บทที่ 37 ดินแดนรกร้างใต้พิภพ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 37 ดินแดนรกร้างใต้พิภพ
บทที่ 37 ดินแดนรกร้างใต้พิภพ

การจ้องมองของซูเจียวนั้นสงบ ยามที่นางพินิจชายหนุ่มตรงหน้า ไม่มีผู้ใดรู้ว่าขณะนี้หญิงสาวคิดถึงสิ่งใดอยู่

“เจ้าคือเฉินซี?” หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ซูเจียวก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง

เฉินซี?

หลังจากได้ยินคำพูดของนาง คนรอบข้างต่างก็สับสน มีเพียงคนที่มาจากเมืองหมอกสนเท่านั้นที่รู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินชื่อนี้

ผู้ใดในเมืองหมอกสนจะไม่รู้จักชื่ออันโด่งดังของเฉินหน้าตาย?

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขารู้สึกประหลาดใจยิ่งขึ้นเมื่อเห็นเฉินซีอยู่ร่วมกลุ่มกับเหล่าสมาชิกตระกูลใหญ่แห่งเมืองทะเลสาบมังกร

“เวรล่ะ! ไยตัวซวยถึงมาอยู่ที่นี่? มันเป็นแค่ไอ้คนไร้ค่าที่รู้แค่วิธีสร้างยันต์ไม่ใช่หรือ? เหตุใดมันถึงได้มาเข้าร่วมงานทดสอบด้วย?” บางคนรู้สึกยากที่จะเชื่อ

“อา! ก่อนหน้านี้ที่ข้าไม่เห็นไอ้ตัวซวยนั่นเป็นเพราะมันเอาแต่ซ่อนอยู่หลังนายน้อยต้วนมู่นี่เอง ความสง่างามของนายน้อยดึงดูดความสนใจของเราไปจนหมด จึงได้มองข้ามไอ้ตัวซวยนี้ไป” มีคนฉวยโอกาสนี้เพื่อประจบต้วนมู่เจ๋อ

“ไม่น่าเชื่อ! คนอย่างคุณหนูซูกลับจำชื่อเสียงเรียงนามของคนธรรมดาได้อย่างไร? เฮ้! พวกเจ้า เฉินซีผู้นี้เป็นใครกันแน่?” เหล่าผู้บ่มเพาะที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในเมืองหมอกสนเริ่มอยากรู้ขึ้นมา และเริ่มสอบถามเกี่ยวกับตัวตนของเฉินซี

“ฮ่า ๆ! พวกเจ้าทุกคนนอกจากจะไม่รู้เรื่องอะไรแล้วยังพูดจาเหลวไหลอีกต่างหาก! ข้าจะบอกพวกเจ้าทุกคนเอาบุญก็แล้วกันว่าคุณหนูซูเคยถูกหมั้นหมายกับเฉินซีเมื่อหลายปีก่อน ทว่าเมื่อถึงตอนที่มันอายุสี่ขวบ…” มีคนเริ่มพูดถึงฉากที่ตระกูลซูฉีกสัญญาหมั้นระหว่างชายหนุ่มกับซูเจียวเมื่อหลายปีก่อน

เฉินซีนิ่งฟังเสียงการสนทนารอบกาย สีหน้าของเขายังคงสงบราวกับว่าทุกคำพูดนินทานั้นไม่เกี่ยวข้องกับเขา

“ฮะ ตัวซวย? นี่เรื่องจริงอย่างนั้นหรือ?” ต้วนมู่เจ๋อแสร้งทำเป็นประหลาดใจทว่าดวงตาของเขากลับปรากฏความสุขและเยาะเย้ยขึ้นมาอย่างชัดเจน

“ไม่คิดเลยว่าคุณหนูซูจะมีอดีตกับเขาเช่นนี้” ฉางปินเหลือบมองเฉินซีด้วยความประหลาดใจ และความดูแคลนก็ปรากฏขึ้นในดวงตาคู่นั้น “แต่ถ้าเป็นข้า ข้าจะไม่แต่งงานกับขยะแบบนี้อย่างแน่นอน”

ภายใต้การเยาะเย้ยถากถางจากผู้คนรอบตัว เฉินซีลุกขึ้นยืนและจ้องมองไปที่ซูเจียวขณะเอ่ยถามเสียงห้วน “เจ้าเกี่ยวข้องกับการตายของปู่ของข้าใช่หรือไม่?”

