“เลือดสัตว์อสูรระดับกลางสามชุดน่าจะช่วยให้เราฝึกฝนได้ห้าวัน มันเพียงพอที่จะเพิ่มพลังของเราได้ถึง 600 จิน หรืออาจจะมากกว่านั้น”
เย่เทียนประเมินคร่าวๆ
พละกําลัง 600 จิน บวกกับความเร็วและพรสวรรค์ด้านดาบระดับกลาง ก็เพียงพอที่จะบดขยี้คู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันได้อย่างง่ายดาย แม้แต่คู่ต่อสู้ที่มีระดับสูงกว่า 1 ขั้นย่อยก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
“จริงสิ ของเหลวสีขาวที่เราได้มามันคืออะไรกันแน่? คงต้องรีบตรวจสอบโดยเร็วที่สุด!”
เย่เทียนยังคาดหวังว่าของเหลวสีขาว ว่ามันจะสามารถช่วยเพิ่มระดับการบ่มเพาะของเขาได้ บางทีมันอาจจะช่วยให้เขาเลื่อนขั้นเป็นนักรบได้เร็วกว่านี้
ในช่วง 100 ปีหลังจากวันโลกาวินาศ มีสมบัติแปลก ๆ เกิดขึ้นมากมาย ดังนั้นบางคนจึงรวบรวมข้อมูลต่างๆของมันจัดทำเป็นหนังสือขึ้นมา เพื่อช่วยให้ผู้ฝึกยุทธที่เข้าไปในป่าไม่พลาดสมบัติเหล่านั้น
หนังสือที่รวบรวมข้อมูลนี้ก็ราคาไม่แพงนัก แค่พันหยวนก็สามารถซื้อได้แล้ว
หากเป็นในอดีต เย่เทียนคงไม่สามารถซื้อมันได้ แต่ตอนนี้เขาไม่ได้ขาดแคลนเงินอีกแล้ว
รางวัลอันดับหนึ่งของการทดสอบ นอกจากเลือดสัตว์อสูร 3 ชุดแล้ว ยังมีเงินอีก 100,000 หยวน
ดังนั้นเย่เทียนจึงมุ่งหน้าไปที่ย่านการค้าและซื้อหนังสือที่รวบรวมข้อมูลสมบัติ
เมื่อกลับถึงบ้าน เย่เทียนก็พลิกหน้ากระดาษทีละหน้า เมื่อดูไปมากกว่าครึ่งเล่มก็พบบันทึกเกี่ยวกับของเหลวนี้
“น้ำนมศิลา เกิดจากที่ประชีพจรปฐพีที่ดูดซับพลังปฐมแห่งฟ้าดินมานับร้อยปี มันมีผลช่วยเพิ่มพรสวรรค์ในการบ่มเพาะ แต่ผลของมันจำกัดเฉพาะกับพรสวรรค์ในการบ่มเพาะไม่เกินระดับกลางเท่านั้น สถานที่ที่เกิดน้ำนมศิลามีโอกาสเล็กน้อยที่จะมีหินวิญญาณปฐพี ซึ่งมีผลช่วยเพิ่มพรสวรรค์ให้กับผู้ฝึกยุทธที่มีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะขั้นสูง! ”
เมื่อเห็นคำแนะนํานี้ ลมหายใจของเย่เทียนเริ่มถี่ขึ้น
“สวรรค์ มันเป็นสมบัติที่สามารถเพิ่มพรสวรรค์ในการบ่มเพาะได้ หากขายมันอย่าว่าแต่เงิน 100,000 หยวนเลย ต่อให้เป็นหลายล้าน หรือหลายสิบล้านก็ยังมีคนซื้อ” เย่เทียนพึมพํา
แต่ในพริบตา เขาโยนความคิดนี้ทิ้งไป
ถ้าเขาประกาศขายน้ำนมศิลานี้จริงๆ รับรองว่าเขาจะต้องตายในวันรุ่งขึ้นอย่างแน่นอน
ในเวลานี้เขาเข้าใจแล้วว่าทําไมงูหลามใบไม้เขียวถึงสามารถทำลายข้อจำกัดทางสายเลือดและวิวัฒนาการกลายเป็นสัตว์อสูรได้
ตอนนั้นเย่เทียนได้ตรวจสอบพรสวรรค์ทางสายเลือดของมันดูแล้ว และพบว่าพรสวรรค์ทางสายเลือดของมันอยู่ในระดับปานกลางเช่นเดียวกับงูตัวอื่น ๆ
ด้วยเหตุนี้ดูเหมือนว่าน้ำนมศิลาจะสามารถเพิ่มระดับพรสวรรค์ทางสายเลือดของมัน มิฉะนั้นงูหลามใบไม้เขียวตัวนั้นคงจะไม่สามารถวิวัฒนาการกลายเป็นสัตว์อสูรได้ไปตลอดชีวิต!
