บทที่ 227 บุญคุณกับความยุติธรรมนั้นยากจะแยกจาก

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

สาวใช้เห็นหนุ่มรูปงามมาไม่น้อย ทว่ากลับไม่เคยเห็นผู้ที่น่ามหัศจรรย์เช่นชูหลี่จี๋มาก่อน ถูกเขามองมาตรงๆ เยี่ยงนี้จึงอึ้งไปชั่วขณะ

“มีอะไรรึ?” ซ่งชูอีพบว่ามีความเงียบงันชั่วอึดใจ อดไม่ได้ที่จะเงี่ยหูฟัง

สาวใช้ดึงสติกลับมาทันใด “ในเมื่อเจียวเจียวให้ท่านอ่าน ก็แล้วแต่ท่านเถิดเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นข้าก็ขออู้ รบกวนพี่ใหญ่อ่านให้ข้าฟังเถิด” ซ่งชูอีเอ่ย

ทั้งสองไปนั่งในศาลา ชูหลี่จี๋คลี่ม้วนไผ่ออก เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “คุณหนูมีช่างเอาใจใส่จริงๆ สลักตัวอักษรไว้ด้านบนด้วย”

บัดนี้สายตาของซ่งชูอีมองไม่เห็น ข้างกายก็ไม่มีคนรู้หนังสือที่สามารถอ่านให้นางฟังได้ เจินอวี๋จึงตั้งใจแกะสลักบนไม้ไผ่ ให้ซ่งชูอีใช้นิ้ว “อ่าน” ได้อย่างสะดวก

เนื้อหาด้านบนมีไม่มาก ชูหลี่จี๋กวาดตามองแล้วอ่านให้ซ่งชูอีฟังรอบหนึ่ง

“แม้ว่าข้าจะจำบันทึกของเจ้าได้ไม่ลึกซึ้ง ทว่าตัวอักษรนี้แกะสลักได้งดงามโดยแท้” ชูหลี่จี๋วางแผนไผ่ลง

“นางเป็นน้องสาวสหายของข้า ก็นับว่าเป็นน้องสาวของข้าแล้ว ท่านอยากพบหรือไม่?” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย

ชูหลี่จี๋สำรวจท่าทางของนางอย่างละเอียดถี่ถ้วน จึงข่มความรู้สึกทุกข์ทรมานไว้ในใจและไม่เอ่ยถึงสภาพทางร่างกายของนาง ได้แต่กล่าวว่า “วันนี้ข้าตั้งใจมาหาเข้า จะหาคนอื่นไปใย!”

“ฮา ข้าน่ะ ท่านคงจะช่วยเหลือไม่ได้แล้ว! เดือนหน้าน้องสาวจะถึงวัยจี๋จี ข้าต้องขอของขวัญชิ้นใหญ่จากท่าน!” ซ่งชูอีพูดพลางสั่งหนิงยา “ไปเชิญแม่นางเจินมาพูดคุยเถิด”

ชูหลี่จี๋ไม่ใส่ใจ เอ่ยเย้า “โชคดีที่มิใช่น้องสาวแท้ๆ ของเจ้า ไม่เช่นนั้นเงินราชการของข้าคงไม่พอให้เจ้าได้ผลาญ”

“ฮาฮา อย่ามาร้องว่ายากจนกับข้าเลย! วันนี้ท่านมีธุระหรือไม่?” ซ่งชูอีอารมณ์ดียิ่ง เอ่ยถาม “หากไม่มีธุระ นั่งคุยกันเสียหน่อยประไร?”

“ข้าว่าง! หลายวันก่อนฝ่าบาทได้ทิ้งงานอันยุ่งเหยิงกองโตให้ กดดันจนทำให้ข้าแทบหายใจไม่ออก ครั้นรู้ว่าเจ้ากลับมาก็ไม่มีเวลามาเยี่ยม บัดนี้ฝ่าบาทกลับมาแล้ว ข้าจะไม่รีบสะบัดมือได้เยี่ยงไร?” แววตาของชูหลี่จี๋เจือปนความเสียดาย ทว่ากลับยิ้มเอ่ย “สามารถผ่อนคลายได้หลายวันพอดี”

“ข้าอยู่คนเดียวเบื่อจะแย่อยู่แล้ว! มีพี่ใหญ่อยู่เป็นเพื่อน ช่างสุขใจนัก!” ซ่งชูอีรู้สึกเหนื่อยหน่ายอย่างแท้จริง บัดนี้มีเพื่อนคุย ใบหน้าก็เผยความมีชีวิตชีวาที่หาได้ยากยิ่ง

เนื่องจากหนิงยาไปเชิญเจินอวี๋ในลาน ผ่านไปเนิ่นนานจึงไม่มีแม้แต่คนมายกชาด้วยซ้ำ ชูหลี่จี๋มองไปรอบๆ เอ่ยถาม “เจ้ายังมีบ่าวอีกคนหนึ่ง หายไปไหนเสียแล้ว?”

