ตอนที่ 92 ความดีความชอบของท่านบัณฑิต

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 92 ความดีความชอบของท่านบัณฑิต

ณ หมู่บ้านไป๋ซี

ท้องฟ้าใกล้มืดมิดเต็มที

“เหตุใดยังไม่กลับมาอีก?” แม่นางเหลียนมองไปทางประตูบ้านพลางสั่งให้หยุนเยี่ยนละเสี่ยวอู่เตรียมโต๊ะอาหารในห้องปีกตะวันตก

ขณะที่กระวนกระวายอยู่นั้น นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามา

ปรากฏเงาเล็กใหญ่สองเงา

ร่างเล็กวิ่งเข้ามาในลานบ้านพลางตะโกนด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ท่านแม่… ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว!”

คิ้วเรียวดั่งคันศรของแม่นางเหลียนพลันคลายออกจากกัน นางเหยียดยิ้มอ่อนโยนขณะอ้าแขนรับลูกสาวคนที่สองเข้าสู่อ้อมกอด “เหตุใดถึงไปนานเพียงนี้ รีบเข้าไปกินข้าวกินปลาก่อนเถอะ!”

หยุนลี่เต๋อมองไปทางภรรยาพลางหัวเราะในลำคอ “แม่สาวน้อยเอาแต่บ่นว่าคิดถึงอาหารของท่านแม่กับผักดองจนทนไม่ไหวแล้ว”

“ท่านเป็นพ่อประสาอะไร ลูกสาวข้าหิวโซขนาดนี้ เหตุใดท่านถึงไม่ซื้อซาลาเปาในเมืองให้นางกินรองท้องเล่า” แม่นางเหลียนบ่นอุบด้วยความเจ็บปวดใจ ขณะเช็ดเหงื่อบนในหน้าของหยุนเชวี่ย

หยุนลี่เต๋อพูดไม่ออก

เดิมเขาคิดจะปลอบภรรยาเพื่อให้นางคลายกังวล แต่ใครจะรู้ว่าการพูดประจบสอพลอจะทำให้เขาโดนตำหนิ

“ท่านพ่อกลัวว่าท่านแม่จะรอนานและเป็นห่วงจึงรีบกลับมาเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยกอดเอวแม่นางเหลียนพลางขยิบตาให้บิดา

หยุนลี่เต๋อรีบพยักหน้ารับ ใบหน้าหมองคล้ำพลันเบิกบาน เขาฉีกยิ้มกว้างจนเผยให้เห็นฟันขาวสะอาดเรียงตัวเป็นระเบียบ

แม่นางเหลียนก้มหน้าลงอย่างอดไม่ได้

“เจ้ารอง พวกตระกูลหยูว่าอย่างไรบ้าง?”

ภายในห้องโถงใหญ่ ตะเกียงน้ำมันถูดจุดขึ้นเพื่อให้แสงสว่าง ผู้เฒ่าหยูยืนอยู่ด้านหน้าประตู แสงจากตะเกียงสาดส่องวูบวาบมาจากด้านหลังทำให้มองไม่เห็นใบหน้าของเขา

“ท่านพ่อ…”

ขณะที่กำลังจะเปิดปากพูด หยุนลี่เต๋อก็ได้ยินเสียง “ตึง ตึง” คนรูปร่างผอมสูงวิ่งผ่านธรณีประตูเข้ามา

“ท่านพ่อ ท่านพ่อ แฮ่ก ๆ เดินทางไปกลับหลายสิบลี้นั้นเหนื่อยแทบหมดลม!” หยุนลี่จงหอบหายใจอย่างหนัก

ในตอนที่เขาเดินทอดน่องถือเงินห้าตำลึงอย่างสบายอารมณ์อยู่นั้น สองพ่อลูกได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เมื่อครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วเขาจึงนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้

เจ้ารองต้องรีบร้อนเดินทางกลับบ้านเพื่อแย่งความดีความชอบไปแน่!

เจ้าเล่ห์นัก!

หยุนลี่จงจึงตบต้นขาก่อนสับเท้าวิ่งตลอดทางกลับบ้าน รองเท้าผ้าที่เขาสวมใส่นั้นทำให้วิ่งเร็วขึ้นเล็กน้อย ไม่นานต้องตามสองพ่อลูกทันแน่

“ทะ ท่านพ่อไปคุยกันด้านในเถิดขอรับ” หยุนลี่จงถอดรองเท้าก่อนหยิบขึ้นมาและโบกให้หยุนลี่เต๋อ “เจ้ารองไปกินข้าวเถอะ!”

