ตอนที่ 91 โฉมหน้าของบัณฑิตเฒ่า
“นายน้อย… เฉียน” หยุนเชวี่ยเกือบหลุดพูดคำว่า ‘อ้วน’ ออกมา
หนังตาของหยุนลี่จงกระตุกเล็กน้อย เขาเชิดคางขึ้นพลางยืดตัวตรงพร้อมเผยสีหน้าดูถูก
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยสัญญาว่าจะพาเจ้าไปกินเต้าฮวยเย็น แต่ข้าไม่เห็นหน้าเจ้ามาหลายวันแล้ว” เจ้าอ้วนกล่าวด้วยความกระตือรือร้นก่อนโบกพัดพร้อมเอ่ยถาม “เจ้ามาทำอะไรในเมืองล่ะ?”
พัดของหยุนลี่จงมีไว้เพื่อแสดงฐานะบัณฑิต ส่วนพัดของเจ้าอ้วนมีไว้เพื่อคลายร้อน สังเกตได้จากเม็ดเหงื่อบนหน้าผากของเขา
“ข้ามาทำธุระในเมืองกับท่านพ่อและลุงใหญ่น่ะ”
“คนผู้นี้คือ?” เจ้าอ้วนเฉียนมองหยุนลี่จงด้วยสายตาประหลาดใจ
“ท่านลุงใหญ่”
แม้เจ้าอ้วนจะอายุยังน้อย ทว่าอากัปกิริยาค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่ เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาจึงรีบประสานมือทำความเคารพอย่างอ่อนน้อมทันที “ข้าเสียมารยาทกับท่านแล้ว”
หยุนลี่จงช้อนสายตาขึ้นมองเด็กชายตรงหน้าด้วยหางตา ก่อนส่งเสียง ‘อืม’ ในลำคออย่างไม่ยินดียินร้าย
เจ้าอ้วนถึงกับตกตะลึง
ต้าจี๋ไม่อาจปล่อยผ่านการกระทำนี้ได้ เขากำลังจะอ้าปากกล่าวตำหนิอีกฝ่าย ทว่าเจ้าอ้วนเฉียนก็โบกมือห้ามและเดินไปด้านหลังเสียก่อน
ดวงตากลมโตของต้าจี๋กลอกไปมา
นายน้อยของเขาเดินไปทำความเคารพหยุนลี่เต๋ออย่างถ่อมตนพร้อมกล่าวว่า “ท่านลุง”
หยุนลี่เต๋อนิ่งอึ้งครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบ “เอ่อ อะ… อืม”
“ท่านลุง เชวี่ยเอ๋อ พวกท่านมีธุระอันใดหรือ?” เจ้าอ้วนเฉียนได้ยินเสียงเอะอะโวยวายอยู่ไกล ๆ จึงเดินเข้ามาดู เมื่อเข้ามาใกล้ เขาก็เห็นสีหน้าโกรธเคืองของหยุนลี่จง จึงคาดเดาว่าคนผู้นี้กำลังประสบปัญหาอยู่แน่นอน
“ไม่มีอะไรหรอก” หยุนเชวี่ยส่ายศีรษะ
หยุนเชวี่ยกับเจ้าอ้วนไม่ได้สนิทสนมกัน นางจึงไม่อาจเปิดเผยปัญหาของครอบครัวให้คนนอกรับรู้ได้
“ข้ารู้จักมณฑลอันผิงทุกตารางนิ้ว เจ้ามีเรื่องลำบากใจอะไรก็พูดมาเลย” เจ้าอ้วนเฉียนกล่าวพลางตบหน้าอก ไขมันบริเวณหน้าท้องของเขากระเพื่อมขึ้นลงทันที
หยุนเชวี่ยอดไม่ได้ที่จะเม้มปาก
เจ้าอ้วนมักชอบอวดดี ทว่าการกล่าวอวดอ้างครั้งนี้ออกจะเกินตัวไปเสียหน่อย เขาอายุเพียงสิบสองถึงสิบสามปีเท่านั้น จะรู้จักทุกพื้นที่มณฑลอันผิงได้อย่างไร?