ตอนนั้นที่ข่าวเรื่องซ่งชูอี “ทรยศ” รัฐฉินแพร่กระจายออกไปก็ถูกผู้คนกล่าวถึงต่างๆ นานาทันที แม้ว่าอิ๋งซื่อจะพยายามอย่างสุดความสามารถในการรักษาจวนไว้ แต่ก็ทำได้เพียงริบทรัพย์สินเหล่านั้นกลับมา ส่วนบ่าวไพร่ก็ขายทิ้งเสียแล้ว ซ่งชูอีได้ขอร้องให้ชูหลี่จี๋ช่วยเรื่องนี้ก่อนที่จะจากไป ดังนั้นบ่าวที่ดูแลจวนจึงเหลือเพียงหนิงยาและเจียนจากการยื่นมือเข้าช่วยของชูหลี่จี๋

“บัดนี้เจียนและหนิงยาใช้สกุลซ่งตามข้าแล้ว ข้าให้เขาออกไปฝึกศิลปะการต่อสู้” ซ่งชูอีเอ่ย

ชูหลี่จี๋เอ่ย “พวกเขาได้พบเจ้าก็นับว่าเป็นวาสนา ทว่าคนที่ปรนนิบัติข้างกายเจ้าน้อยเกินไปแล้ว! พรุ่งนี้ข้าจะคัดเลือกบ่าวไพร่ที่สะอาดสะอ้านในจวนข้ามาให้เจ้าสองสามคน”

“ช่วงที่ข้าไม่อยู่ ต้องขอบคุณพี่ใหญ่ที่ช่วยดูแลจวนให้ ในเมื่อข้ากลับมาแล้ว จะรบกวนพี่ใหญ่ได้อีกเยี่ยงไร?” ซ่งชูอีปฏิเสธอย่างนุ่มนวล นางไม่ต้องการติดค้างบุญคุณมากจนเกินไป

“เจ้านี่ก็พิลึกคน! ปกติมักจะหาวิธีขูดรีดข้าอยู่เรื่อย บัดนี้ข้าส่งมาให้ด้วยตัวเองแล้วกลับไม่เอา!” ชูหลี่จี๋หัวเราะพลางส่ายหน้า เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เข้าใจซ่งชูอี ในเมื่อนางปฏิเสธก็แสดงว่าไม่ต้องการจริงๆ อีกทั้งแม้ว่าบ่าวไพร่สองสามคนจะไม่มีค่าอะไร แต่พวกเขาก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตและไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะบังคับให้นางรับไว้

“ก่อนที่ข้าจะไปได้หมักสุราบ๊วยไว้ที่สวน อาหารชั้นเลิศ ทำมาจากหิมะแรก บวกกับดอกบ๊วยฤดูหนาวแรกแย้มที่นำไปตากลม จุ๊!” ซ่งชูอีจุ๊ปาก “ข้าทำใจดื่มไม่ได้ รอพี่ใหญ่มาเพลิดเพลินด้วยกัน ข้าภักดีพอหรือไม่!”

การใช้ดอกบ๊วยฤดูหนาวแรกแย้มในการหมักสุรานั้นดีที่สุด ดอกที่บานสะพรั่งได้สูญเสียกลิ่นหอมไปหมดแล้ว ดอกตูมก็มีกลิ่นหอมไม่เพียงพอ

“เยี่ยม!” ชูหลี่จี๋เป็นชาวฉินตามแบบฉบับมาตรฐาน ไม่ได้ชื่นชมสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากการดื่มสุราฤทธิ์ร้อนแรงชามโต

ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ชูหลี่จี๋ก็เห็นหญิงสาวร่างเพรียวในชุดชวีจวีสีน้ำเงินเดินย่างกรายไปตามทางเดินสายเล็กที่แบ่งระหว่างดอกไม้กับต้นหลิวแผ่วเบา ราวกับดอกกล้วยไม้บอบบางและสง่างามท่ามกลางต้นไม้เขียวขจี

เจินอวี๋สังเกตเห็นสายตาของชูหลี่จี๋ทว่านางไม่กล้าสบตากับเขาโดยตรง ได้แต่หลุบตาลงเพื่อซ่อนใบหน้าแดงระเรื่อ ครั้นเดินมาถึงใต้ศาลา ก็ค้อมตัวน้อยๆ ให้ซ่งชูอี “ท่าน”