ปีกตะวันตกของบ้าน

“ถ้าอย่างนั้นเรื่องยุ่งเหยิงของชิ่วเอ๋อกับตระกูลหยูจบลงแล้วหรือ?” แม่นางเหลียนเอ่ยถามขณะตักโจ๊กใส่ชาม

“อืม!” หยุนลี่เต๋อพยักหน้าอย่างไร้เดียงสา “ต้องขอบคุณนายน้อยเฉียนผู้นั้น เจ้าจัดการไก่ฟ้าให้เรียบร้อยเถิด พรุ่งนี้เชวี่ยเอ๋อจะได้นำไปส่งให้ลูกค้า”

“นั่นเป็นเรื่องใหญ่เลยล่ะ เราต้องขอบคุณเขาให้มาก!” แม่นางเหลียนพยักหน้า หัวใจของนางหนักอึ้งราวกับมีหินก้อนใหญ่หล่นทับ

หยุนเชวี่ยกินผักเข้าไปคำโตก่อนเลียมุมปาก “ท่านแม่ ท่านลุงถูกทุบตีจนใบหน้ามีรอยแผลหลายแห่งเลย”

“หา?”

แม่นางเหลียนและหยุนเยี่ยนเบิกตาตากว้าง ท้องฟ้าด้านนอกมืดสนิท หยุนลี่จงวิ่งฝ่าความมืดที่มองอะไรแทบไม่เห็นเช่นนี้ได้อย่างไร

“แม่ของหยูซื่อเป็นคนทำร้ายท่านลุงใหญ่ นางโหดร้ายมาก!” แก้มของหยุนเชวี่ยป่องออกมาขณะเล่าเหตุการณ์เกินจริง “นางสามารถถีบลุงใหญ่ออกไปนอกประตูเลยนะ!”

“หา?”

สองแม่ลูกอุทานก่อนเอามือกปิดปากด้วยความตกใจ พวกนางดูตกใจยิ่งกว่าคนพบเห็นเหตุการณ์เสียอีก

“รอจนรุ่งสางพวกท่านก็จะเห็น ใบหน้าของลุงใหญ่เต็มไปด้วยรอยเลือด” หยุนเชวี่ยใช้มือทำท่าทางประกอบ

เมื่อนึกถึงสภาพอันน่าสังเวชของหยุนลี่จง นางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

“หา?”

หยุนลี่เต๋อเคาะโต๊ะ “นั่งกินข้าวดี ๆ”

แม่นางเหลียนรีบดึงแขนของสามีพลางพับแขนเสื้อขึ้น “ท่านเห็นเขาโดนตบตีหรือไม่??”

“ข้าไม่ได้…”

“ถ้าอย่างนั้นอาสะใภ้ตระกูลหยูดุขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“อืม ๆ!” หยุนเชวี่ยยกชามขึ้นซดพลางพยักหน้า

เมื่อแม่นางเหลียนเห็นหยุนลี่เต๋อไม่ได้รับบาดเจ็บจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก “ยังดีที่ชิ่วเอ๋อไม่ได้แต่งเข้าไป ไม่เช่นนั้นนางต้องทุกข์ทรมานแน่”

หยุนเชวี่ยโบกมือ “ไม่หรอก”

“หา?”

“ท่านแม่เคยพบหน้าหยูซื่อไหม?”

แม่นางเหลียนส่ายศีรษะ เดิมทีนางและแม่นางจ้าวต้องไปเป็นเพื่อนหยุนชิ่วเอ๋อในวันพบปะ ทว่าแม่เฒ่าจูไม่อยากใช้เงินโดยใช่เหตุ ดังนั้นนางจึงให้แม่นางจ้าวไปกับหยุนชิ่วเอ๋อเพียงลำพัง

“แค่ก ๆ” เมื่อนึกถึงหนังสือที่อยู่ในมือของหยูซื่อ หยุนลี่เต๋อพลันรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ไม่รู้ว่าลูกสาวของเขาเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นหรือไม่

“ท่านพี่เป็นอะไรหรือ ข้าปิดประตูลงกลอนหมดแล้ว คนนอกไม่ได้ยินหรอก” แม่นางเหลียนชำเลืองมองสามีอย่างไม่พอใจ

หยุนเยี่ยนยืดคอขึ้นด้วยความสงสัย อย่างไรแล้วนางรู้ดีว่าชิ่วเอ๋อมีสายตาเฉียบแหลมเสมอ เช่นนี้จึงพยักหน้ากับตนเองพลางคิดในใจ… ครั้งนี้คงไม่ต่างจากครั้งอื่น

หยุนลี่เต๋อตักข้าวคำใหญ่เข้าปากโดยไม่กล่าวคำใด

หยุนเชวี่ยเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง การแสดงออกบนใบหน้าเล็ก ๆ นั่นไม่ต่างจากป้าแก่ ๆ ที่ชอบจับกลุ่มนินทาคนอื่นในหมู่บ้าน