“ข้า…” ซูเจียวตกตะลึง จากนั้นการแสดงออกของนางก็เย็นชาและถามกลับด้วยสีหน้าขมวดคิ้ว “การตายของปู่ของเจ้าเกี่ยวข้องกับข้าได้อย่างไร?”

“กล้าทำแต่ไม่ยอมรับ?” ชายหนุ่มยังคงกัดไม่ปล่อย

ซูเจียวโกรธจัดที่ถูกเฉินซีสอบปากคำ นางพูดย้ำคำชัด “เจ้าคิดว่าข้าควรอธิบายตัวเองให้กับขยะจากตระกูลต่ำต้อยเช่นเจ้าอย่างนั้นหรือ? เจ้าต้องเข้าใจว่าสัญญาการแต่งงานระหว่างตระกูลของเราไม่มีอยู่แล้ว ตอนนี้แม้ว่าข้าจะฆ่าเจ้า ข้าก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเจอปัญหาใด ๆ เจ้าเข้าใจหรือไม่!”

ดวงตาของหญิงสาวเปี่ยมล้นไปด้วยความดูถูก และยิ่งเมื่อนางเห็นเฉินซียังคงนิ่งเงียบ น้ำเสียงของนางก็ยิ่งหยาบคายมากกกว่าเดิม “เฮอะ ต่อให้ข้าจะฆ่าปู่เจ้าจริง ๆ เจ้าจะทำอะไรข้าได้ด้วยความแข็งแกร่งอันน้อยนิดของเจ้า?”

“จำไว้ว่าคนอ่อนแอไม่มีสิทธิ์พูด โดยเฉพาะคนที่มาจากตระกูลซึ่งล่มสลายไปแล้วเช่นเจ้ายิ่งไม่มีสิทธิ์จะหายใจร่วมอากาศเดียวกับข้าด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงการทวงถามความยุติธรรมใดกับข้า ถ้าขืนเจ้ากล้าพูดกับข้าอีกเพียงประโยค ข้ารับประกันว่าจะฆ่าเจ้าอย่างแน่นอน!”

หลังจากที่พูดจบ ซูเจียวก็หันหลังจากไปพร้อมกับฉางปินราวกับเพิ่งได้ชัยชนะจากสมรภูมิ

“คุณหนูซูปล่อยเฉินซีไว้ให้ข้าจัดการเอง ข้าจะสอนบทเรียนให้มันจนกว่าท่านจะพอใจ” เสียงใสดังแว่วมาแต่ไกล

“ขอบคุณสำหรับความกังวลของเจ้า นายน้อยหลี่ไฮว่ แต่ดินแดนรกร้างใต้พิภพนั้นสำคัญกว่า ปล่อยไอ้คนผู้นี้ไปชั่วคราวก่อนก็แล้วกัน”

หลี่ไฮว่?

เฉินซีหันไปมองชายหนุ่มรูปงามท่ามกลางฝูงชนที่ยืนดูอยู่ในระยะไกลออกไป ‘นายน้อยคนโตของตระกูลหลี่? เจ้าสองคนอยู่ด้วยกันตามที่คาดไว้…’

“เจ้าไหวหรือไม่?” นี่เป็นครั้งที่สองที่ตู้ชิงซีถามคำถามนี้กับเฉินซี

ชายหนุ่มส่ายหัว สีหน้าของเขาก็กลับมาเป็นปกติ ตั้งแต่เขายังเด็ก เขาเผชิญกับการเยาะเย้ยมาแล้วนับไม่ถ้วน ดังนั้นคำพูดเมื่อครู่นี้ของซูเจียวจึงนับได้ว่าเป็นเรื่องเล็ก ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงแต่อย่างใด

ตรงกันข้าม เนื่องจากเห็นหลี่ไฮว่กับซูเจียวอยู่ด้วยกัน ยิ่งทำให้เฉินซีมั่นใจมากขึ้นว่าการตายของปู่เขานั้นเกี่ยวข้องกับขุมกำลังที่หนุนหลังคนสองคนนี้อย่างแน่นอน!

