเก็บนางไว้ทำไมกันแน่ เจ้าไม่รู้หรือ?”

ครั้งที่แล้วฉู่หลิงอวิ้นควรจะตายไปแล้ว แต่จุดสำคัญสุดท้ายกลับโดนฉู่ฉีเฟิงลากกลับมา

“ข้าไม่ได้ถาม” ฉู่สวินหยางตอบส่งๆ คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ออกมาจากอ้อมกอดของเขา ก่อนเปิดหน้าต่างเรียก “หยวนซาน!”

“ท่านหญิง!” จูหยวนซานรีบควบม้าตามขึ้นมา

“เจ้ารีบไปทำธุระให้ข้าเดี๋ยวนี้!” ฉู่สวินหยางเอ่ย คิดอยู่ครู่ “คนตระกูลจางยามนี้ยังอยู่ในพระนครหรือไม่?”“หืม?” จูหยวนซานตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะได้สติกลับมา “ท่านหญิงหมายถึงตระกูลจางที่อยู่จวนอ๋องเป่ยโหวก่อนหน้านี้หรือ?”

“ใช่ พวกเขานั่นแหละ!” ฉู่สวินหยางพยักหน้า

“พวกเขาย้ายจากจวนเดิมไปแล้ว เหมือนว่าย้ายไปอยู่จวนสองชั้นที่เมืองเฉิงซีขอรับ!” จูหยวนซานเอ่ย

“ไปแทนข้าที ไปส่งข่าว” ฉู่สวินหยางกกวักมือเรียกเขาเข้ามาสั่งไปสองประโยค

จูหยวนซานพยักหน้า ก่อนจะออกจากขบวนควบม้าไปทางเมืองเฉิงซีคนเดียว

ฉู่สวินหยางหดหัวกลับเข้าไปในรถม้า แม้เหยียนหลิงจวินจะไม่ได้ใส่ใจฟังว่านางพูดอะไรกับจูหยวนซานไปบ้าง แต่ก็พอเดาได้ จึงพูดหยอกเย้า “คังจวิ้นอ๋องตั้งใจเก็บนางเอาไว้ เจ้าก็อย่าทำเรื่องของเขาเสียเข้าล่ะ”

“ขอแค่เหลือลมหายใจสุดท้ายให้นาง จะเล่นอย่างไรก็ไม่นับว่าเกินไป” ฉู่สวินหยางเบ้ปาก

เดิมทีนางก็ไม่อยากไปพัวพันอะไรกับฉู่หลิงอวิ้นอีกแล้ว แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยวาง ก็อย่ามาโทษนาง

เหยียนหลิงจวินทำเพียงยิ้ม ก่อนจะเอ่ยตัดบท “เรื่องของฮั่วชิงเอ๋อร์เจ้าจะทำอย่างไร?”

ไม่เพียงเพราะความสัมพันธ์ระหว่างฮั่วชิงเอ๋อร์และฉู่สวินหยาง และยังมีความสัมพันธ์อย่างลับๆ ของฉู่อี้อันและฮั่วกังด้วย… ครั้งนี้หากวังบูรพาไม่ออกหน้ามาจัดการเรื่องนี้ แล้วฮั่วชิงเอ๋อร์มีอะไรเสียหายไป เกรงว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างฉู่อี้อันและฮั่วกังด้วย

มีเพียงผู้หญิงที่ถูกเลี้ยงในห้องเล็กๆ อย่างเจิ้งเยียนถึงรู้สึกว่าเป็นการจัดการความแค้นส่วนตัว ผลกระทบของเรื่องนี้นั้นเกินที่คาดการณ์ไปมาก อีกทั้ง…

ตรงกลางยังผูกตระกูลหลัวติดมาด้วย ทำไม่ดีหลัวฮองเฮาคงเข้ามาร่วมด้วยแน่

ฉู่สวินหยางเรียงลำดับเหตุการณ์อยู่ในหัวอย่างมีไหวพริบ สุดท้ายกลับหัวเราะขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ “ตระกูลหลัวนี่เกลือเป็นหนอนเสียจริง ตระกูลมีไส้ศึก ในเมื่อมีคนอยากจะนั่งเสือทะเลาะกันบนเขา เช่นนั้นก็ให้พวกเขาโวยวายกันไปก่อน ถึงเวลาจะจัดการจริงๆ ก็คงทำได้รวดเร็ว”

