บทที่ 38 ปราณปีศาจยมโลก

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 38 ปราณปีศาจยมโลก
บทที่ 38 ปราณปีศาจยมโลก

ปัง!

แสงกระบี่เย็นเยียบพุ่งเสียดแทงผ่านอากาศและหัวของอสูรปีศาจที่เฉินซีโจมตีใส่ก็ถูกเจาะทะลุเป็นรูขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือทันที

อสูรปีศาจส่งเสียงคำรามอย่างน่าสังเวชก่อนจะล้มลงกับพื้น

“อสูรปีศาจเหล่านี้ล้วนควบแน่นมาจากปราณปีศาจ และอาจกล่าวได้ว่าพวกมันเป็นอมตะ อสูรปีศาจจะสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ก็ต่อเมื่อหัวของมันแหลกเป็นเสี่ยง ๆ และการถอดไข่มุกปีศาจที่อยู่ภายในหัวมันออกก็จะทำให้มันตายตกไปอย่างสมบูรณ์” ตู้ชิงซีเดินมาที่ด้านข้างและอธิบายพลางดึงไข่มุกสีดำขนาดเท่าไข่นกพิราบออกจากหัวของศพอสูรปีศาจ

“สิ่งนี้ไม่มีประโยชน์สำหรับข้า เจ้าเก็บมันไว้ และสามารถนำมันไปแลกเปลี่ยนเป็นผลึกวิญญาณได้เมื่อเราออกไปจากที่นี่” ตู้ชิงซีโยนไข่มุกในมือให้เฉินซี

หลังจากได้รับไข่มุกมา เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าทัศนคติของตู้ชิงซีที่มีต่อเขาดูเหมือนจะเปลี่ยนไปอย่างมาก นางมีน้ำใจแก่เขาอย่างคาดไม่ถึง

“ไปกันเถอะ เราไม่สามารถบินได้ภายในสถานที่แห่งนี้ จุดหมายของเรายังอีกยาวไกล หากเราไม่สามารถไปถึงที่นั่นได้ภายในหนึ่งเดือนเราจะเสียโอกาสที่ได้มายากนี้”

ตู้ชิงซีไม่รอให้เฉินซีเอ่ยถามเหตุผลที่นางต้องเร่งรีบ จากนั้นก็นางออกวิ่งไปในทันที

“ไอ้ตัวซวยตามพวกเรามาดี ๆ อย่าเป็นตัวถ่วงให้พวกเราเสียเวลา” ต้วนมู่เจ๋อเหลือบมองที่เฉินซีราวกับว่าเขากำลังจ้องมองไปยังตัวตลก จากนั้นก็หัวเราะเยาะเย้ยก่อนที่จะวิ่งไปข้างหน้า

“อือ เราต้องรีบเดินทางต่อ” ซ่งหลินยังอยู่ในอาการง่วงนอนทว่าท่าวิ่งของเขากลับพลิ้วไหวราวกับลิงขี้เมา มันเหมือนจะช้าแต่กลับสามารถปิดระยะตามหลังกลุ่มไปได้อย่างอัศจรรย์

เมื่อเห็นเช่นนี้ เฉินซีก็ไม่กล้าล่าช้าและใช้เคล็ดวิชาแปดก้าวมังกรสวรรค์ซึ่งเขาเชี่ยวชาญถึงขั้นสูงแล้ว เพียงก้าวย่างครั้งเดียวร่างของเขาก็พุ่งไปไกลถึงสิบจั้งในชั่วพริบตา จุดแข็งของเคล็ดวิชาตัวเบานี้คือมันเรียบง่าย คล่องตัวและยังไม่ผลาญปราณแท้หรือพละกำลังมากเหมือนวิชาตัวเบาแบบอื่น

ท้องฟ้าของดินแดนเถื่อนใต้พิภพนั้นเป็นสีเทาอยู่เสมอ และเมื่อรวมกับฝุ่นดินที่ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศยามมีลมแรงพัดผ่าน ท้องฟ้าและทั่วทุกทิศจะถูกปกคลุมไปด้วยชั้นของหมอกฝุ่นที่ไม่อาจขจัดออกไปได้ จึงทำให้เดินหลงทางได้ง่าย

ทว่าโชคดีที่ตู้ชิงซีมีเข็มทิศสีเงินขนาดเล็กอยู่ในครอบครอง ดังนั้นทั้งสี่จึงสามารถมุ่งไปยังจุดหมายได้อย่างไม่คลาดเคลื่อน