ตู้ชิงซีไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมอีกเพราะดินแดนรกร้างใต้พิภพกำลังจะปรากฏ

ครืนน!

ผ่านไปอีกพักหนึ่ง ความผันผวนแปลกประหลาดบังเกิดขึ้นรอบ ๆ ทะเลสาบถ้ำวิญญาณ ผิวน้ำที่สงบนิ่งแต่เดิมของทะเลสาบสั่นสะเทือนจนเกิดระลอกคลื่นรุนแรง ปราณวิญญาณบริเวณโดยรอบปั่นป่วนยุ่งเหยิง ฟ้าครึ้มหมู่เมฆรวมตัวกันและเกิดลมพัดแรงราวกับมีมรสุมเข้า!

ครืน! ครืน! ครืน!

“ดินแดนรกร้างใต้พิภพกำลังจะปรากฏ! ทุกคนถอยออกมา!”

เมื่อเสียงตะโกนนี้จบลง เกลียวคลื่นที่บ้าคลั่งนับร้อยของทะเลสาบถ้ำวิญญาณพลันม้วนตัวขึ้นสู่อากาศ ก่อนจะควบรวมกันกลายเป็นพายุหมุนขนาดยักษ์หมุนเร็วอย่างบ้าคลั่ง

พายุหมุนยักษ์นี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ทะเลสาบถ้ำวิญญาณปั่นป่วนสุดขีด แต่มันยังสร้างความวายวอดให้แก่พื้นที่ชายฝั่งในระยะยี่สิบจั้งด้วยแรงดึงดูดอันมหาศาลของมัน ต้นไม้พืชพรรณทั้งหลายถูกถอนลอยละลิ่วเข้าหาจุดศูนย์กลางของพายุ เหล่าผู้บ่มเพาะที่อยู่ใกล้ทะเลสาบถ้ำวิญญาณต่างรีบถอยกลับเพื่อออกห่างจากระยะแรงดึงดูดของพายุหมุนอย่างรวดเร็ว มิเช่นนั้นพวกเขาคงได้กลายเป็นก้อนเลือดภายในพริบตา

“ระวัง! หากถูกดูดเข้าไปในพายุหมุนนั้น เจ้าจะถูกแรงลมบดขยี้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที ต่อให้เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำก็ไม่รอด!”

อันที่จริงไม่จำเป็นต้องเตือนเลย ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างตระหนักได้ดีถึงความร้ายแรงของพายุหมุนอยู่แล้ว พวกเขาจึงถอยห่างออกไปมากกว่าหนึ่งร้อยจั้ง และเมื่อพวกเขารู้สึกว่าตัวเองพ้นจากอำนาจการทำลายล้างของพายุหมุนจึงยืนนิ่งด้วยความกลัวที่ยังคงค้างอยู่ในใจ

เปรี้ยง!

เสียงฟ้าร้องที่รุนแรงดังขึ้นบนท้องฟ้าอย่างฉับพลัน และฉากที่น่าอัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้นอีก ท้องฟ้าเหนือพายุหมุนกลับแปรเปลี่ยน ดูคล้ายถูกมือของพระเจ้าบดขยี้ ก่อนจะพังทลายลงทีละน้อย จากนั้น ‘ประตู’ ขนาดใหญ่ที่เปล่งแสงสีดำก็ค่อย ๆ ปรากฏชัดขึ้นที่เหนือผิวน้ำของทะเลสาบถ้ำวิญญาณ

พร้อมกับการปรากฏของ ‘ประตู’ นี้ พายุหมุนและแรงดูดที่น่าสะพรึงกลัวก็หายไป ฟ้าดินกลับมาเป็นปกติแล้ว

“ไปกันเถอะ!” ร่างหนึ่งพุ่งเข้าหา ‘ประตู’ อย่างรวดเร็ว

เมื่อคนอื่นเห็นเช่นนี้ พวกเขาจะยอมน้อยหน้าได้อย่างไร? ทันใดนั้นทุกคนก็พุ่งเข้าหา ‘ประตู’ นั้นอย่างโกลาหล

