“รบกวนแล้ว ของสิ่งนี้มอบให้น้องสาว” สาวใช้ยัดปิ่นสีเขียวมรกตประกายน้ำใส่ในมือของหนิงยา
หนิงยาไม่เคยเห็นของดีเช่นนี้ ปิ่นในมือที่งดงามและปรานีตเช่นนี้จะต้องมีราคาสูงเป็นแน่ จึงรีบยัดปิ่นกลับไป “ข้ารับไว้ไม่ได้”
สาวใช้ยัดกลับใส่มือของนาง “ของเล็กน้อย น้องสาวก็อย่าปฏิเสธเลย!”
พูดจบก็หอบแผ่นไผ่แล้ววิ่งกลับไปยังลานด้วยความรวดเร็ว ไม่ว่าหนิงยาจะตะโกนเรียกเท่าไรก็ไม่หันกลับมา
หนิงยาวิ่งตามไปถึงประตูลานด้านหลัง เดินวนเวียนไปมาอยู่หลายรอบ น้ำตาก็พรั่งพรูออกมา พลางเช็ดน้ำตาพลางเดินกลับไปยังห้องหนังสือ ทันทีที่เข้าห้องมาก็คุกเข่าลงตรงหน้าซ่งชูอีเสียงดัง เอ่ยสะอื้น “พี่สาวคนสนิทของแม่นางเจินยัดปิ่นอันหนึ่งให้บ่าว บ่าวไม่ต้องการทว่านางยังยืนกรานที่จะให้บ่าว หลังจากยัดใส่มือบ่าวก็วิ่งหนีไปแล้ว”
ซ่งชูอีกำลังเล่นหมากกับตัวเองพลางลูบลายเส้นที่สลักบนกระดาน ครั้นได้ยินหนิงยาร้องไห้อย่างแปลกประหลาด ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “ให้เจ้าก็ให้เจ้าสิ จะร้องไห้ทำไม?”
“นางต้องการจะซื้อตัวบ่าว แต่ว่าบ่าวจะไม่มีวันหักหลังท่าน” หนิงยาคิดว่าตัวเองคิดอย่างสมเหตุสมผลมาก ปิ่นอันนี้อย่างน้อยก็มีมูลค่าหกถึงเจ็ดเตาปี้กระมัง? หากจะขายนาง นายก็ไม่ได้มีมูลค่ามากเพียงนั้น!
ซ่งชูอียื่นมือไปยังทิศทางของเสียงนาง
หนิงยารีบยื่นปิ่นนั้นด้วยสองมือทันที
ซ่งชูอีลูบๆ ยิ้มกว้างเอ่ย “แม่นางเจินช่างใจกว้างจริงๆ ปิ่นชิ้นนี้น่าจะมีมูลค่าอย่างน้อยยี่สิบเตาปี้ เจ้าก็เก็บไว้ให้ดีเถิด”
หนิงยาตะลึงงัน ยี่สิบเตาปี้สามารถซื้อนางได้หลายคนเลยเชียว! บัดนี้น้ำตายิ่งไหลหนักกว่าเดิม หากมีคนให้เงินมากก็แสดงว่าต้องการให้กระทำการใหญ่ หนิงยาเข้าใจข้อนี้ดี
ซ่งชูอีได้ยินหนิงยาร้องไห้ปานจะขาดใจ คิดว่าครั้งก่อนประเมินความสามารถในการแบกรับของแม่นางผู้นี้สูงเกินไปและทรมานนางอย่างโหดร้ายเกินไป บัดนี้แม้แต่เรื่องเล็กน้อยก็กลับกลัวถึงเพียงนี้ ไม่ได้การเสียแล้ว “กลัวอะไรกัน ก็ไม่ได้บอกว่าเจ้าผิดเสียหน่อย ต่อไปหากมีคนนำของมีค่ามาให้เจ้าอีก เพียงแค่ยอมรับมันเป็นพอ ถ้าคนอื่นต้องการให้เจ้าเปิดโปงเรื่องของข้า เจ้าก็มาบอกข้า หากเจ้าคิดว่าเป็นสิ่งที่เปิดโปงได้? ก็เปิดโปงไป ส่วนของมีค่าพวกเราก็แบ่งกันคนละครึ่ง ว่าเยี่ยงไร?”
หนิงยาอึ้งไปครู่หนึ่ง จัดการกับความคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้า “แล้วหากว่าเปิดโปงไม่ได้ล่ะเจ้าคะ?”