การเดินทางที่เร่งรีบนั้นน่าเบื่อและไร้อรรถรสอย่างยิ่ง มีอสูรปีศาจโผล่มาให้ออกกำลังบ้างเป็นครั้งคราว แม้พวกมันจะไม่สามารถทำร้ายพวกเฉินซีได้ แต่ก็ยังส่งผลต่อการเดินทางของพวกเขา

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาใด ๆ เมื่อเจออสูรปีศาจ ทุกคนในกลุ่มจึงชักอาวุธเตรียมรอเอาไว้ตลอด

ตู้ชิงซีใช้กริชสั้นรูปทรงแปลกประหลาด ที่ท้ายด้ามจับเป็นใบมีดสองแฉกคล้ายส้อมเปล่งประกายสีเขียวสลัว และส่วนที่ตามปกติควรจะเป็นใบมีดหลักกลับมีรูปลักษณ์เป็นดอกบัวบานสีฟ้าเรือง จึงถูกเรียกว่า ‘กริชปทุมฟ้าประสาน’ ซึ่งเป็นศาสตราวิเศษระดับสูง

ส่วนต้วนมู่เจ๋อ มีอาวุธเป็นกระบี่ที่มีความยาวหนึ่งฉื่อและกว้างสองชุ่น ใบกระบี่เป็นประกายราวกับน้ำค้างฤดูใบไม้ร่วง มีอัญมณีสายรุ้งเจ็ดเม็ดประดับอยู่บนกระบี่ อัญมณีแต่ละเม็ดเป็นตัวแทนของดาวทั้งเจ็ด ซึ่งส่งให้กระบี่นี้ดูล้ำค่าและน่าหวาดเกรงอย่างยิ่งยวด ชื่อของมันคือ ‘กระบี่สายรุ้งเจ็ดดารา’ และเป็นศาสตราวิเศษระดับเดียวกับกริชปทุมฟ้าประสาน

สำหรับซ่งหลิน เขาถืออาวุธที่มีรูปลักษณ์เป็นร่ม โครงของร่มเป็นสีดำวาวและมีอักขระถูกสลักเอาไว้นับไม่ถ้วน พื้นผิวของร่มประกอบขึ้นด้วยตะขอแหลมคมหนึ่งพันแปดอันที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ร่มนี้เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย ชื่อของมันคือ ‘ร่มตาข่ายนภาพันตะขอ’ และแน่นอนว่ามันเป็นศาสตราวิเศษระดับสูงเช่นกัน

ยิ่งกว่านั้นเพื่อรับประกันว่าชีวิตของตนเองจะต้องปลอดภัย นอกจากอาวุธในมือแล้ว ทั้งสามคนยังสวมอุปกรณ์ป้องกันต่าง ๆ ที่ส่องประกายสะท้อนแสงเงางามเช่นเสื้อเกราะ เกราะไหล่ เกราะแขนและเข็มขัด… แม้แต่รองเท้ายังสร้างจากวัสดุชั้นสูงซึ่งน่าจะมีคุณสมบัติบางอย่างที่แฝงไว้

ของทั้งหมดนี้มันทำให้เฉินซีตื่นตาตื่นใจและเต็มไปด้วยความปรารถนา คงมีเพียงแต่สมาชิกตระกูลใหญ่เท่านั้นที่มีสิทธิ์ครอบครองอุปกรณ์ล้ำค่าเหล่านี้ คนธรรมดาไม่มีทางแม้แต่จะได้สัมผัสพวกมัน

เฉินซีถือกระบี่อยู่ในมือของเขา ใบกระบี่เล่มนี้มีสีฟ้าอ่อนและชื่อของมันคือ ‘กระบี่อัสนีคราม’ ซึ่งเป็นกระบี่ที่เขาขอให้เพ่ยเพ่ยช่วยซื้อมาให้ขณะที่ปิดด่านฝึกฝนในห้องอันเงียบสงบ เพื่อซื้อกระบี่เล่มนี้เขาจ่ายไปถึงสองพันผลึกวิญญาณเพื่อให้ได้มันมา หากไม่ใช่เพราะเขาฆ่าอสูรแรดอินทนิลสองหัว และได้รับผลึกวิญญาณสามพันก้อนมาอย่างไม่คาดคิด เขาก็คงไม่สามารถซื้อกระบี่อัสนีครามที่เป็นศาสตรามนุษย์ระดับสูงมาได้

ช่างแตกต่างกันซะเหลือเกิน!