กลิ่นหอมจางๆ ของกล้วยไม้ฟุ้งกระจาย

“น้องสาวเจิน เข้ามานั่งเถิด” ซ่งชูอีเรียกนางว่าน้องสาว และมิได้ขอให้เจินอวี๋เรียกตนอย่างใกล้ชิดกว่านี้

หนิงยารีบดึงฟูกออกมาจากใต้โต๊ะหินเพื่อวางไว้ข้างกายซ่งชูอี เจินอวี๋นั่งคุกเข่าลงกลางศาลาตามคำชวน เหลือบไปเห็นว่าตรงหน้าชูหลี่จี๋ยังมีใบไผ่ที่นางแกะสลักวางอยู่ ในใจทั้งเขินอายทั้งคาดหวัง คาดหวังว่าการเรียนรู้ของตนจะได้รับการยอมรับ

ชูหลี่จี๋เป็นผู้ที่อ่านภาษากายได้เป็นอย่างดีและมีความรู้เป็นอย่างมาก “ฝีมือแกะสลักของคุณหนูงดงามยิ่ง”

“นี่คือองค์ชายจี๋” ซ่งชูอีแนะนำ

เจินอวี๋คิดไม่ถึงว่าซ่งชูอียังมีสหายที่สูงส่งเพียงนี้ ตกตะลึงเล็กน้อย ต้องการจะมองเห็นให้ชัดเจนจึงเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าหล่อเหลา คิ้วโค้งมนได้รูป ดวงตาดุจดวงดาว มีรอยยิ้มเป็นมิตรจางๆ เพียงแค่สบตาก็ทำให้หัวใจของนางสั่นไหวเล็กน้อย

ใบหน้างดงามของเจินอวี๋แดงระเรื่อ พูดจาก็ติดๆ ขัดๆ “ข้า…ข้าน้อยสกุลเจิน นามอวี๋ คำนับองค์ชาย”

ชูหลี่จี๋เดินทางมาทั่วสารทิศพบพานโลกมาไม่น้อย ทว่าไม่เคยเห็นสตรีขี้อายเช่นนี้มาก่อน เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนประสานมือคารวะ

ซ่งชูอีรู้สึกได้ถึงบรรยากาศผิดปกติในศาลา คิดในใจ คงไม่ใช่ต้องตาต้องใจตั้งแต่แรกพบกระมัง? จริงอยู่ที่ชูหลี่จี๋หน้าตาดี ทว่าก็ไม่สามารถเป็นรักแรกพบเพราะหน้าตาดีหรอกนะ!

“แค่ก” ซ่งชูอีทำลายบรรยากาศอันแปลกประหลาดนี้ ยิ้มเอ่ย “น้องสาวเจิน เขาเป็นพี่ใหญ่ของข้า มิใช่คนอื่นคนไกล ไม่ต้องพิธีรีตรองมาก”

“พี่ใหญ่อิ๋ง” เจินอวี๋ยินดีที่จะทำตามคำแนะนำ

ซ่งชูอีเลิกคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนเรื่องนี้จะน่าสนใจเสียแล้ว…

“หนิงยา ออกไปโรงเตี๊ยมซื้อกับข้าวกลับมาสองสามอย่างเถิด” ซ่งชูอีหยิบถุงเงินออกมาจากแขนเสื้อแล้ววางไว้บนโต๊ะ

“เจ้าค่ะ!” หนิงยาหยิบถุงเงินแล้วออกไปจากศาลา

ในโรงเตี๊ยมมีอาหารเพียงไม่กี่อย่างและส่วนใหญ่เป็นเนื้อสัตว์

นางออกไปยังไม่ทันไรก็วิ่งกลับมา กล่าวด้วยความยินดี “ท่านเจ้าคะ หญิงงามมาแล้ว!”

