บทที่ 22 เหตุวุ่นวายในโรงน้ำชา แผนการของแต่ละฝ่าย (2) โดย Ink Stone_Romance
ตู้ฉางหมิงแข็งใจเดินขึ้นไปด้านหน้า ยกมือคำนับ “ท่านกั๋วกง เหมือนกับ…เป็นเพียงอุบัติเหตุขอรับ!”
“อุบัติเหตุหรือ?” หลัวเสียงกระแอมในคอเบาๆ เดินขึ้นมาด้านหน้า “ตอนนี้ผู้บริสุทธิ์ น้องห้าของข้านอนตายที่นี่ ศาลาว่าการพระนครของเจ้าจะบอกว่าเป็นอุบัติเหตุแล้วเรื่องนี้จะจบเหรอ? เจ้าคิดว่าตระกูลหลัวของข้าคืออะไรกัน? จะทำส่งเดชอย่างนี้ก็ได้งั้นหรือ?”
ตู้ฉางหมิงรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ง่ายๆ แน่ จึงนำคำพูดที่ฮั่วชิงเอ๋อร์พูดเมื่อครู่มาอธิบายอีกรอบ “ท่านหญิงฮั่วพูดเช่นนี้ หากท่านกั๋วกงรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องการตรวจสอบขั้นถัดไป ข้าน้อยก็มิมีข้อเห็นส่วนตัว และจะนำตัวท่านหญิงฮั่วกลับไป”
หลัวเหว่ยเบ้ปากไม่พูด
ทว่าสาวใช้ของฮั่วชิงเอ๋อร์ ซู่จิ่นกลับร้อนรนไปหมด รีบก้าวออกมาจากฝูงชน กางแขนออกบังฮั่วชิงเอ๋อร์เอาไว้ พูดเสียงดัง “ใครกล้าแตะต้องท่านหญิงของข้า? ชายผู้นั้นมีเจตนาไม่ดีเอง ตายไปก็สมน้ำหน้า!”
“ต่ำช้า!” หลัวเสียงเห็นแก่หน้าของทุกคนจึงทนไม่ออกมือ ได้แต่จ้องเขม็งด้วยสายตาแข็งกร้าวไปที่ฮั่วชิงเอ๋อร์ “เจตนาไม่ดีอะไรกัน? คนตระกูลหลัวตระกูลฮั่วของพวกเจ้าเลี้ยงดูหรืออย่างไรกัน? นิสัยของน้องห้าข้าทุกคนรู้ดี ฮั่วชิงเอ๋อร์เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นสาวงามใต้หล้าหรืออย่างไรกัน? จะแต่งเรื่องก็แต่งให้มันสมจริงหน่อย ชีวิตคนใหญ่หลวงนักเจ้าอย่าปัดไปหน่อยเลย!”
ฮั่วชิงเอ๋อร์เริ่มได้สติหลังจากที่ตกใจเมื่อครู่ ได้ยินเช่นนั้นก็เลิกคิ้วเดินขึ้นไปด้านหน้า “ใครจะไปรู้ว่าจริงๆ แล้วตระกูลหลัวของท่านเป็นเช่นไร? ข้าพูดชัดเจนแล้ว เมื่อครู่เขามารุ่มร่ามกับข้าก่อน ส่วน…”
นางเหลือบไปมองชายที่นอนจมกองเลือดแวบหนึ่งก็รู้สึกใจฝ่อไปบ้าง เว้นวรรคครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงแข็ง “ข้าก็ไม่คิดว่าเขาจะตกลงมา ใครจะไปรู้ว่าเขาจะไม่ได้เรื่องเช่นนี้?”
“เจ้า…” หลัวเสียงโกรธตาลุกวาว
ตู้ฉางหมิงเห็นเช่นนั้นก็รีบเดินขึ้นมาแทรกระหว่างทั้งสอง ก่อนเอ่ยกับหลัวเหว่ย “ท่านกั๋วกง ท่านจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร?”
