ตอนที่ 11 มอบปลาให้แม่ยาย

 

ทุกคนค่อนข้างพึงพอใจกับอาหารมื้อเที่ยงนี้ ในเวลานี้ไม่มีอะไรดีไปกว่ากับข้าวที่มีน้ำมันอีกแล้ว

ต้าหยาและเอ้อร์หยารับผิดชอบเก็บกวาดล้างจาน ส่วนคนอื่น ๆ ก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน

จากเรื่องมะเขือผัดครึ่งทัพพีนั้นของเย่ฉูฉู่ พี่สะใภ้สี่จ้าวจึงกระซิบกระซาบกับสามี “เป็นเพราะยัยนั่นอยู่เป็น ส่วนคนอื่น ๆ อยู่ไม่เป็นต่างหากล่ะ!”

  

พี่สี่จ้าวเหนื่อยแล้ว เขาพูดพลางหาว “น้องสะใภ้หกเสียสละให้คุณพ่อโดยไม่รู้สึกเสียดายแล้ว คุณยังจะพูดอะไรอีก ถ้าคุณไม่เสียดายก็ให้คุณพ่อกินเหมือนกันสิ”

“ฉันมีมากขนาดไหนเชียว? ลำพังแค่ตัวเองก็ไม่พอกินอยู่แล้ว!”พี่สะใภ้สี่จ้าวแย้ง

“ใช่สิ พี่สะใภ้รองแบ่งให้พี่รองกิน พี่สะใภ้สามก็แบ่งให้หม่าต้านกิน ส่วนคุณนอกจากจะไม่แบ่งให้ผมแล้ว ก็ไม่คิดจะแบ่งให้ซานหยาซื่อหยา กินเองคนเดียวทั้งหมดเลย” พี่สี่จ้าวพูด

พี่สะใภ้สี่จ้าวถึงกับสำลัก “นั่นก็เป็นเพราะฉันอยากกินของดี ๆ เพื่อมีลูกชายให้คุณเร็ว ๆ ไม่ใช่หรือไงคะ?”

“เอาล่ะ เราเหนื่อยมาครึ่งวันแล้ว รีบนอนเถอะ” พี่สี่จ้าวโบกมือ

เขาพลิกตัวนอนหลับทันที ส่วนพี่สะใภ้สี่จ้าวที่เดิมทียังอยากคุยกับเขาต่อเพื่ออธิบายว่าตนเองไม่ได้เป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนั้น แต่เมื่อเห็นเขานอนหลับไปแล้ว พี่สะใภ้สี่จ้าวก็น้อยใจขึ้นมาอีกครั้ง

หากหล่อนมีลูกชาย หล่อนก็ไม่เสียดายที่จะแบ่งให้ลูกชายตัวเองกินเยอะ ๆ เหมือนกัน ผู้หญิงไม่มีลูกชายไม่ได้ ต้องมีลูกชายสักคนถึงจะดี ไม่เช่นนั้นหล่อนคงไม่มีที่ยืนอยู่ในบ้านหลังนี้

พี่สะใภ้รองจ้าวและพี่สะใภ้สามจ้าวไม่ได้มีความคิดเช่นนี้ วันนี้เหนื่อยมากพอแล้ว จึงรีบเข้านอนโดยเร็ว ตื่นขึ้นมาก็ยังต้องไปกำจัดวัชพืชอีก!

คุณพ่อจ้าวและคุณแม่จ้าวก็กำลังเอนตัวนอนอยู่บนเตียง

เป็นเพราะกับข้าวครึ่งทัพพีนั้น คุณพ่อจ้าวจึงมีอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด คุณแม่จ้าวเองก็รู้สึกได้เช่นเดียวกัน นางจึงยิ้มออกมา “ฉูฉู่ไม่เสียดายเลย ถ้าเป็นคนอื่น โดยเฉพาะสะใภ้สี่ ก็คงอยากจะโกยใส่ในถ้วยตัวเองอีกหน่อย”

คุณพ่อจ้าวไม่ได้กล่าวคำใดออกมา เขาเอนตัวลงเพื่อเตรียมตัวพักผ่อนแล้ว

“ฉันว่าบ้านเจ้ารองกับบ้านเจ้าสามคงจะมีความคิดอยากแยกบ้านแล้วล่ะค่ะ” คุณแม่จ้าวกล่าวเสียงเบา

“พวกเขาจะมีความคิดนี้ก็เป็นเรื่องปกติ ตอนนั้นคุณกับพี่สะใภ้ใหญ่ก็เป็นแบบนี้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ” คุณพ่อจ้าวพูด

 

“ฉันกับพี่สะใภ้ใหญ่คิดแบบนั้นก็เป็นเพราะพ่อกับแม่ของคุณท่านจากไปแล้ว จึงแยกบ้านออกมา แต่ตอนนี้พวกเรายังอยู่นะคะ!” คุณแม่จ้าวพูด

คุณพ่อจ้าวพยักหน้า และพูดว่า “ตอนนี้ยังแยกบ้านไม่ได้ เจ้าหกกับสะใภ้หกยังไม่มีลูก ส่วนเจ้ารองกับเจ้าสามมีลูกโตกันหมดแล้ว ถ้าแยกบ้านไปจะทันคนอื่น ๆ ได้ยังไง?”