“น่าเสียดายที่น้ำนมศิลานี้มันไม่มีประโยชน์สำหรับเรา พรสวรรค์ของเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการคัดลอก เราจึงไม่จำเป็นต้องใช้มัน อีกอย่างมันจำกัดแค่เพียงพรสวรรค์ในการบ่มเพาะระดับกลางเท่านั้น เมื่อเป็นแบบนี้จะทำอย่างไรกับมันดี? แม้อยากจะขายก็ขายไม่ได้ ” เย่เทียนกล่าวด้วยความผิดหวัง
ทันใดนั้นเขาพลันนึกถึงน้องสาวของเขาเย่หยู
“จริงสิ! เย่หยูเหมือนจะมีพรสวรรค์ระดับรอง หากเรามอบน้ำนมศิลานี้ไปกับเธอ มันจะช่วยให้พรสวรรค์ของเธอกลายเป็นพรสวรรค์ระดับเริ่มต้นหรือระดับกลางได้เลยไม่ใช่หรือ? ” เย่เทียนคิด
………………………………………………
ในขณะมื้ออาหารเที่ยง
เย่เทียนมองไปที่น้องสาวของเขาและกล่าวว่า “เสี่ยวหยู นี่เป็นสมบัติล้ำค่าที่พี่ได้มา มันมีประโยชน์มาก เธอลองดื่มมัน!” เย่เทียนหยิบขวดน้ำนมศิลาออกมาและวางมันไว้บนโต๊ะตรงหน้าเย่หยู
“มันคืออะไรหรอค่ะ?”
เย่หยูถามด้านความอยากรู้อยากเห็น
เธอไม่ได้กังวลว่าพี่ชายของเธอจะทําร้ายเธอ เพียงแค่กังวลถึงรสชาติของมัน
“มันเป็นเครื่องดื่มบํารุงร่างกาย!”
เย่เทียนตอบอย่างจริงจัง
เขาไม่ได้บอกน้องสาวของเขาเกี่ยวกับผลของน้ำนมศิลา เนื่องจากน้องสาวของเขายังไม่ได้สัมผัสถึงการบ่มเพาะ และยังไม่รู้ว่าพรสวรรค์ของตัวเองอยู่ในระดับไหน และอีกอย่างมันอาจทําให้เกิดปัญหาตามมามากมาย
“พี่ ไม่ดื่มเหรอ?”
เย่หยูมองพี่ชายของเธอด้วยดวงตากลมโต
“พี่ดื่มมันไปแล้ว ส่วนนี้พี่เหลือไว้ให้เธอ!” เย่เทียนลูบหัวเย่หยูและพูดอย่างอ่อนโยน
“อืม งั้นน้องจะดื่มมัน!”
เย่หยูค่อยๆดื่มน้ำนมศิลาทีละน้อย
ปริมาณของเหลวสีขาวมีไม่มากนัก เย่หยูดื่มมันจนหมดอย่างรวดเร็ว
“รู้สึกอย่างไรบ้าง?” เย่เทียนรีบถาม
อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่เคยดื่มมันมาก่อน และยังไม่รู้ถึงผลที่แท้จริงของน้ำนมศิลา แต่ในหนังสือมีคำอธิบายบอกไว้ว่ามันไม่อันตรายใดๆกับตัวผู้ดื่ม เพราะผลลัพธ์ของน้ำนมศิลาเหมือนกับเครื่องดื่มบำรุงร่างกายทั่วไป
“รู้สึกอบอุ่นราวกับว่าร่างกายผ่อนคลายมาก!”
เย่หยูบอกความรู้สึกของเธอ
“เสี่ยวหยู สิ่งนี้มีค่ามาก เก็บมันเป็นความลับอย่าบอกเรื่องนี้กับใคร!” เย่เทียนกล่าวกําชับอย่างจริงจัง
เขากลัวว่าเย่หยูจะบอกเรื่องนี้กับเพื่อนของเธอ หากมีใครเดาถึงที่มาของมันได้ พวกเขาจะตกอยู่ในอันตราย
“เข้าใจแล้ว น้องจะไม่บอกใคร!”