“หัวของหยูซื่อกลมกว่าชามบ้านเราเสียอีก…”

“ตาเป็นแบบนี้…”

“คิ้วเป็นแบบนี้…”

“ปากแบบนี้…”

หยุนเชวี่ยใช้สองมือดึงหางตาและทำท่าเลียนแบบหยูซื่อ

แม่นางเหลียนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางจึงเผยสีหน้าไม่เชื่อ “ล้อเลียนผู้อื่นอีกแล้ว ไหนเลยจะมีคนหน้าตาเช่นนั้น? นั่นมันคือเผือกดำไม่ใช่หรือ?”

มีพืชชนิดหนึ่งงอกเงยขึ้นบริเวณบ่อน้ำของหมู่บ้านไป๋ซี มันมีเปลือกสีม่วงสลับดำ กลีบสีขาวสะอาด เมื่อกัดเข้าไปแล้วจะมีความหวานฉ่ำ เนื้อสัมผัสกรุบกรอบ ชาวบ้านจึงเรียกมันว่าเผือกดำ

อันที่จริงแล้วมันคือแห้วทรงกระเทียม ซึ่งบางแห่งเรียกว่าเกือกม้า

หยุนเชวี่ยทำท่าทางประกอบพลางตบโต๊ะและหัวเราะคิกคัก ขณะนี้ในสมองของนางมีแต่ภาพมนุษย์เผือกดำลอยอยู่… โดยไม่มีความรู้สึกผิดแม้แต่น้อย

“จริงนะท่านแม่ หากไม่เชื่อลองถามท่านพ่อสิเจ้าคะ”

แม่นางเหลียนหัวเราะจนน้ำตาไหล ดวงตาอันชุ่มฉ่ำเหลือบมองหยุนลี่เต๋อ

หยุนลี่เต๋อพยักหน้า เห็นลูกสาวและภรรยาสนุกสนานซึ่งทำให้เขามีความสุขไปด้วย ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวปราม “หน้าตาของเขาไม่ใช่เรื่องที่น่าขบขันเลย สิ่งที่สำคัญคือต้องนิสัยดี มีเหตุผล มีความรับผิดชอบ ไม่ได้…”

หยุนเชวี่ยแลบลิ้นออกมา หัวใจของบิดาผู้ซื่อสัตย์ของนางเจ็บปวดราวกับถูกกระทืบจนจมดิน

หยุนลี่เต๋อเงียบลงเมื่อพูดถึงกลางประโยค

“ท่านพ่อเป็นอะไรหรือเจ้าคะ?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถาม

“ร่างกายที่ได้มาจากพ่อแม่ไม่สมควรได้รับการเยาะเย้ยจากผู้อื่น”

ลึก ๆ แล้วหยุนลี่เต๋อต้องการกล่าวว่า ‘อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้อ่านตำราเรียนนานจนเกินครึ่งชีวิตเช่นลุงใหญ่ของเจ้า’ ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา

ห้องโถงใหญ่

แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันสาดส่องกระทบกับใบหน้าของหยุนลี่จงเผยให้เห็นรอยแผลหลายแห่งบริเวณลำคอและใบหน้า

“นี่! เกิดอะไรขึ้นกับท่าน?!” แม่นางจ้าวเอ่ยถามเสียงหลง เมื่อเห็นใบหน้าของสามี “คนตระกูลหยูผู้นั้นช่างกล้าหาญเสียจริง! กล้าถึงขนาดทำกิริยาหยาบคายกับบัณฑิตเช่นท่านพี่เลยหรือ?”

เมื่อนางพูดเช่นนั้น หยุนลี่จงจึงรู้สึกว่า บาดแผลของเขาถูกหยาดเหงื่อซึมเข้าไปจนไม่รู้สึกเจ็บแสบแล้ว

“เจ้าเป็นสตรีจะรู้เรื่องอะไรเล่า?” เขาเหลือบมองแม่นางจ้าวครู่หนึ่งพลางลูบคลำใบหน้าพร้อมหายใจเข้าลึก “บารมีของข้าทำให้ตระกูลหยูต้องยอมอ่อนข้อ! หึ…”

แม่นางจ้าวโพล่งขึ้นด้วยความดีใจ “เช่นนั้นชิ่วเอ๋อของพวกเราก็ไม่มีเรื่องกวนใจแล้วใช่หรือไม่?”

“หึ ๆ” หยุนลี่จงยืดสันหลังตรงพลางหัวเราะในลำคอ “ข้ารับประกันแล้วยังต้องถามอีกหรือ?”