ตอนที่ 90 ความอับอายของบัณฑิตเฒ่า

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 90  ความอับอายของบัณฑิตเฒ่า

ตระกูลหยูกว่าสามชั่วอายุคนประกอบธุรกิจร้านขายของชำเพื่อประทังชีวิต แม้จะถูกดูหมิ่น ทว่าอาชีพนี้สามารถสร้างรายได้และมีมูลค่าในระยะยาว

คนที่ชอบสอดรู้สอดเห็นส่วนใหญ่เป็นเพื่อนบ้านในละแวกนั้น เมื่อได้ยินว่ามันเป็นเรื่องราวความขมขื่นหลังจากถูกยกเลิกงานวิวาห์ ทุกคนจึงมารวมตัวกันที่บ้านผู้เฒ่าหยู

“หลังจากกำหนดฤกษ์แล้ว พวกเขาบอกว่าต้องการเงินสินสอดเป็นเงินห้าสิบตำลึง ที่นาอุดมสมบูรณ์ห้าไร่ วัวสองตัว และเกวียนหนึ่งคัน แต่เมื่อเราส่งของเหล่านั้นไปถึงหน้าบ้าน พวกเขาก็กลับคำขอเงินสินสอดเพิ่มเป็นเงินห้าร้อยตำลึง ที่นาหนึ่งร้อยไร่ นี่ถือเป็นการจงใจทำให้คนอื่นลำบากใจใช่หรือไม่?” แม่นางหยูขมวดคิ้วพร้อมตะโกนเสียงดัง

มันไม่ง่ายเลยที่จะบอกว่าตน ผู้เฒ่าหยู และหยูซื่อเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่นานลูกชายของนางจะมีอายุยี่สิบบริบูรณ์ ทว่าตอนนี้เขาไม่ไม่ได้แต่งงานเลย

คู่ภรรยาสูงวัยมีความคิดที่ว่าแม้จะต้องสูญเสียเงินมาเท่าไรก็ได้ ขอเพียงให้ลูกชายได้แต่งงานกับหญิงสาวที่มีพื้นเพครอบครัวดีเยี่ยม!

เมื่อคิดเช่นนั้นนางจึงเดินทางไปพบแม่สื่อทันที

แม่สื่อแนะนำหยุนชิ่วเอ๋อ ลูกสาวของตระกูลหยุน

เมื่อได้พูดคุยกับแม่สื่อ แม่เฒ่าจูจึงเกิดความโลภขึ้นหลังจากได้ยินว่าครอบครัวของฝ่ายชายมีธุรกิจร้านขายของชำ

ต่อมาเมื่อมีการพบปะกัน หยูซื่อก็มีความสุขเสียจนนอนไม่หลับ เนื่องจากใบหน้าอันงดงามของหญิงสาวตระกูลหยุนผู้นั้นถูกสลักลงกลางใจของเขา แม้จะมองนางเพียงปราดเดียวก็ตาม

วันถัดมา แม่สื่อเฒ่ามาบอกกล่าวกับตระกูลหยูว่าหยุนชิ่วเอ๋อตอบตกลงแต่งงาน ทว่าหญิงชรามารดาของนางเรียกร้องสินสอดหลายประการ

ตระกูลหยูไม่ใช่ตระกูลที่ร่ำรวย เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายต้องการเงิน ที่ดิน และปศุสัตว์ พวกเขาจึงกลุ้มใจไม่น้อย

พวกเขาเดินทางไปต่อรองหลายต่อหลายครั้ง แต่แม่เฒ่าหยุนก็ไม่ยอมที่จะลดค่าสินสอดให้เลย อีกทั้งโวยวายว่าลูกสาวของตระกูลหยูออกเรือนไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องประหยัดเงินเพื่อเก็บเป็นสินเดิมให้นาง

คู่สามีภรรยาเฒ่าจ้องมองหยุนชิ่วเอ๋อที่มีผิวนวลผ่อง ใบหน้างดงาม หญิงสาวที่ลูกชายผู้ไร้เดียงสาของพวกเขาตกหลุมรักนางเข้าอย่างจัง ดังนั้นทั้งสองจึงกัดฟันเอาเงินที่เก็บออมเป็นเวลานานออกมาใช้ นอกจากนี้ยังฝากให้พ่อค้าเลือกวัวที่มีลักษณะมงคลสองตัวมาจากชนบท ผู้เฒ่าทั้งสองรู้สึกมีความสุขยิ่งที่จะได้จัดงานมงคล แต่ใครจะรู้ว่าทุกอย่างจะกลับตาลปัตร…

ตระกูลหยูรู้สึกเสียหน้าและเจ็บแค้นใจยิ่งนักจึงแก้แค้นโดยการเรียกเงินยี่สิบตำลึงจากตระกูลหยู และหากไม่จ่ายเงินมา พวกเขาจะประจานและฟ้องร้องต่อสำนักงานบริหาร!