“พี่ชิงซี น้องสาวผู้นี้ขอตัวไปก่อน!” ซูเจียวหันกลับมาและหัวเราะ นกกระเรียนสีขาวที่อยู่ใต้เท้าของนางกระพือปีก ก่อนจะพุ่งเข้าไปยัง ‘ประตู’ ด้วยเสียงหวีดกรีดอากาศ ฉางปินและหลี่ไฮว่ยืนบนกระบี่บินขณะที่พวกเขาตามนางไปที่ ‘ประตู’

“เข้าไปกันเถอะ ประตูที่นำไปสู่ดินแดนรกร้างใต้พิภพจะคงอยู่เพียงเวลาราวหนึ่งก้านธูปไหม้ และครั้งต่อไปที่ประตูนี้จะปรากฏขึ้นก็คือหลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน” ไม่นานหลังจากที่กลุ่มของซูเจียวจากไป ตู้ชิงซีก็พาเฉินซีและคนอื่น ๆ เข้าไปใน ‘ประตู’

โอม!

หลังจากผ่านไปอีกราวหนึ่งก้านธูปไหม้ บริเวณรอบทะเลสาบถ้ำวิญญาณกลายเป็นไร้ผู้คนอย่างสมบูรณ์ และ ‘ประตู’ ขนาดใหญ่เหนือทะเลสาบก็หายไปในทันใดพร้อมกับท้องฟ้าที่แตกสลายก็กลับคืนสู่สภาพปกติ

ครืน!

ทว่าไม่นานหลังจาก ‘ประตู’ ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นช่องทางนำไปสู่ดินแดนรกร้างใต้พิภพหายไป ท้องฟ้าเหนือริมฝั่งของทะเลสาบถ้ำวิญญาณก็ปรากฏรอยแยกอีกครั้ง มือเรียวยาวสีขาวทั้งสองยื่นออกมาจากรอยนั้น

ชายหนุ่มก็เดินออกมาจากรอยแยกนั้น เขามีใบหน้าที่หล่อเหลาและรูปร่างสูงที่ซ่อนอยู่ใต้อาภรณ์สีม่วง ทว่ายามนี้คนคนนี้กำลังขมวดคิ้ว ขณะจ้องมองเหนือทะเลสาบถ้ำวิญญาณราวกับขัดใจอะไรบางอย่าง

“บัดซบ! ที่นี่เป็นแค่ดินแดนกันดารในรอยแยกมิติหนึ่งเท่านั้น ข้าอุตส่าห์หลงดีใจคิดว่ามันเป็นโลกเล็ก ๆ ที่ยังไม่ได้ถูกสำรวจ ตอนนี้ข้าซวยแล้วไง! ถ้านังเด็กดื้อรั้นนั่นตามมาทันและจับข้าได้ละก็… ข้าคง…”

ใบหน้าของชายหนุ่มรูปงามแสดงอาการหงุดหงิดอย่างชัดเจน แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงบางอย่างซึ่งทำให้คิ้วรูปดาบของเขาขมวดมากกว่าเดิม จากนั้นร่างของเขาก็หายวับไปในทันทีราวกับไม่เคยอยู่ที่นี่มาก่อน

“มันหนีไปอีกแล้ว! ไอ้สารเลว!”

ท้องฟ้าแตกเป็นเสี่ยง ๆ อีกครั้งจนเผยให้เห็นช่องว่างมิติอันเวิ้งว้างดำมืดเป็นฉากหลัง และอึดใจถัดมาหญิงสาวที่มีรูปลักษณ์งดงามก็เดินออกมาด้วยความโกรธ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ และดูเหมือนจะไม่พบสิ่งที่ต้องการ จากนั้นนางก็กระทืบเท้าอย่างดุดัน และหวนกลับไปในช่องว่างมิติอีกครั้ง