“ก็เล่าเรื่องเท็จให้พวกเขาฟังแล้วเก็บเงินไว้! อย่างไรเสียพวกเขาต้องการรู้ข่าวอยู่แล้ว ก็มิได้กำชับเจ้าว่าต้องกล่าวความจริงเสียหน่อย” ซ่งชูอีกำลังชี้นำให้นางเรียนรู้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
หนิงยารู้สึกว่ามีเหตุผล “แล้วหากว่ากำชับล่ะเจ้าคะ?”
“เช่นนั้นก็คืนเงินให้พวกเขาเสีย” ซ่งชูอียื่นปิ่นคืนให้นาง “เก็บไว้เถิด”
“ท่านเก็บไว้ดีกว่าเจ้าค่ะ” หนิงยาเอ่ย
“ข้าจะเก็บปิ่นของผู้หญิงไว้เพื่ออะไร เร็วเข้า อย่าชักช้า” ซ่งชูอีรู้สึกหมดความอดทนเล็กน้อย
หนิงยารีบรับไว้ ในใจรู้สึกว่าท่านก็คือท่าน กระทำการด้วยความยุติธรรมและเหมาะสม ต่อไปตนจะต้องตั้งใจเรียนรู้ จะทำให้ท่านโมโหไม่ได้
ซ่งชูอีสัมผัสร่องที่ขอบกระดานหมาก แล้ววางหมากสีดำลงไป
แสงอาทิตย์ค่อยๆ ลาลับและภายในห้องก็มืดมนลง บัดนี้การต่อสู้ของมังกรตัวขาวดำบนกระดานหมากกำลังพอฟัดพอเหวี่ยง เวลาครุ่นคิดของนางก็ยาวขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากตัวหมากถูกกินหลายครั้งเกินไป มีหลายตำแหน่งที่นางจำไม่ใคร่ได้แล้ว
นางจมดิ่งอยู่ในโลกของตัวเอง ไม่รู้ว่าดวงอาทิตย์ได้สิ้นแสงและดวงจันทร์ขึ้นภูเขาทิศตะวันออกแล้ว อีกทั้งไม่ได้สังเกตเห็นเสียงผิดปกติในห้อง
ไม่รู้ว่ามีชายในเครื่องแต่งกายสีดำมายืนอยู่ในห้องตั้งแต่เมื่อไร ดวงตานกอินทรีคู่หนึ่งจ้องมองไปยังร่างบอบบางตรงหน้ากระดานหมาก แสงจันทร์เยือกเย็นเล็กน้อย ทำให้ขมับที่มีหงอกแซมเบาบางดูขาวโพลนกว่าเดิม นางนั่งขัดสมาธิพร้อมค้อมตัวอยู่บนตั่งสูง นิ้วที่เรียวบางดังข้อไม้ไผ่กำลังลูบคลำร่องเว้าที่ขอบกระดานหมาก ก้มหน้าครุ่นคิด ใบหน้าของนางดูสามัญและสงบนิ่งภายใต้แสงสีขาวนวล
ไตร่ตรองครู่หนึ่ง นางก็ยกมือขึ้นสัมผัสตัวหมากบนกระดานหมากเบาๆ เอียงศีรษะเล็กน้อยพร้อมคิ้วขมวดกัน ราวกับพยายามหวนระลึกถึงอะไรบางอย่าง นิ้วสะบัดโดยบังเอิญทำให้ตัวหมากสองอันเคลื่อนที่ นางอึ้งไปสักพัก เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังขึ้นภายในห้อง
อย่างไรก็ดีนางไม่ยอมแพ้ ลูบคลำขอบกระดานอย่างระมัดระวัง ในความเป็นจริงอิ๋งซื่อได้วางตัวหมากคืนที่เดิมแล้ว
สองปีก่อน บุคคลที่อยู่ตรงหน้านี้เคยกล่าวว่าขณะที่นางประสบกับความยากลำบาก ขอเพียงมีภูเขาทอดยาว แม่น้ำไหลผ่าน สายลมโชยเอื่อย แสงจันทร์สว่างไสว ทัศนียภาพที่งดงามนั้นไม่จำเป็นต้องใช้เงิน ทว่าบัดนี้แม้แต่สิ่งหรูหราที่สุดที่นางสามารถเพลิดเพลินได้ก็…
แววตาของชายชุดดำสั่นไหวเล็กน้อย เดินเข้าไปข้างตั่ง ค้อมตัวกุมมือของนางที่ยังคงลูบสัมผัสอยู่
ซ่งชูอีตกใจเล็กน้อย ในมือถือตัวหมากที่เย็นชืด หลังมือมีมือใหญ่ที่ร้อนผ่าว
“ใครน่ะ?” น้ำเสียงของซ่งชูอีเยือกเย็นเล็กน้อย
“ข้าเอง” ทันใดนั้นเสียงเย็นที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น
ซ่งชูอีลุกขึ้นมาจากตั่ง ค้อมตัวให้เข้าเล็กน้อย “ถวายบังคมฝ่าบาท กระหม่อม…กลับมาโดยไม่ได้รับอนุญาต ได้โปรดฝ่าบาทลงโทษด้วย”
“ชิง[1]กล่าวอะไรน่ะ!” อิ๋งซื่อยื่นมือประคองนางให้ลุกขึ้น “ชิงยอมเสี่ยงตายเพื่อต้าฉิน บัดนี้ปาสู่อยู่เพียงเอื้อมมือ ชิงจะมีความผิดอันใด!”