ทั้งสามคนในศาลาต่างตะลึงงัน

เจินอวี๋ประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้หญิงมาเยี่ยมซ่งชูอี

“หญิงงามคนไหน?” ซ่งชูอีก็แปลกใจเช่นกัน

หนิงยาเห็นว่าทั้งสามอยู่ในท่าทางที่แตกต่างกันก็รู้ว่าตนได้ทำเรื่องตลกออกไป “หญิงงามของฝ่าบาทเจ้าค่ะ พี่จื่อเฉา”

ทันใดนั้นชูหลี่จี๋นึกเรื่องบางอย่างได้ “จื่อเฉาได้รับการยกย่องว่ามีส่วนช่วยให้รัฐฉินประสบความสำเร็จในแผนการของหวยจิน บัดนั้นเมื่อฝ่าบาทบอกกับนางอย่างชัดเจนว่านี่เป็นกลยุทธ์ของหวยจิน นางก็ไม่เคยหลบหนี ฝ่าบาทยังหวงแหนนางในฐานะวีรสตรี ถามนางว่าต้องการสิ่งใด นางขอให้รอเจ้ากลับมาก่อนค่อยตบรางวัล”

ความคิดมากมายแล่นอยู่ในสมองของซ่งชูอีชั่วขณะหนึ่ง ทอดถอนใจที่อิ๋งซื่อใช้ประโยชน์จากหัวใจของผู้คนด้วยวิธีนี้ และยังทอดถอนใจในการสำนึกบุญคุณคนของจื่อเฉา รวมถึงความเสน่หาที่ตนไม่สามารถตอบสนองได้

“ไปเชิญนางเข้ามาเถิด” ซ่งชูอีเอ่ย

จากนั้นไม่นาน หนิงยาก็พาหญิงสาวที่มีหมวกคลุมหน้าบนศีรษะเข้ามา สามารถมองเห็นรูปร่างที่สง่างามของนางภายใต้ผ้าโปร่งสีฟ้าอย่างคลุมเครือ

“ท่าน” จื่อเฉาถอดหมวกหลุมหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าสวยงามเช่นเคย

ความงามของจื่อเฉานั้นแตกต่างจากเจินอวี๋มาก จื่อเฉามีใบหน้าที่สวยงามอ่อนหวาน บุคลิกน่าหลงใหล เป็นผู้หญิงที่สามารถทำให้ผู้ชายปรารถนาเพียงแรกพบ ส่วนเจินอวี๋นั้นสง่างามเกินไป

“ข้า…” ครั้นจื่อเฉาเห็นลักษณะของซ่งชูอีก็สำลักคำพูดไปชั่วขณะ น้ำตาไหลพราก นางคุกเข่าลงต่อหน้าซ่งชูอีโดยไม่สนใจว่ามีคนอยู่ที่นั่นหรือไม่ หมอบคลานอยู่ที่ใต้เท้าของนาง ร่ำไห้ดั่งหยาดน้ำฝนที่เกาะอยู่บนบนดอกสาลี่อันงดงาม

“เฉา” ซ่งชูอียื่นมือประคองนาง

จื่อเฉามาในวันนี้เพราะว่าต้องการหารือกับซ่งชูอีว่านางไม่ต้องการรางวัลใดๆ นางอยากเพียงขอร้องให้อิ๋งซื่อปล่อยนางออกจากวัง และปล่อยให้นางอยู่ข้างกายซ่งชูอี อย่างไรก็ตามแม้ว่านางจะมีอารมณ์มากมายในใจตอนนี้ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่เสียสติ หลังจากร้องไห้สักพักหนึ่งก็สงบลงเล็กน้อย ไม่ขอร้องเรื่องนี้ต่อหน้าคนอื่น

เจินอวี๋เบิกตาโพลง มองฉากตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ เมื่อครู่หากนางฟังไม่ผิด ผู้นี้ก็คือนางสนมของฉินกง สตรีผู้ที่ถูกส่งไปยังรัฐสู่ในฐานะของกำนัล อีกไม่นานก็จะได้รับพระราชทานรางวัลใหญ่แล้ว ทว่าบัดนี้นางกลับกำลังคลานอยู่ตรงหน้าซ่งชูอีด้วยท่าทีต่ำต้อยเหลือเกิน!

จื่อเฉาเช็ดน้ำตาแผ่วเบา เอ่ยถาม “ดวงตาของท่าน…ท่านหมอว่าเยี่ยงไรบ้าง?”

ซ่งชูอีเอ่ย “ไม่ต้องเป็นห่วง อีกสองวันหมอเทวดาเปี่ยนเชวี่ยก็จะมาถึงเสียนหยางแล้ว”