อย่างไรก็ตาม เฉินซีก็พอใจแล้วที่สามารถครอบครองกระบี่อัสนีคราม ท้ายที่สุดทรัพยากรของเขาก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกับเหล่าคนที่มาจากตระกูลใหญ่ แทนที่จะอิจฉาริษยามันจะเป็นการดีกว่าหากเขาใช้เวลาคิดว่าในอนาคตจะทำอย่างไรเพื่อให้ได้ครอบครองสิ่งเหล่านี้บ้างด้วยความพยายามของตัวเอง

ตลอดทางเฉินซีแทบไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือต่อสู้เพราะอีกสามคนชิงสังหารเหล่าอสูรปีศาจที่ปรากฏออกมาเสียก่อน เขามีหน้าที่เพียงแค่วิ่งไปที่ศพของอสูรปีศาจเพื่อเก็บเอาไข่มุกปีศาจเท่านั้น ในเวลาอันสั้นเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เฉินซีก็เก็บไข่มุกปีศาจได้เป็นจำนวนสามร้อยเม็ด ซึ่งถือได้ว่าเป็นความมั่งคั่งที่เขาคาดไม่ถึง

‘สงสัยนักว่าไข่มุกปีศาจทั้งหมดนี้จะสามารถนำไปแลกเป็นศิลาวิญญาณได้เท่าไรกัน? ข้าเคยได้ยินมาว่ามีแต่คนที่นครหลวงธารสายไหมเท่านั้นที่รับซื้อมัน หากเป็นเช่นนั้นการนำมันไปขายในเมืองหมอกสนคงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก…’

เฉินซีคิดในใจ

นครหลวงธารสายไหมคือเมืองหลวงของอาณาจักรต้าซ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากดินแดนทางใต้ราวห้าแสนลี้ การจะเดินทางไปที่นั่นควรจะขี่พาหนะวิเศษไปหรือต้องบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลซะก่อนเพื่อสามารถบินไปด้วยตนเองได้ แต่ถึงจะเป็นการเดินทางด้วยการบินก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบถึงสิบห้าวัน

“เหตุใดเจ้าถึงคิดขายพวกมัน? จากที่ข้าเห็นไข่มุกเม็ดเล็ก ๆ เหล่านี้แฝงด้วยเศษเสี้ยวของปราณปีศาจยมโลกที่หายากมาก เมื่อใดที่การบ่มเพาะของเจ้าบรรลุถึงขอบเขตจุติ ไข่มุกเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าอย่างมากเมื่อถึงขั้นที่เจ้าต้องสร้างกงล้อสังสารวัฏของเจ้าเอง” เสียงของจี้อวี๋ดังขึ้นในใจของเฉินซีทำให้ร่างของเขาแข็งค้างไปครู่หนึ่ง

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสื่อสารกับจี้อวี๋ผ่านจิตวิญญาณ ดังนั้นเฉินซีจึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย “ท่านอ่านความคิดของข้าได้ด้วยอย่างนั้นหรือ?”

“ไม่ แต่ข้าเห็นเจ้าถือไข่มุกนั้นและยืนขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด มันง่ายที่จะเดา” จี้อวี๋ตอบ

เฉินซีเข้าใจทันทีและถอนหายใจด้วยความโล่งอก การถูกคนอื่นอ่านความคิดโดยที่ไม่สามารถป้องกันได้นั้นย่อมเป็นเรื่องที่เขาไม่ต้องการที่สุด

“จริงสิ ท่านบอกว่าไข่มุกนี้แฝงด้วยเศษเสี้ยวปราณปีศาจยมโลกอย่างนั้นหรือ?” หลังจากโล่งอกแล้วเฉินซีจึงนึกได้ว่าคำพูดของจี้อวี๋นั้นน่าสนใจ

มีปราณหลายประเภทในสวรรค์และโลก พวกมันถูกแบ่งออกเป็นสามระดับได้แก่ระดับสวรรค์ ระดับปฐพี และระดับมนุษย์

ในทุกระดับดังกล่าวยังถูกแยกย่อยออกเป็นสามขั้น ขั้นสูง ขั้นกลาง ขั้นต่ำ และแต่ละขั้นยังมีลำดับชั้นอีกเก้าขั้น

ทว่าปราณปีศาจยมโลกนั้นเป็นปราณระดับสวรรค์ แต่เรื่องที่ว่ามันอยู่ขั้นใดของระดับสวรรค์นั้นเฉินซีก็ไม่ทราบ เพราะก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สนใจที่จะอ่านข้อมูลเกี่ยวกับหมวดหมู่ชนิดปราณสักเท่าใด

แต่มีสิ่งหนึ่งที่เฉินซีกล้ายืนยัน หากมีใครล่วงรู้ว่าเขาครอบครองปราณปีศาจยมโลก เขาจะกลายเป็นเป้าหมายของความโลภจากผู้บ่มเพาะระดับสูงจำนวนนับไม่ถ้วน!