ซ่งชูอียังไม่ทันจะเอ่ยปาก ก็กลับถูกโอบล้อมด้วยแขนทรงพลังคู่หนึ่ง อิ๋งซื่อตบๆ หลังของนาง “อิ๋งซื่อต้องขอบคุณถึงจะถูก!”
มันเป็นเพียงการสวมกอดอันซาบซึ้ง เป็นความซาบซึ้งที่องค์จวินพระองค์หนึ่งมีต่อขุนนาง
จนกระทั่งอิ๋งซื่อคลายมือ หลังจากที่องค์จวินและขุนนางต่างผลักกันให้นั่งลงก่อนแล้ว ซ่งชูอียิ้มเอ่ยเบาๆ “แผนการยึดครองใต้หล้านี้ล้วนเป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท การช่วยฝ่าบาทต่อสู้เพื่ออำนาจและจารึกในประวัติศาสตร์เป็นความต้องการของกระหม่อม ฝ่าบาทปฏิบัติต่อกระหม่อมด้วยความจริงใจเช่นนี้ หวยจินซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง”
“จารึกในประวัติศาสตร์” รอยยิ้มที่ทำให้แสงจันทรามัวหมองผุดขึ้นบนใบหน้าของอิ๋งซื่อ “ข้าไปที่ชูหลี่ด้วยตัวเองเพื่อเชิญหมอเทวดาเปี่ยนเชวี่ยกลับมายังเสียนหยาง แต่ว่าเขาชรามากแล้ว ไม่อาจทนต่อการกระแทกกระทั้นได้ ข้าจึงสั่งทหารม้าในชุดเกราะดำคุ้มกัน อีกหลายวันกว่าจะมาถึง”
ซ่งชูอียืดตัวตรง สะบัดแขนเสื้อ ค้อมคำนับยาวนาน “ฝ่าบาทลดสถานะและปฏิบัติต่อกระหม่อมด้วยความนอบน้อม หวยจินย่อมตอบแทนด้วยชีวิตอย่างแน่นอน”
อิ๋งซื่อตัดสินใจตั้งแต่แรกแล้วว่าจะใช้ซ่งชูอี ซ่งชูอีก็ตัดสินใจตั้งแต่แรกแล้วว่าจะสวามิภักดิ์ต่อรัฐฉิน ระหว่างสองคนนี้ขาดก็เพียงคำมั่นสัญญาเท่านั้น
ไม่มีใครสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขามีความจริงใจและความตั้งใจมากเพียงใด และไม่จำเป็นต้องแยกแยะให้ชัดเจนด้วย
ทั้งสองพูดคุยกันครู่หนึ่ง อิ๋งซื่อจึงกล่าวว่า “ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ท่านก็รีบพักผ่อนเถิด ข้าขอตัวแล้ว”
ซ่งชูอีลุกขึ้นค้อมคำนับ
อิ๋งซื่อเพิ่งจะจากไป หนิงยาก็วิ่งเข้ามา เอ่ยด้วยความร้อนรน “ท่านไม่เป็นไรนะเจ้าคะ?”