“เช่นนั้นก็ดี” จื่อเฉาถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ก่อนหน้านี้จื่อเฉาเป็นเพียงสตรีเพียงผู้เดียวในวังหลังของอิ๋งซื่อ อิ๋งซื่อก็มิได้ใกล้ชิดกับนาง แม้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวทว่าก็มีเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหราและอาหารชั้นเลิศ บรรดาสาวใช้รู้สึกว่าตำแหน่งของนางสามารถขยับขึ้นได้อีก ด้วยเหตุนี้จึงปรนนิบัติด้วยความระมัดระวัง จึงมิได้ไม่ได้เดือดร้อนกระไรเลย ครั้นงานอภิเษกสมรสของฉินกงเมื่อปีกลาย วังหลังก็ถูกเติมเต็มฉับพลัน บัดนี้มีฮองเฮาอยู่ในพระราชวังแล้ว อีกทั้งยังมีเว่ยหวานผู้ติดตามฮองเฮาที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นฟูเหรินอีกด้วย นอกจากนี้เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้สตรีชาวเว่ยมีอำนาจสูงสุด อิ๋งซื่อจึงเลือกสตรีชาวฉินมาจากตระกูลสูงศักดิ์อีกสองคน เพื่อเติมเต็มตำแหน่งฟูเหรินที่สาม

มองดูผู้หญิงปากหวานก้นเปรี้ยวเหล่านั้น จื่อเฉารู้สึกว่าไม่อยากอยู่ที่นั่นต่ออีกแล้วแม้แต่วินาทีเดียว ทว่าก็กลัวว่าซ่งชูอีจะมีแผนการอื่นๆ อีก ดังนั้นจึงยืนกรานที่จะรอนางกลับมา

ครั้นหนิงยานำอาหารกลับมาแล้วก็ไปขุดเอาสุราบ๊วยออกมาไหหนึ่ง พวกเขาต่างละทิ้งความคิดทั้งหมดและดื่มกันอย่างสบายใจ

เจินอวี๋ดื่มไม่เก่ง หลังจากดื่มไปเพียงนิดเดียวก็เมาไม่เป็นผู้เป็นคน สาวใช้จึงพานางไปพักผ่อนในจวนด้านหลัง ซ่งชูอีเห็นนางสองครั้ง และนางก็เดินแนวขวางทั้งสองครั้ง จึงเรียกนางเล่นๆ ว่า “แม่นางปู”

ทั้งสามคนดื่มสุราไปทั้งหมดห้าไห สุราแก่มีรสชาติกลมกล่อมและมีฤทธิ์แรง ชูหลี่จี๋เองก็รู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อย เพื่อหลีกเลี่ยงอาการเมาไม่เป็นท่า เขาจึงรีบกล่าวลาแล้ว

จื่อเฉาเมาแล้ว นางกอดซ่งชูอีไม่วางมือ ดวงตาสีหมอกคู่หนึ่งจ้องมาที่นางพร้อมกล่าวด้วยความคลุมเครือ “เฉาต้องการจะออกจากวัง ต้องการจะอยู่ข้างกายท่าน ต่อให้ท่านไม่ชอบ เฉาจะเป็นบ่าวก็ได้ ขอเพียงได้อยู่กับท่านและหย่า…”

ซ่งชูอีนวดคลึงศีรษะที่บวมเป่ง ถอนหายใจอย่างจนปัญญา “จื่อเฉา ข้าใช้เจ้าเพื่อวางแผนต่อรัฐสู่ และก็เพื่อเปิดโอกาสให้เจ้าได้ทำประโยชน์ ให้เจ้าได้ครอบครองตำแหน่งที่มั่นคงในวังหลังของฉินกง”

ขณะที่ซ่งชูอีดำเนินแผนการ นางปกป้องความปลอดภัยของจื่อเฉาในทุกที่ และส่งนางกลับไปที่เสียนหยางโดยไม่ได้รับอันตราย…ทั้งหมดก็เพียงเพื่อชดเชยที่ตนฆ่าน้องสาวที่นางเคยพักพิงชีวิตซึ่งกันและกัน

อย่างไรก็ดี ซ่งชูอีก็ไม่เคยเสียใจ หากมีโอกาสให้เลือกอีกสักหมื่นครั้ง นางก็ยังคงเลือกที่จะตัดชีวิตของจื๋อหย่าออกไปโดยไม่ลังเล ทุกอย่างย่อมมีการแลกเปลี่ยน เพราะว่าจื่อเฉาใจดีเกินไปและมันคุ้มค่าที่นางจะให้ความสนใจ

“เหตุใดท่านจึงไม่ต้องการเฉา?” น้ำตาของจื่อเฉาพรั่งพรู นางยินยอมให้ซ่งชูอีใช้ประโยชน์ แต่ก็ยังไม่ต้องการตัดขาดระหว่างบุญคุณกับความยุติธรรมเช่นนี้

เนื่องจากหากสามารถไขว่คว้าขอนไม้ไว้ได้ในขณะที่โลกแห่งความวุ่นวายไหลไปตามกระแส นางก็ไม่เต็มใจที่จะปล่อยมันไป