เย่หยูพยักหน้า
จากนั้นพวกเขาก็ทานอาหารเที่ยงกันต่อ
ระหว่างมื้ออาหาร เย่เทียนได้ใช้พรสวรรค์ในการคัดลอกสังเกตพรสวรรค์ของเย่หยู
ประมาณสามนาทีต่อมาพรสวรรค์ของเย่หยูก็เกิดการเปลี่ยนแปลง
[มนุษย์: เย่หยู
พรสวรรค์ในการฝึกฝน: ระดับเริ่มต้น
พรสวรรค์น้ําแข็ง: ระดับเริ่มต้น (ยังไม่ตื่นขึ้น)]
หลังจากทานอาหารเที่ยงเสร็จ เย่เทียนก็ตระหนักได้ว่าพรสวรรค์ของเย่หยูเปลี่ยนไปอีกครั้ง
[มนุษย์: เย่หยู
พรสวรรค์ในการฝึกฝน: ปานกลาง
พรสวรรค์น้ําแข็ง: ระดับเริ่มต้น (ยังไม่ตื่นขึ้น)]
จนถึงวันถัดมาพรสวรรค์ของเย่หยูก็ไม่เปลี่ยนไปอีก เห็นได้ชัดว่านี่เป็นขีดจํากัดของผลลัพธ์น้ำนมศิลาแล้ว เนื่องจากมันมีผลน้อยมากต่อพรสวรรค์ระดับปานกลาง และในตอนนี้เย่หยูก็ได้เลื่อนระดับพรสวรรค์มาเป็นพรสวรรค์ระดับปานกลางแล้ว มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะพัฒนาขึ้นอีก
“เสี่ยวหยูมีพรสวรรค์ระดับปานกลางแล้ว บวกกับพรสวรรค์ด้านน้ําแข็งของเธอ ในอนาคตเธอจะต้องกลายเป็นผู้ฝึกยุทธระดับสูงของฐานหลินไห่อย่างแน่นอน!”
เย่เทียนกล่าวด้วยความปลื้มปิติ
หลังจากมีเงินแล้ว เย่เทียนก็ต้องการจะส่งน้องสาวของเขาเข้าเรียนอีกครั้ง เนื่องจากน้องสาวของเขาอายุเพียง 13 ปี เท่านั้น หากเธออยู่บ้านทั้งวันเขาก็อาจจะส่งผลเสียต่อตัวเธอได้ การกลับไปเรียนไม่เพียงแต่จะได้เรียนรู้เพิ่มเติม แต่ยังได้พบปะกับเพื่อนวัยเดียวกันอีกด้วย นี่ถึงจะเหมาะสมกับเด็กในวัยนี้
ตอนแรกเมื่อเขากล่าวเรื่องนี้ออกไปเสี่ยวหยูไม่เห็นด้วย เพราะเธอรู้สถานการณ์ของครอบครัวดี แต่เมื่อเย่เทียนนําเงิน 100,000 หยวนออกมา เธอก็ยอมตอบตกลง
เย่เทียนบอกว่าเขาเข้าร่วมการประลองของสถาบันและได้รับรางวัลชนะเลิศเป็นเงิน 100,000 หยวนนี้
ที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่การโกหก เพราะการทดสอบก็ถือว่าเป็นการประลองเช่นกัน
เมื่อเสี่ยวหยูออกไปโรงเรียนเย่เทียนก็สามารถฝึกฝนได้อย่างสบายใจ
พริบตาเดียวหนึ่งเดือนก็ผ่านไป
ในเวลานี้เลือดของสัตว์อสูรระดับกลางถูกเย่เทียนใช้หมดไปนานแล้ว
และการฝึกฝนตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาทําให้เย่เทียนยกระดับความแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้เขามีพละกำลังถึง 800 จิน
พละกําลัง 800 จิน นับว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงแล้ว อีกเพียงก้าวเดียวก็จะสามารถทะลวงผ่านไปยังขั้นนักรบ
สําหรับพลังการต่อสู้ที่แท้จริงของเย่เทียนมันเกือบจะเทียบได้กับนักรบชั้นต้น
น่าเสียดายเมื่อไม่มีเลือดของสัตว์อสูรความเร็วในการก้าวหน้าของเขาก็ช้าลงอย่างมาก อีกอย่างด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ ยังไม่เพียงพอที่จะออกไปล่าสัตว์ร้ายในป่าได้ ดังนั้นเขาจึงต้องใช้เวลาค่อย ๆ ฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งทีละน้อย
………………………………………
ตระกูลโม่
โม่เฉ่าเป่ยออกจากการเก็บตัวบ่มเพาะแล้ว
ตั้งแต่การทดสอบสิ้นสุดลง เขาก็เก็บตัวฝึกฝนเพื่อทะลวงเข้าสู่ขอบเขตนักรบ และตอนนี้เขาบรรลุถึงระดับนักรบตามที่หวังไว้
ทั้งตระกูลโม่ต่างจัดงานเฉลิมฉลองกับสิ่งที่น่ายินดีเช่นนี้
ขณะที่ภายนอกกําลังพูดคุยกันถึงอัฉริยะของตระกูล โม่เฉ่าเป่ยกําลังปรึกษากับคนรับใช้ชราของเขา
“ผู้อาวุโสหลี่ การสืบข่าวเป็นอย่างไรบ้าง?”
โม่เฉ่าเป่ยจ้องเขม็งที่คนรับใช้ชรา หลี่ไห่ และกล่าวถาม