“ฆ่าคนมาทดแทน ชีวิตของคนตระกูลหลัวมิใช่ผักปลา ข้าต้องการความยุติธรรม” หลัวเหว่ยเอ่ยทิ้งไว้และสะบัดเสื้อออกไป
ผู้ติดตามของเขาก็เคลื่อนศพของหลัวส่วงออกไปด้วย
ฉู่สวินหยางเผยอยิ้ม เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มมองไปที่ตู้ฉางหมิง
ตู้ฉางหมิงรู้สึกกดดันขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็เก็บความรู้สึกเดินขึ้นไปยังผู้ติดตามพวกนั้น และรุดฝีเท้าไปคำนับตรงเงาหลังของหลัวเหว่ย “ท่านกั๋วกง ในเมื่อท่านอยากได้ความยุติธรรม เช่นนั้นศพของคุณชายห้ายังมิสามารถเอาไปได้ในตอนนี้ ข้าน้อยต้องนำเขากลับไปตรวจสอบที่ศาลาว่าการพระนคร”
ตระกูลสหายกษัตริย์ ล้วนแต่เป็นคนใหญ่คนโตทั้งนั้น
สีหน้าของหลัวเหว่ยเย็นเยียบ เมื่อหลัวเสียงเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยเสียงแข็ง “น้องห้าของข้าก็ตายไปแล้ว พวกเจ้ายังจะดูหมิ่นอีกหรือ? พวกเราไป!”
หากสถานการณ์อื่นตู้ฉางหมิงคงจะทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่นานแล้ว แต่แม้จวนหลัวกั๋วกงจะมีอำนาจมาก แต่อีกฝ่ายตระกูลฮั่วก็ไม่ใช่ตระกูลที่ไม่มีชื่อไม่มีแซ่อะไร อีกทั้งยังมีฉู่สวินหยางยืนอยู่ข้างๆ
เขายกมือรั้งไว้ แต่กลับไม่ได้ประนีประนอมแต่อย่างใด “ขออภัยขอรับคุณชายสาม ศพนี้ท่านไม่อาจนำไปได้”
หลัวเหว่ยหันกลับมามอง ดวงตานั้นแหลมคมเสียจนจะทิ่มแทงร่างของเขาให้เป็นรู
ตู้ฉางหมิงในใจร้องโอดครวญไม่หยุด แต่สีหน้ากลับนิ่งขรึม สงบนิ่ง ก่อนเอ่ยกับขุนนางที่อยู่ข้างๆ “เชิญท่านหญิงฮั่วกลับไปสืบสวนที่ศาลาว่าการพระนครด้วยขอรับ”
คนของศาลาว่าการกำลังเดินขึ้นจะไปนำตัว
ซู่จิ่นร้อนรน ตะโกนแผดเสียง “ใครกล้าแตะท่านหญิงของข้า!”
ยังพูดไม่ทันจบก็โดนคนของศาลาว่าการผลักออก
“ไม่ต้องให้พวกเจ้ามาจับ ข้าเดินเองได้!” ฮั่วชิงเอ๋อร์ถอยหลังไปก้าวหนึ่งเพื่อหลบมือของพวกนั้นก่อนตวาด
นางมองออกว่าตระกูลหลัวจะเอาเรื่องนี้มาอ้าง
คนของศาลาว่าการหันไปส่งสายตาให้ตู้ฉางหมิง เมื่อเห็นตู้ฉางหมิงพยักหน้าจึงถอยออกเล็กน้อย “เชิญขอรับท่านหญิงฮั่ว!”
ฮั่วชิงเอ๋อร์กระแอมเบาๆ และเดินไป
ซู่จิ่นน้ำตาคลอเบ้าจะตามไป แต่กลับโดนคนพวกนั้นส่งสายตาขู่จนไม่กล้าก้าวออกไปต่อ
หลัวเหว่ยเห็นตู้ฉางหมิงพาตัวฮั่วชิงเอ๋อร์ไป เขายังยืนหยัดจะเอาตัวหลัวส่วงต่อก็คงไม่ได้แล้ว เขาจึงลังเลอยู่พักหนึ่งไม่ได้พูดอะไร และหันตัวกลับไป
ฉู่สวินหยางไม่ได้แบกหน้าเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นเพียงคนดูเหมือนกับคนอื่นๆ
ตู้ฉางหมิงมองนางแวบหนึ่งก็โบกมือให้สัญญาณพาฮั่วชิงเอ๋อร์ออกไป
ซู่จิ่นรีบย่ำเท้ายิกเตรียมจะตามไป แต่กลับโดนชิงเถิงรั้งไว้และเอ่ยเตือน “ทำไมยังไม่รีบกลับไปบอกคุณชายและฮูหยินตระกูลเจ้าอีก!”