หยุนเชวี่ยกะพริบตาปริบ ๆ ขณะจ้องมองเจ้าอ้วนเฉียนที่กำลังฉีกยิ้มอย่างมีความสุขจนดวงตาเรียวเล็กกลายเป็นเส้นตรง
ไม่ว่าจะมองอย่างไรเขาก็ไม่เหมือนอันธพาลเลย
“สาวน้อย คุณชายของข้าเอ่ยถามเจ้าอยู่ หากเจ้ามีเรื่องลำบากใจอันใดก็บอกมาเลย” ต้าจี๋ยืดสันหลังตรงพลางสะบัดแขนเสื้ออย่างภาคภูมิใจ “ข้าจะไม่ปิดบังเจ้า ในมณฑลอันผิงนี้ แม้แต่เจ้าเมือง…”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘เจ้าเมือง’ หยุนลี่จงจึงเงยหน้าขึ้นอย่างไม่รู้ตัว มุมปากของเขาพลันยกขึ้นทันที
“ยังต้องเกรงใจนายน้อยของข้า!” หลังจากพูดจบ ต้าจี๋ก็ยกมือขึ้นกอดอกด้วยความภาคภูมิใจ
เจ้าอ้วนเฉียนกล่าวตำหนิด้วยน้ำเสียงถ่อมตนทันที “ต้าจี๋ ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าเราต้องให้เกียรติผู้อื่น”
หยุนเชวี่ย…
ทันใดนั้น สตรีจากตระกูลหยูที่กระซิบกระซาบกับผู้เฒ่าหยูอยู่ในร้านครู่ใหญ่เดินออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เอ่อ เมื่อครู่ข้าเข้าใจพวกเจ้าผิดไปแล้ว มา ๆ เข้ามาคุยกันในร้านก่อน…”
หยุนเชวี่ยไม่รู้ว่าเฉียนจินเป่ามีพื้นเพครอบครัวอย่างไร เมื่อเจ้าอ้วนผู้มั่งคั่งปรากฏตัว ตระกูลหยูก็มีท่าทีอ่อนลงทันที
เงินจำนวนยี่สิบตำลึงที่ตระกูลหยูเรียกร้องถูกลดเหลือเพียงห้าตำลึงเท่านั้น ซึ่งเป็นไปตาม ‘ความยุติธรรม’ ที่เจ้าอ้วนต้องการ
ในเมื่อตระกูลหยูเป็นผู้กลับคำก่อน ดังนั้นค่าธรรมเนียมในการจ้างแม่สื่อให้ไปดูฤกษ์แต่งงาน อีกทั้งค่าจ้างพ่อค้าให้ไปซื้อวัวและดูที่ดินย่อมต้องให้ตระกูลหยูจ่าย
หยุนเชวี่ยไม่มีข้อโต้แย้ง
หยุนลี่เต๋อไม่มีข้อโต้แย้งเช่นกัน
หยุนลี่จงทำหน้าบึ้งตึง ไม่พูดจา มองสตรีตระกูลหยูด้วยสายตาเย็นชา ขณะรู้สึกเจ็บแสบบริเวณบาดแผล
นังแพศยา!
“เชวี่ยเอ๋อ พรุ่งนี้เจ้าจะมาส่งเนื้อสัตว์ป่าอีกหรือไม่? ข้ายังไม่ได้ซื้อเต้าฮวยเย็นให้เจ้าเลย” เจ้าอ้วนเฉียนเอ่ยถามหลังเดินออกมาจากร้านขายของชำ
“มาสิ ข้าเข้าเมืองตั้งแต่เช้าตรู่ เกรงว่าเจ้ายังคงไม่ตื่นนอน” หยุนเชวี่ยเอ่ยหยอกล้อ ในสมองของเจ้าอ้วนมีแต่เรื่องเต้าฮวยเย็นจริง ๆ
“นายน้อยของข้าตื่นมาอ่านตำราและฝึกคัดตัวอักษรแต่เช้าตรู่ทุกวัน! ทำเช่นนี้จนเป็นกิจวัตร ไม่เคยเกียจคร้าน!” ต้าจี๋กล่าวเอาใจเจ้านายตลอดเวลา
เจ้าอ้วนเฉียนรู้สึกสบายใจจึงหัวเราะคิกคัก
หยุนเชวี่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้นางคิดว่าเด็กอ้วนเช่นเขาจะโง่งมเสียอีก แต่สุดท้ายแล้วก็พบว่าเจ้าอ้วนเฉียนฉลาดเฉลียวไม่น้อย
ก่อนหน้านี้นางคิดว่าคนอ้วนมักเกียจคร้าน แต่เจ้าอ้วนเฉียนกลับขยันขันแข็ง
นางจึงรู้สึกว่าตนต้องเลิกตัดสินและคิดอคติกับผู้อื่นจากรูปลักษณ์ภายนอกได้แล้ว
“เชวี่ยเอ๋อ”
เมื่อเดินมาสุดถนน เฉียนจินเป่าจึงหยุดเดินและยืนส่งหยุนเชวี่ยออกนอกเมืองพลางเกาศีรษะพร้อมกล่าวว่า “พรุ่งนี้ยามรุ่งอรุณไปเจอกันที่หน้าร้านของเถ้าแก่หู ข้าจะเลี้ยงเต้าฮวยเย็นเจ้าเอง”