คุณแม่จ้าวก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน

ตอนนี้ทุกคนอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน กินร่วมโต๊ะเดียวกัน หากใครมีลูกก็ช่วยกันดูแลให้ได้โดยไม่ต้องลำบากมากนัก

  

แต่ถ้าหากแยกบ้านออกไปมันก็จะต่างกัน เมื่อแยกบ้านแล้วก็จะกลายเป็นคนละครอบครัว ไม่สนใจสิ่งเหล่านี้แล้ว ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง

ครอบครัวเจ้ารองกับเจ้าสามมีลูกโตแล้ว ซึ่งล้วนช่วยงานได้หมดทุกคน แต่ครอบครัวเจ้าหกเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน ลูกก็ยังไม่มี หากแยกบ้านออกไปจะทำอย่างไร?

ดังนั้นจึงไม่สามารถแยกบ้านได้ ใช้ชีวิตแบบนี้ก็ดีแล้ว

จ้าวเหวินเทาในเวลานี้กำลังนั่งรับประทานผลไม้หลังอาหารกับภรรยาของเขา ไม่ได้เป็นอย่างที่พ่อแม่ของเขากังวลสักนิด

  

เขาเองก็วางแผนไว้แล้วว่าอยากจะแยกบ้านออกไปในปีนี้เลย แบบนี้ก็จะทำให้เขาและภรรยาได้อยู่ในโลกของพวกเขาสองคนอย่างสะดวกสบาย

 

แน่นอนว่าหลังจากแยกครอบครัวแล้วก็ไม่ได้ย้ายออกไป พวกเขายังคงอาศัยอยู่ที่นี่ เพราะการออกไปสร้างบ้านด้วยตนเองนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

หากต้องออกไปสร้างบ้านดินเอง สู้อยู่ที่นี่ต่อไปยังจะดีเสียกว่า

ดังนั้นการแยกครอบครัวโดยไม่แยกบ้านจึงเป็นหนทางดีที่สุด ส่วนเหล่าพี่สะใภ้ของเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปสนใจ

เมื่อสองสามีภรรยากินผลไม้เสร็จก็เตรียมตัวงีบกลางวัน จ้าวเหวินเทายังกอดภรรยาตนไว้ ส่วนเย่ฉูฉู่ยังรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เธอกล่าวขึ้น “ตัวฉันเหม็นเหงื่อไปทั้งตัวเลยนะคะ”

แม้หลังกลับมาถึงบ้านเธอจะทำความสะอาดร่างกายตัวเองไปแล้ว แต่อากาศวันนี้ร้อนอบอ้าวเกินไป เหงื่อจึงไหลออกมาอีกครั้ง

“ผมไม่ถือหรอก กลิ่นเหงื่อบนตัวภรรยาผมหอมจะตายไป” จ้าวเหวินเทาพูด

ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้เย่ฉูฉู่ก็ได้ยินคำพูดประเภทนี้มาหลายครั้งแล้ว เธอคิดไม่ถึงเลยว่าองค์ชายในชาตินี้จะชอบพูดเล่นแบบนี้ โดยเฉพาะตอนหัวเราะที่ดูมีเลศนัย แต่เธอรักเขามากจริงๆ

ต่อให้จะได้ยินหลายครั้ง แต่เธอก็ไม่ได้สร้างภูมิต้านทานใด ๆไว้ ตอนนี้จึงยังคงหน้าแดงได้ง่ายเหมือนเดิม

 

จ้าวเหวินเทายิ้มบางขณะยื่นหน้าเข้าไปหอมเธอ “ภรรยา คุณนี่ชอบทำให้คนอื่นรักซะจริงนะครับ”

เย่ฉูฉู่ใบหน้าแดงระเรื่อ มองเขาด้วยดวงตาเจือรอยยิ้ม

 

จ้าวเหวินเทายิ้ม “รีบนอนเถอะ ตอนบ่ายยังต้องไปทำงานอีก มันเหนื่อยมากเลยนะ หรือไม่อย่างนั้นคุณก็ไม่ต้องไปทำงานซะเลยสิ?”

“ไม่ได้หรอกค่ะ” เย่ฉูฉู่มองเขาด้วยรอยยิ้มแวบหนึ่ง จากนั้นก็นอนกลางวันพร้อมกับเขา

ตอนที่เธอรู้สึกว่าเพิ่งจะหลับตา เสียงนกหวีดจากด้านนอกก็ดังขึ้นเสียแล้ว

เย่ฉูฉู่ลุกขึ้นมาเก็บที่นอน จ้าวเหวินเทาพูดด้วยอาการสะลึมสะลือ “ภรรยา จำไว้ว่าต้องอู้งานบ้างนะครับ อย่าขยันเกินไปล่ะ”