พวกเขาไม่ยอมอับอายฝ่ายเดียวแน่!

“อะไรนะ? เงินห้าสิบตำลึงพร้อมด้วยที่นารึ?! นางเป็นเทพธิดาเดินดินหรืออย่างไร?” หญิงวัยกลางคนซึ่งขายขนมเปี๊ยะเคลือบน้ำตาลกลอกตา

ลูกสาวของนางเป็นหญิงมากความสามารถผู้เลื่องชื่อในมณฑลอันผิง นางแต่งงานกับลูกชายของตระกูลหลินเจ้าของธุรกิจร้านขายยา ซึ่งมีค่าสินสอดเพียงสามสิบตำลึงเท่านั้น

“ข้าเกรงว่านางจะเห็นแก่เงินน่ะสิ อำนาจของเงินช่างน่าอัศจรรย์เสียจริง” สตรีที่สัญจรผ่านมาส่ายศีรษะ

ลูกชายของนางกำลังอยู่ในวัยออกเรือน หากสตรีทุกนางเป็นอย่างเช่นหญิงสาวตระกูลหยู เกรงว่าชีวิตนี้ลูกชายของนางคงไม่ได้แต่งงานเป็นแน่

“คนผู้นั้นเป็นบัณฑิตผู้มีพรสวรรค์หรือ?” ชายชราผู้หนึ่งลูบเคราของตนพลางจ้องมองหยุนลี่จงที่อยู่ในสภาพน่าสังเวชพลางจุปาก “จุ๊ ๆ ไม่มีคุณธรรมเอาเสียเลย”

หยุนลี่จงตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์ของคนที่พบเห็นเหตุการณ์ เมื่อได้ยินคำเหล่านั้น เขาจึงโกรธจนหน้าแดงพลางตะโกนแก้ตัว “ข้าไม่ได้เป็นคนก่อเรื่องเหล่านี้ คำพูดพวกนั้นล้วนเป็นของบิดามารดาของข้าและแม่สื่อ ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า! อย่าได้กล่าวหากันลอย ๆ!”

นี่คือการกล่าวโทษผู้เฒ่าหยุนและแม่เฒ่าจูเพื่อให้ตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์

“การกลับคำครั้งนี้มีเรื่องอื่นมาเกี่ยวข้องหรือไม่? กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง… เฮ้อ” แม่ค้าขายขนมเปี๊ยะเคลือบน้ำตาลยิ้มเยาะ

หยุนลี่จงตกตะลึงจนไม่สามารถเอื้อนเอ่ยวาจา ก่อนสะบัดแขนเสื้อพลางเงยหน้าขึ้น “แม่นาง เรารู้จักกันงั้นหรือ!”

หยุนเชวี่ยเดินไปหลบอยู่ด้านหลังของหยุนลี่เต๋ออย่างเงียบ ๆ ก่อนหันหน้าไปทางอื่น

นางต้องเข้ามาค้าขายในเมืองอีกนาน ดังนั้นจะขายหน้าเพราะคนเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด!

“พี่ใหญ่” หยุนลี่เต๋อรู้สึกอับอายเช่นกัน

เมื่อเห็นว่าพี่ชายผู้มีท่าทีสง่างามและมักวางมาดบัณฑิตอยู่เสมอกำลังสติแตกและตะโกนด่ากราดผู้อื่นไปทั่ว อีกทั้งยังถูกผู้ที่สัญจรไปมาหัวเราะเยาะ ในใจของหยุนลี่เต๋อก็พลันรู้สึกผิดต่อชายชรา

“มีอะไร?” สภาพของหยุนลี่จงในตอนนี้ราวกับนกตื่นธนู* เขาผลักหยุนลี่เต๋อออกอย่างแรง ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธขณะคำรามเสียงดัง “ข้าจะกลับมาคิดบัญชีกับพวกเจ้าทุกคน!”

*ใช้เปรียบเทียบกับคนที่เคยผ่านเหตุการณ์ที่ไม่ดีมา และภายหลังเมื่อมีอะไรมากระทบเล็กน้อยก็จะตื่นกลัวอย่างมาก

“พี่ใหญ่ ไปกันเถอะ” หยุนลี่เต๋อไม่ถือสากับการกระทำของพี่ชาย

จากนั้นเขาจึงหันไปโค้งคำนับให้คนตระกูลหยูด้วยความเกรงใจ “ท่านอา วันพรุ่งข้าจะเอาเงินมาชดเชยให้ท่าน ขอความกรุณาท่านลุงหยูผ่อนปรนให้ข้าอีกสองวันนะขอรับ”

“กินบนเรือน ขี้บนหลังคา” หยุนลี่จงกัดฟันกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

หยุนลี่จงรู้สึกว่าน้องรองจงใจทำให้เขาอับอายต่อหน้าสาธารณชนจึงสะบัดแขนเสื้อและหมุนตัวกลับด้วยความโกรธเคือง