เหตุผลก็คือเมื่อผู้บ่มเพาะต้องการก้าวเข้าสู่ขอบเขตจุติ สิ่งจำเป็นที่ต้องทำก่อนก็คือต้องสร้างกงล้อสังสารวัฏภายในตันเถียนให้ได้ซะก่อน โดยในการสร้างนั้นจำเป็นต้องใช้มวลปราณจำนวนมหาศาลและจุดที่สำคัญที่สุดคือหากต้องการให้กงล้อสังสารวัฏที่สร้างขึ้นเลิศล้ำไร้ที่ติ ผู้บ่มเพาะก็ควรใช้ปราณระดับสวรรค์ขึ้นไปในการสร้างมันเท่านั้น!

เมื่อรู้เช่นนี้เฉินซีก็เริ่มตื่นเต้นเมื่อพบว่าตัวเองได้ครอบครองปราณระดับสวรรค์เอาไว้ในมือ

“ถูกต้อง แต่ในไข่มุกที่เจ้าเก็บมานั้นมีเพียงเศษเสี้ยวปราณปีศาจยมโลกแฝงอยู่ หากให้ข้าคำนวณไข่มุกหนึ่งหมื่นเม็ดก็น่าจะควบแน่นปราณปีศาจยมโลกได้เท่ากับผลส้มลูกหนึ่งไม่เกินกว่านั้น” จี้อวี๋ถอนหายใจและกล่าวว่า “ถ้าเจ้าคิดที่จะเก็บสะสมไข่มุกเหล่านี้ ข้าสามารถส่งต่อวิธีการสกัดปราณออกจากไข่มุกให้เจ้าได้”

แม้ว่าขอบเขตจุติจะเป็นเป้าหมายที่ห่างไกลมากสำหรับเฉินซี แต่การได้รวบรวมปราณปีศาจยมโลกในตอนนี้มันย่อมดีกว่าการใช้เวลาในอนาคตมารวบรวมมันในภายหลัง

ที่สำคัญที่สุดปราณปีศาจยมโลกเป็นปราณระดับสวรรค์ที่สามารถพบเจอได้ด้วยโชคเท่านั้น ดังนั้นเฉินซีจะพลาดโอกาสอันยิ่งใหญ่นี้ไปได้อย่างไร? ชายหนุ่มจึงตอบตกลงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

กิเลนเฒ่าพยักหน้าอย่างพึงพอใจก่อนจะถ่ายทอดวิธีการสกัดปราณออกจากไข่มุกให้แก่เฉินซี

เนื่องจากการค้นพบความลับของไข่มุกปีศาจว่ามันเป็นสิ่งที่แฝงด้วยปราณปีศาจยมโลก เฉินซีจึงตั้งใจเก็บไข่มุกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แน่นอนว่าการกระทำนี้ย่อมดึงดูดความสนใจและการดูหมิ่นจากต้วนมู่เจ๋อในทันที อีกฝ่ายไม่รีรอเลยที่จะถากถางชายหนุ่มด้วยคำหยาบคายต่าง ๆ นานา

เช่น ‘เด็กน้อยที่ไม่เคยเห็นโลก’ ‘ไอ้ตัวโลภไร้ยางอายที่ไม่รู้จักพอ’ ‘ตัวซวยหิวเงินอย่างคนบ้า’ เมื่อเทียบกับเฉินซีที่จดจ่ออยู่กับการเก็บรวบรวมไข่มุกปีศาจ ต้วนมู่เจ๋อกลับปฏิบัติตัวราวกับแม่ม่ายที่มีสิ่งต่าง ๆ ให้จู้จี้ได้ตลอดยกเว้นในตอนหลับ

ท้ายที่สุดตู้ชิงซีก็ไม่สามารถทนดูต่อไปได้อีกต่อไป ดังนั้นนางจึงถลึงตาใส่ต้วนมู่เจ๋อ ซึ่งมันได้ผลทำให้อีกฝ่ายหุบปากไปอย่างไม่เต็มใจ