“ฉันรู้แล้วค่ะ คุณเองก็พักผ่อนเยอะ ๆ รอให้ถึงเวลาคุณค่อยลุกขึ้นมาเรียกคุณแม่ต้มไข่ไก่ให้คุณกินนะคะ” เย่ฉูฉู่กล่าว

“จูบผมก่อนสิแล้วค่อยไป” จ้าวเหวินเทาพูดพร้อมกับหลับตา

 

เย่ฉูฉู่ถึงกับอายม้วน แต่เมื่อมองไปด้านนอก เธอก็สบโอกาสช่วงที่ไม่มีคน ยื่นหน้ามาจูบเขาหนึ่งครั้งอย่างกล้าหาญ ก่อนจะรีบวิ่งออกไปด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ

จ้าวเหวินเทานอนหลับต่ออย่างพึงพอใจ

เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาบ่ายสามโมงกว่าแล้ว เขาจึงหาวออกมาหวอดใหญ่ และพบว่าภรรยาได้วางแก้วน้ำไว้ให้บนโต๊ะ หลังจากดื่มน้ำจนหมดเกลี้ยง เขาก็เดินไปหาแม่ของตน

คุณแม่จ้าวกำลังให้อาหารไก่อยู่ ครั้นเห็นเขาตื่นแล้วก็หันไปมองยังประตูใหญ่พร้อมกับกระซิบ “เหวินเทา แม่ตากเนื้อกระต่ายไว้แล้ว แกเอาเครื่องในกับขนพวกนั้นไปฝังให้ทีนะ?”

นางนำเนื้อกระต่ายไปหมักแล้ว ตอนนี้กำลังตากแดดอยู่บนหลังคา

“ครับ” จ้าวเหวินเทาพยักหน้า

 

เขาถือกะละมังไม้ออกนอกประตูเพื่อนำไปฝังอย่างเงียบๆ หลังจากเสร็จธุระแล้วก็อาบน้ำที่แม่น้ำ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพบว่ามีปลาตัวใหญ่ตัวหนึ่งน้ำหนักราว 3-4 ชั่ง เขาชะงักครู่หนึ่งก่อนจะได้สติ จากนั้นจึงเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง ก่อนจะใช้กะละมังในมือช้อนปลาขึ้นมา!

“หึหึ คืนนี้มีน้ำแกงปลาให้ภรรยาฉันแล้ว!” จ้าวเหวินเทายิ้มกว้าง

เขามีความสุขมาก ปลาเฉาตัวใหญ่แบบนี้ มีเนื้อเพียงพอสำหรับรับประทานแล้ว

คุณแม่จ้าวก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าเพียงนางสั่งให้เขาออกไปจัดการสิ่งสกปรก เขากลับเดินมาพร้อมกับปลาอ้วนใหญ่ตัวนี้

ในบ้านไม่มีใครอยู่พอดี คุณแม่จ้าวจึงเอ่ยขึ้น “สองวันมานี้ที่บ้านของเรากินของดีกันมากพอแล้ว ปลาตัวนี้แกเอาไปที่บ้านแม่ยาย ให้แม่ยายแกทำกับข้าวก็แล้วกันนะ”

“แม่ไม่เสียดายเลยเหรอครับ ปลาตัวนี้ไม่ใช่เล็ก ๆ เลยนะ” จ้าวเหวินเทาชะงัก

“เพราะมันไม่เล็กน่ะสิถึงต้องเอาไปให้คนอื่น แกรีบเอาไปให้เถอะ” คุณแม่จ้าวพูด

“งั้นผมเอาไปให้เลยนะครับ?” จ้าวเหวินเทาพูด

 

“เอาไปเถอะ ในเมื่อทางนั้นเลี้ยงดูลูกสะใภ้ได้ดีแบบนี้ แกก็ควรจะกตัญญูต่อทางนั้นไว้นะ” แม้คุณแม่จ้าวจะแอบเสียดาย แต่การได้ไปมาหาสู่กับทางฝั่งตระกูลเย่ก็ทำให้นางรู้สึกมีความสุขมาก

ถึงอย่างไรตระกูลเย่ก็ไม่ได้เลวร้าย นางกล้าพนันได้เลยว่าหลังจากลูกชายนำปลาตัวนี้ไปมอบให้ ทางฝั่งนั้นย่อมให้ของแลกเปลี่ยนกลับมาอย่างแน่นอน

แน่นอนว่านางไม่ได้หวังผลตอบแทน แต่การทำแบบนี้ก็คงมีเพียงตระกูลเย่เท่านั้นที่จะมอบของกลับมา ส่วนตระกูลของลูกสะใภ้ทั้งสามคนที่เหลืออย่าได้แม้แต่จะคิด

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ผู้แปลเป็นฉูฉู่ก็เขินเหมือนกันค่ะ มีสามีทะเล้นแบบนี้

เป็นพรวิเศษของเหวินเทาจริง ๆ เดี๋ยวได้กระต่าย เดี๋ยวได้ปลา ต่อไปจะได้อะไรล่ะเนี่ย

ทางฝั่งคนตระกูลเย่จะเป็นอย่างไรบ้างนะ

ไหหม่า(海馬)