เมื่อหันหน้ากลับมา เขากลับชนเข้ากับเจ้าอ้วน

ไขมันบริเวณหน้าท้องของเจ้าอ้วนกระเพื่อมขึ้นลง ส่งผลให้หยุนลี่จงเซถอยหลังไปหลายก้าว

ผู้คนที่มุงดูอยู่รอบ ๆ ต่างหัวเราะคิกคัก

“ไอ้เด็กเหลือขอหลีกไปเดี๋ยวนี้… ป่าเถื่อน ไร้การศึกษา!” หยุนลี่จงด่าทอด้วยความโมโห

“กล้าพูดออกมาได้เช่นไร? เห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นคนเดินชนนายน้อยของข้า” ชายรูปร่างผอมสูงเผยใบหน้าบูดบึ้ง

หยุนลี่จงเดินออกไปโดยไม่สนใจคนรอบข้าง เขาจึงไม่ทันสังเกตเห็นชายทั้งสองคน

หนึ่งอ้วน หนึ่งผอม

ชายรูปร่างอ้วนมีผิวพรรณขาวเนียนละเอียด คิ้วและดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขราวกับเด็กในภาพวาดวันตรุษจีน เขาสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าไหม บริเวณเอวมีจี้หยกอันวิจิตรแขวนอยู่

ชายรูปร่างผอมสูง ผิวพรรณดำคล้ำราวกับถ่านกำลังถลึงตาใส่หยุนลี่เต๋อจนดวงตาแทบถลนออกมานอกเบ้า

มองดูแล้วพวกเขาคงเป็นคนรับใช้และนายน้อยจากตระกูลร่ำรวย

หยุนลี่จงพลันคิดในใจว่าตนไม่ควรฟังคำของผู้เฒ่าเลย การเข้าเมืองครั้งนี้ทำให้ชื่อเสียงของบัณฑิตผู้สง่าผ่าเผยของเขาป่นปี้จนไม่เหลือชิ้นดี!

“เจ้าจะไม่พูดอะไรหน่อยรึ? เจ้าเดินชนนายน้อยของข้า แม้แต่คำขอโทษก็ไม่ยอมกล่าวออกมาหรือ?” ต้าจี๋กล่าวอย่างหมดความอดทน

เดิมทีชายผู้นี้ไม่ใช่คนเจ้ากี้เจ้าการ เพียงแต่ว่าเขาไม่ชอบการกระทำที่อันไร้เหตุผลและเอาแต่โทษคนอื่นของหยุนลี่จง

หยุนลี่จงไม่กล่าวคำใด ทว่าเชิดคางขึ้นพร้อมแสดงท่าทีหยิ่งผยอง

“เจ้านี่…”

“ต้าจี๋” เจ้าอ้วนใช้พัดที่ถืออยู่ในมือขวางทางเด็กหนุ่มใจร้อนก่อนฉีกยิ้มจนตาหยี “เรื่องเล็กน้อย อย่าถือสาเขาเลย”

“ขอรับ” เด็กรับใช้คนนั้นรีบกล่าวประจบประแจงก่อนยกนิ้วโป้งและยืดอกขึ้น “เห็นหรือไม่ว่านายน้อยของข้ามีเมตตาเพียงใด!”

ผู้คนละแวกนั้นต่างส่งเสียงหัวเราะด้วยความชื่นชม

แม้นายน้อยจากตระกูลร่ำรวยจะชอบแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหรูหรา ทว่านอกจากความต้องการทำตัวให้โดดเด่นแล้ว เขาก็ไม่มีเจตนาร้ายแม้แต่น้อย

ตรงกันข้าม… ในบรรดาเด็กในวัยเดียวกันมักเรียกร้องความสนใจ และอยากให้ฝูงชนเข้าข้างตนเมื่อมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น

เพราะเหตุใดหรือ?

คนรวยมักใจกว้างอย่างไรล่ะ!

สำหรับหยุนลี่จงแล้ว เสียงหัวเราะของคนเหล่านั้นช่างแสบแก้วหูยิ่ง เขาจึงตะโกนใส่หยุนลี่เต๋อด้วยความโมโห “จะยืนบื้ออยู่อีกนานหรือไม่? กลับ!”

ยังไม่ทันพูดจบและยังไม่ทันจะยกเท้าก้าวไปข้างหน้า เจ้าอ้วนก็เข้ามาขวางทางเขาเอาไว้

หัวใจของหยุนลี่จงเต้นระรัว เหงื่อเย็นพลันผุดขึ้นบนหน้าผาก… หรือว่าเขาจะเหยียบหางของคุณชายเสเพลจากตระกูลไหนเข้า? หลบหนีไม่ทันแล้ว!

“เชวี่ยเอ๋อ!” เจ้าอ้วนเดินเข้ามาสองก้าวพลางเอียงคอทักทายหยุนเชวี่ยด้วยความร่าเริง “ข้าเพ่งมองเจ้ามานานแล้ว และก็เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย!”