บริเวณกึ่งกลางอาณาเขตในระยะห้าพันลี้ของเทือกเขาป่าเถื่อนทางตอนใต้ ถูกเรียกได้ว่าเป็นบริเวณที่ลึกและอันตรายที่สุดในพื้นที่ป่าทางตอนใต้ ขณะนี้จู่ ๆ ก็ปรากฏวังวนคลื่นพลังบนท้องฟ้า และจากนั้นร่างของชายหนุ่มในอาภรณ์สีม่วงก็เดินออกจากวังวนคลื่นพลังนั้นด้วยสีหน้าโล่งใจ

“โอ้ ที่นี่มีสัตว์อสูรระดับสูงอยู่เยอะพอสมควรเลย… อืม ไม่เลว ไม่เลวจริง ๆ การซ่อนตัวอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่งดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดี”

ขณะที่พูด ชายหนุ่มลูบคางและมองไปรอบ ๆ ตัว จากนั้นจึงยื่นมือขวาออกไปคว้าอากาศตรงหน้าเบา ๆ และทันใดนั้นงูตัวสีดำขนาดใหญ่หนาพอ ๆ กับถังน้ำก็ปรากฏขึ้นในมือที่เคยว่างเปล่าของเขา

งูตัวนี้มีเขาสีแดงโลหิตอยู่บนหัวของมัน ทั่วตัวถูกปกคลุมด้วยเกล็ดแข็งหนา ทว่าที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือกรงเล็บสีทองเล็ก ๆ สี่ข้างงอกออกมาจากใต้ท้องของมัน

“โอ้ เร็ว ๆ นี้จะกลายเป็นมังกรน้ำหรือ? น่าเสียดายเวลาที่เจ้าบ่มเพาะมากว่าห้าพันปี แต่ท้ายที่สุดกลับต้องมาเป็นอาหารในท้องของข้า…” ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มอย่างชั่วร้าย เขาไม่ได้สนใจสายตาอ้อนวอนขอชีวิตของงูเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะใช้สองนิ้วบีบหัวของงูอย่างเรียบง่าย

ปุ!

หัวของงูยักษ์แตกออกกลายเป็นฝนเลือด นัยน์ตาของชายหนุ่มชุดสีม่วงเปล่งประกายด้วยวังวนสีม่วงหมุนเวียนไม่หยุดหย่อน เขาเงยหน้าขึ้นและอ้าปากขณะปล่อยให้เลือดที่กระเซ็นตกลงบนลิ้นของตนเองด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม

ปัง!

เฉินซีที่ถูกส่งตัวเข้ามาเพิ่งยืนหยัดได้อย่างมั่นคง ทว่ายังไม่มีโอกาสที่จะได้สำรวจสภาพแวดล้อมรอบกาย ทันใดนั้นก็มีร่างสีดำปริศนาพุ่งเข้าหาเขาอย่างดุเดือด ชายหนุ่มชกหมัดสวนเข้าใส่ร่างสีดำที่พุ่งเข้ามาโดยไม่มีการลังเลทันที

โฮก!

ร่างสีดำนอนคว่ำอยู่บนพื้นและร้องโหยหวนอย่างไม่เต็มใจที่จะจากลาโลกนี้ไป

ขณะนี้เฉินซีจึงเพิ่งได้เห็นชัดเจนว่าร่างสีดำเป็นอสูรปีศาจขนาดเท่ากับลูกวัว แต่รูปลักษณของมันอัปลักษณ์มาก ทั้งตัวของมันเป็นสีดำสนิทราวกับถ่าน ดวงตาของมันเป็นสีแดงเข้มราวกับทับทิม ร่างของมันแผ่กลิ่นอายชั่วร้ายไม่ขาดสาย

อสูรปีศาจ? ที่นี่คือดินแดนรกร้างใต้พิภพหรือ?

เฉินซีมองไปรอบ ๆ ตัว จากนั้นก็ได้เห็นว่าท้องฟ้าที่นี่เต็มไปด้วยเมฆสีเทาตะกั่วหนาทึบ พื้นดินเต็มไปด้วยหินและทราย และเมื่อลมหนาวพัดผ่านเข้ามา ทรายและฝุ่นจะฟุ้งปลิวไปในอากาศราวกับหมอก ทำให้ทัศนวิสัยแย่ลง