“ตกลง!” หยุนเชวี่ยพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา “ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้ท่านแม่ทำความสะอาดกระต่ายป่าและเตรียมพุทราเปรี้ยวที่เก็บมาจากบนภูเขาหลังหมู่บ้านไป๋ซีของเราเอาไว้”
“อืม!” ดวงตาของเจ้าอ้วนเฉียนเปล่งประกาย ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อภายใต้แสงตะวันยามสนธยา
ระหว่างทางกลับหมู่บ้าน
“ท่านพ่อ ข้าหิวแล้ว” ท้องของหยุนเชวี่ยส่งเสียงดัง ‘โครกคราก’
ตลอดยามบ่าย พวกเขาเดินทางไปกลับเป็นระยะทางเกือบสามสิบลี้โดยไม่ได้ดื่มชาสักอึก ส่งผลให้ลำคอแห้งผากจนแทบจะมีควันลอยออกมาแล้ว
“แม่ของเจ้าเตรียมอาหารรออยู่ที่บ้าน” หยุนลี่เต๋อปาดเหงื่อ
ลูกสาวคนรองเติบใหญ่ถึงเพียงนี้ คนเป็นพ่อเช่นเขาคงไม่ต้องแบกนางไว้บนหลังต่อไป อีกสักสองสามปีคงมีแม่สื่อมาพูดคุยเรื่องแต่งงานกับนางแล้วกระมัง
เมื่อคิดเช่นนั้น ชายฉกรรจ์ร่างกายกำยำก็หันไปมองบุตรสาวของตนอีกครั้ง ความโศกเศร้าพลันเข้ากอบกุมหัวใจของเขา
“เอาเงินห้าตำลึงที่เหลือมาให้ข้า” หยุนลี่จงแบมือออกมา “เรื่องวุ่นวายจบลงแล้ว ข้าจะไปรายงานท่านพ่อเอง”
หยุนลี่เต๋อล้วงถุงผ้าใบเล็กออกมาจากแขนเสื้อและส่งมันให้พี่ชายโดยไม่กล่าวคำใด
“หญิงสาวบ้านนอกรู้จักกับคุณชายจากตระกูลผู้ดี ดูจากการแต่งตัวก็รู้แล้วว่าเขาต้องเป็นคุณชายเสเพลแน่นอน” หยุนลี่จงกำถุงเงินพลางมองหยุนเชวี่ยด้วยสายตาเย็นชา
หยุนเชวี่ยทั้งหิวและกระหาย นางจึงไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่ายแม้เพียงครึ่งคำ
หยุนลี่เต๋อทนเห็นบุตรสาวถูกดูแคลนไม่ได้ จึงโต้กลับอย่างตรงไปตรงมา “พี่ใหญ่ นายน้อยเฉียนช่วยพวกเราไว้ ตระกูลหยุนไม่ควรพูดหมิ่นเกียรติผู้มีพระคุณเช่นนี้”
“มันช่วยอะไร?” หยุนลี่จงโบกพัดขณะก้าวเดินช้า ๆ พลางส่งเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ “หากไม่ใช่เพราะเจ้าเอาแต่เกรงใจพวกมัน ยอมอ่อนข้อให้พวกตระกูลหยูทุกอย่าง ข้าเคยบอกหลายครั้งแล้วว่าให้ทะนงในศักดิ์ศรี หากเชื่อฟังคำพูดข้าแต่แรก เราก็ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าเด็กคนนั้นแล้ว?!”
ใบหน้าของหยุนลี่เต๋อดำคล้ำขึ้น คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน
มีคนบอกว่าบัณฑิตมักสามารถคิดวิเคราะห์ได้ ทว่าเหตุใดพี่ใหญ่ของเขาถึงไม่รู้จักแยกแยะเล่า? อุตส่าห์มีคนยื่นมือเข้าช่วย แต่กลับดูแคลนเขาเสียนี่
เขาคือคนประเภทที่ชอบดูถูกผู้อื่นเสมอ
แต่ถึงอย่างไรหยุนลี่จงก็คือพี่ใหญ่ หยุนลี่เต๋อไม่สามารถกล่าวตำหนิเขาได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงเผยสีหน้าบูดบึ้งขณะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
“เชวี่ยเอ๋อรีบเดินกันเถอะ แม่ของเจ้ารอพวกเรากลับไปกินข้าวอยู่!”
หยุนเชวี่ยกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตลอดทาง สองพ่อลูกจงใจทิ้งหยุนลี่จงไว้ด้านหลัง
“ไร้สาระ” หยุนลี่จงเบ้ปาก บาดแผลบนใบหน้าพลันเจ็บแปลบขึ้นมา เขาสูดหายใจเฮือกใหญ่ก่อนสาปแช่งสตรีจากตระกูลหยูอีกครั้ง
ให้ตายเถอะ… กลับไปเอาความดีความชอบจากท่านพ่อดีกว่า!