“ไป๋เริ่นเล่า?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม ทหารในชุดเกราะสีดำสามารถควบคุมหนิงยาได้อย่างง่ายดาย แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทำให้ไป๋เริ่นตกใจหรือปิดปากของมัน
“ไป๋เริ่นหลับอยู่ตรงทางเดินแล้วเจ้าค่ะ ปลุกเท่าไรก็ไม่ตื่น” หนิงยาสำรวจซ่งชูอีอย่างถี่ถ้วน เมื่อเห็นว่าแขนขาของนางยังอยู่ครบดี สีหน้าก็ไม่มีอะไรผิดปกติจึงรู้สึกโล่งใจ
หนิงยาคุกเข่าลงหมองกับพื้น “เพราะบ่าวไม่ได้เรื่อง”
“ลุกขึ้นเถิด ไป๋เริ่นยังถูกทำให้สลบ เจ้าผู้หญิงตัวคนเดียวจะทำอะไรได้!” ซ่งชูอีรู้สึกอย่างล้ำลึกว่านางทำให้หนิงยาตกใจกลัวมากเกินไปแล้ว บัดนี้จึงดูเหมือนเดินอยู่บนน้ำแข็งบางๆ ต่อหน้านางเสมอ
อย่างไรก็ดีสำหรับซ่งชูอีแล้ว ตราบใดที่คนคนหนึ่งภักดีต่อนาง แม้ว่านางจะไม่เป็นที่เคารพอีกต่อไป นางก็เต็มใจที่จะทุ่มเทไปกับการฝึกฝนคนนั้น
เมื่อครู่ซ่งชูอีจมอยู่กับการต่อสู้บนกระดานหมากรุก ในเวลานี้จึงเพิ่งจะรู้สึกว่าปวดหลัง ดังนั้นจึงขอให้หนิงยาเตรียมน้ำให้นางอาบ
หลังจากอาบน้ำเรียบร้อยแล้วก็นอนหลับสนิท ก่อนจะนอน นางยังคิดถึงเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง – อิ๋งซื่อมีงานอดิเรกและพฤติกรรมในการแอบเข้าไปในจวนของขุนนางเช่นนี้ ต่อไปหากจะนินทาอะไรเขาต้องระวังตัวหน่อยจึงจะดี
เช้าวันรุ่งขึ้น
ซ่งชูอีกำลังซ้อมมวยอยู่ที่ลานบ้าน หนิงยาก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา “ท่านเจ้าคะ ซ่างต้าฟูมาแล้วเจ้าค่ะ!”
“หวยจินยังไม่มีความคืบหน้าเลยหรือ!” เสียงหัวเราะของชูหลี่จี๋ค่อยๆ เข้ามาใกล้
ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “เวลาว่างๆ จึงจะหยิบของเหล่านี้มาเล่น! มิได้ขอไปรบเพื่อฆ่าศัตรูเสียหน่อย”
ระหว่างที่พูดซ่งชูอีกลับคิดในใจ ‘หรือว่าพี่น้องตระกูลอิ๋งมีนิสัยชอบบุกเข้าจวนของผู้อื่น?’
“ท่านเจ้าคะ” ไม่รู้ว่าสาวใช้ของเจินอวี๋มาอยู่ที่ลานด้านนอกตั้งแต่เมื่อใด นางราวกับอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ไม่ทราบว่ามีแขก เช่นนั้นบ่าวค่อยมาใหม่”
“มีอะไรก็ว่ามาเถิด พี่ใหญ่ชูหลี่มิใช่คนนอก” ซ่งชูอีเอ่ย
สาวใช้เอ่ย “เจียวเจียวกล่าวว่าอ่านบันทึกของท่านจบแล้ว เจียวเจียวได้เขียนสิ่งที่ได้เรียนรู้มาด้วย ได้โปรดท่านชี้แนะ”
ซ่งชูอียิ้ม “เจียวเจียวบ้านพวกเจ้าช่างชอบการเรียนรู้เสียจริง”
“หวยจินซ่อนหญิงงามไว้เป็นการส่วนตัวรึ?” ชูหลี่จี๋เดินลงจากบันไดแล้วเดินไปหาพวกเขา ครั้นเห็นสาวใช้ก็เอ่ยปาก “คุณหนูที่สามารถเข้าใจวรรณกรรมของหวยจินได้ ไม่ธรรมดาโดยแท้! ข้าขอดูแผ่นไผ่นี้ได้หรือไม่?”
[1] ชิง เป็นคำที่ฮ่องเต้ใช้เรียกขุนนาง