เหยียนหลิงจวินมองนางด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ไม่รู้ทำไม เวลาที่สาวน้อยนางนี้มีแผนร้ายอยู่เต็มหัวถึงได้เปล่งประกายถึงเพียงนี้

เขาแนบกายเข้าไป เอาปลายจมูกถูกับจมูกของนาง

ฉู่สวินหยางก็ไม่ได้หลบ จ้องเข้าไปในสายของเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ทำอะไร?”

สาวงามใต้หล้ามีนับหมื่น แต่เหยียนหลิงจวินกลับรู้สึกว่าคงไม่มีใครเปิดเผยและใจกล้าเป็นสองรองจากนางแล้ว

ชั้นเชิงและเล่ห์เหลี่ยมของนาง บางทีก็เหมือนว่าไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดิน แต่บางครั้งกลับจิตใจละเอียดอ่อนช่างน่าเอ็นดู

และเมื่อได้มองประกายตาของนางแล้ว เหยียนหลิงจวินใจก็เต้นแรงขึ้นมาแปลกๆ เหมือนตั้งแต่พบนางครั้งแรก เขาก็ได้ก้าวเข้าสู่การเดินทางครั้งใหม่ ไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นเร้าใจ แต่ทุกวันล้วนเต็มไปด้วยความหวังและการรอคอยที่ไม่สิ้นสุด

ตอนที่นางปฏิเสธไม่ให้เขาใกล้ชิด มองอยู่ไกลๆ ก็ยังผวาไม่หาย

เดิมคิดว่านางจะตัดสินใจออกห่างเพราะฐานันดรของเขา แต่ในใจที่เต็มไปด้วยแผนการของนางกลับใช้หน้าที่เรียบง่ายและบริสุทธิ์มารับเขาเอาไว้

ในเมื่อปฏิเสธที่จะให้คำสัญญาเรื่องอนาคต ขอเพียงได้เห็นหน้านาง ก็รู้สึกว่าไร้ความเสียใจและพอใจมากแล้ว

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด เขาคิดว่าตัวเองจะใช้ชีวิตแบบสงบสุขกลับถูกคนทำวุ่นวายไปแล้ว ลอยละล่องไปไกล ได้แต่ยอมสงบอยู่ในสายตาของคนงามคนหนึ่ง

“ซินเป่า!” เขาถอนหายใจเบาบาง เหยียนหลิงจวินก็ค่อยๆ ใช้มือลูบไปที่หน้าผากของนาง น้ำเสียงราบเรียบ “ข้ารู้สึกว่าข้าโดนเจ้าวางยาพิษแล้ว ทำอย่างไรดี?”

เนื่องด้วยที่เขาฝึกดาบ ฝ่ามือของเขาจึงมีรอยบาดแผลหยาบกร้าน เมื่อสัมผัสไปบนผิวหนังจึงรู้สึกเจ็บแปลบๆ อยู่บ้าง

ฉู่สวินหยางดึงฝ่ามือใหญ่ของเขาออก และใช้นิ้วมือลูบเบาๆ บนบาดแผลที่ฝ่ามือเขา ก่อนเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “ตัวเจ้าเองก็เป็นหมอ ยังจะมีแผลอะไรยากเกินความสามารถเจ้าได้อีก?”

“หมอไม่รักษาหมอกันเอง!” เหยียนหลิงจวินตอบ น้ำเสียงจริงจังขึ้นมาแปลกๆ

ฉู่สวินหยางเหลือบตาขึ้นมา แต่กลับเห็นว่ารอยยิ้มยั่วยวนในดวงตาของเขาไม่รู้หายไปตั้งแต่ตอนไหน สายตาซับซ้อนคู่นั้นจ้องมาที่นางอย่างจริงจังพิกล

มือของนางยังคงจับฝ่ามือของเขาไว้ จึงสัมผัสได้ถึงไอร้อนประหลาดที่แผ่ซ่านจากฝ่ามือของเขา

ทันใดนั้นใจก็สั่นแรงขึ้นมาแปลกๆ

นางฝืนยิ้มออกมา แต่ท่าทีของนางแสดงให้เห็นถึงความไม่สบายใจอยู่บ้าง

นางรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร คงเกี่ยวกับสัญญาเรื่องของอนาคต…

คนที่ขนาดชีวิตในอนาคตของตัวเองยังเอาไม่รอดอย่างนาง จะไปให้สัญญากับคนอื่นได้อย่างไร?