“ใช่!” ซู่จิ่นนึกขึ้นได้ รีบเช็ดน้ำตาวิ่งออกไปจากฝูงชนตรงนั้น
กลุ่มคนที่มาออกันค่อยๆ แยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง เหลือเพียงแม่หญิงที่อยู่กับฮั่วชิงเอ๋อร์ก่อนหน้านี้ท่าทีอ่อนแอเสียจนถูกสาวใช้ประคองชิดกับไม้ตรงประตูเรือนมีสุข
“เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร?” เจิ้งเยียนถอนหายใจยาวๆ
“ใช่น่ะสิ ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้?” ฉู่สวินหยางยิ้ม หันกลับไปมองนางด้วยสายตาที่มีนัยอะไรบางอย่าง
เวลาที่นางยิ้มจริงใจมักจะเป็นรอยยิ้มที่แสนบริสุทธิ์ ไม่มีนัยยะอื่นซ่อนอยู่
แต่ไม่รู้ทำไม ยิ่งนางยิ้มร่าเริงเช่นนี้ เจิ้งเยียนก็ยิ่งรู้สึกว่ากำลังโดนคนอ่านความคิดของตนออก รู้สึกใจฝ่อขึ้นมา
นางหลบสายตาไป ขณะที่กำลังกัดปากลังเลว่าจะพูดอะไรอยู่นั้น รถม้าคันหนึ่งก็มาจอดอยู่ข้างนาง เป็นเฉี่ยนลวี่และเจี๋ยหงลงมาจากรถ พลันเปิดรถม้าออก “ท่านหญิง ถึงเวลาไปแล้วเจ้าค่ะ!”
“อืม!” ฉู่สวินหยางพยักหน้า และขึ้นรถไปโดยไม่หันมามองพวกเจิ้งเยียนอีก
เมื่อมองรถม้าที่องค์รักษ์วังบูรพาจนลับตาไปแล้ว เจิ้งเยียนก็ยืนมองนิ่งอยู่ที่เดิมพักใหญ่แล้วจึงหันกลับมาคุยกับคนอื่นไม่กี่ประโยค หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไป
รอจนคนพวกนั้นแยกย้ายไป สาวใช้ข้างกายของนางจึงค่อยๆ เอ่ย “ท่านหญิง ท่านว่าเรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่? หม่อมฉันเห็นท่านหญิงสวินหยางทำราวกับว่าจะไม่เข้ามายุ่ง หากนางไม่ยุ่ง…”
“นางจะต้องยุ่งอย่างแน่นอน!” เจิ้งเยียนเอ่ยเสียงดังฟังชัด เหมือนกับมั่นใจเอาเสียมากๆ
สาวใช้นางนั้นอ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไรต่อ แต่เมื่อเหลือบเห็นประกายในดวงตาของนางจึงเงียบไป และหันกลับไปสั่งให้นำรถม้ามารับ
พี่หญิงบอกว่าความสัมพันธ์ของฉู่สวินหยางและฮั่วชิงเอ๋อร์ไม่ธรรมดา คงไม่ผิดจริงๆ หากฮั่วชิงเอ๋อร์ถูกฟ้องร้องคดีฆ่าคน ฉู่สวินหยางจะต้องไม่นั่งอยู่เฉยๆ เป็นแน่ พอถึงตอนนั้นก็มีโอกาสแล้ว
อีกฝ่ายทำร้ายแม่ของนางแล้วถูกส่งไปทรมานที่สุสานประจำตระกูล หลังจากนั้นก็เป็นอิสระเหรอ? อะไรมันจะง่ายขนาดนั้นกันเชียว?