ฉู่สวินหยางยิ้ม สุดท้ายก็ได้แต่ยกแขนกอดเขา

เหยียนหลิงจวินยังคงหันข้างเช่นนี้ไม่ได้ขยับไปไหน ได้แต่ยอมให้นางกอดไปเงียบๆ

“หาก…” ผ่านไปนานนม ฉู่สวินหยางจึงค่อยๆ เอ่ยขึ้นแผ่วเบา “หากเจ้าไม่อยากเป็นเช่นนั้น อย่างนั้น…เราห่างกันสักพักดีหรือไม่?”

หากเขายิ่งตกไปลึกกว่านี้ แล้วจะถอนตัวออกได้อย่างไร?

เมื่อพูดประโยคนี้ออกไป ฉู่สวินหยางไม่รู้ว่าเหยียนหลิงจวินมีปฏิกิริยาอย่างไร แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ ในใจของนางกลับเจ็บปวดขึ้นมาแปลกๆ เสียก่อน เจ็บปวดแล้วก็ตามมาด้วยความตกใจ…

ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ที่นางเคยชินกับการมีอยู่เขาอยู่ข้างกายไปแล้ว

บางทีก็ไม่จำเป็นจะต้องได้เห็นทุกเวลา บางทีแค่ได้พบ เพียงสบตาเพียงชั่ววินาทีก็พอแล้ว แต่การมีอยู่เช่นนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของนางไปแล้ว บางทีก็ไม่ใช่ว่าจะขาดไปไม่ได้ แต่แค่…

ไม่อยากไปจินตนาการว่าตอนที่เขาห่างเหินกันไปจริงๆ จะเป็นเช่นไร

นางเหมือนกับ…

ต้องพึ่งเขามากเกินไปแล้ว!

ฉู่สวินหยางใจลอยไปชั่วครู่ เหยียนหลิงจวินก็ค่อยๆ ดึงแขนของนางออก ถอยร่างไปด้านหลังเล็กน้อย เงยหน้าทัดปอยผมที่่ร่วงหล่นตรงข้างหูไปด้านหลัง ก่อนเอ่ยปนยิ้ม “หากข้าไปจากเจ้าจริงๆ เจ้าจะเสียใจหรือไม่?”

เสียใจหรือไม่?

ตอนนี้พูดถึงเรื่องนี้ ในใจของนางเองก็รู้สึกเลือนรางอยู่เหมือนกัน

แต่เวลาที่พบกับเขา ฉู่สวินหยางยังคงยิ้มได้อย่างไม่มีข้อกังขา หลังจากที่มือของนางถอนออกมาจากมือเขาแล้วก็ไม่ได้ขยับอีก “นานวันเข้า เจ้าก็จะลืมเอง รอยแผลต่างๆ ล้วนจะถูกกลบเกลื่อนและจางหายไปเอง”

เอาเข้าจริงๆ ไม่ว่าสุดท้ายจะเป็นเช่นไร นางก็ยังคงเป็นนางที่สติสัมปชัญญะชนะทุกสิ่ง

เหยียนหลิงจวินยิ้มอย่างทำอะไรไม่ได้ จู่ๆ ก็เปลี่ยนประเด็นพูดแทรก “ไว้วันหลังจะให้เฉี่ยนลวี่และเจี๋ยหงไปกับเจ้าก็แล้วกัน ชิงหลัวไม่อยู่ จะใช้ทหารพวกนั้นก็คงไม่สะดวกเท่าไร มีพวกนาง เจ้าจะได้สะดวกขึ้น”

———————————-