เจิ้งเยียนคิดด้วยความโกรธแค้น และรถม้าก็พาถึงพอดี สาวใช้จึงพยุงนางขึ้นรถและออกไป
———————————–
บนรถม้า
เหยียนหลิงจวินจับมือของฉู่สวินหยางไว้แน่น
ฉู่สวินหยางคลานจากข้างโต๊ะไปนั่งใกล้ๆ เขามากกว่าเดิม ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่เงยหน้ามองเขา
เหยียนหลิงจวินก้มหน้ามองนางแวบหนึ่ง และอดไม่ได้ที่จะหลุดขำ “ข้าถามให้เจ้าแล้ว เจิ้งเยียนเป็นคนนัดท่านหญิงตระกูลพวกนั้นออกมา แม่หญิงพวกนั้นก็ไปมาหาสู่กันตลอด นับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”
“เจิ้งเยียน?” ฉู่สวินหยางเบ้ปาก จู่ๆ ก็คิดอะไรได้ ดวงตาซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ ก่อนเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “ทายาทหญิงที่เป็นข่าวลือไปทั่วบ้านทั่วเมืองว่าจะแต่งเข้าจวนอ๋องหนานเหอน่ะหรือ?”
“ก็แค่คำพูดของพวกว่างงาน ฟังๆ ไปก็พอ!” เหยียนหลิงจวินยิ้ม ก้มหน้ามองนางหัวเราะในลำคอเสียงแหลมเล็กน้อย ก่อนเอ่ย “ตั้งแต่ต้นจนจบจวนอ๋องหนานเหอไม่ได้ตอบโต้เรื่องนี้แม้แต่น้อย หากสองตระกูลมีเจตนานี้จริง คงไม่ต้องปิดบังเสียขนาดนี้หรอก จริงหรือไม่?”
“แม้ตระกูลเจิ้งจะมีอิทธิพลมากในราชสำนัก แต่ที่จริงอำนาจในมือทั้งหมดฝ่าบาทได้ยึดคืนไปแล้ว พูดอย่างจริงจังหน่อยก็คือมีประโยชน์ให้ใช้ได้ไม่มากนัก” ฉู่สวินหยางพยักหน้าเห็นด้วย คิดไปคิดมาก็ถอนหายใจยาวเฮือกใหญ่
“แล้วเจ้าว่า ข่าวเช่นนี้ใครเป็นคนแพร่ออกไป?”
“เจ้าว่าใครล่ะ?” เหยียนหลิงจวินยิ้ม ถามกลับ
ฉู่สวินหยางเบ้ปาก ได้แต่ยิ้มไม่ตอบ แต่คิดไปไกลมาก
ตอนนี้จวนอ๋องหนานเหอกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก แม้อำนาจของจวนผิงกั๋วกงจะมีจำกัด แต่หากกุมไว้ในมือได้ก็ได้กำไรไม่น้อย ตามนิสัยของฉู่ฉีเหยียน เขาไม่ใช่ว่าจะทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้…
เพียงแค่ตามที่ฉู่สวินหยางเข้าใจ เขาเป็นคนใจกว้าง ก็มีแต่ตระกูลเจิ้ง คงจะไม่คุ้มกับการที่เอาเรื่องสมรสเรื่องใหญ่ของตนไปแลกหรอกระมัง
ความคิดที่ไปไกลของนางถูกดึงกลับ ฉู่สวินหยางชักมือจากเหยียนหลิงจวินกลับมา หยิบกาน้ำชารินชาให้เขา ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ตระกูลหลัวเสียคุณชายที่มีอนาคตไกลเจ้าหนึ่่ง แม้จะเป็นแผนการของเจิ้งเยียน แต่ตามกำลังของนางก็คงมิอาจทำเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ได้สำเร็จ ทางเจ้ามีข่าวคราวบ้างหรือไม่? ช่วงนี้นาง…ได้เจอคนที่น่าสงสัยหรือไม่?”
“เจ้าไม่ค่อยได้ไปสุงสิงกับวงการแม่หญิงพวกนั้น คงจะไม่รู้…” เหยียนหลิงจวินยิ้มอย่างมีนัย “ท่านหญิงเจิ้งนี้กับคุณหญิงสามตระกูลหลัวสนิทกันยิ่งนัก ได้ยินว่าทั้งสองเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เยาว์วัย ความสัมพันธ์แนบแน่นไม่น้อย”
——————————–