บทที่ 39 หุบเขาอาบโลหิต

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 39 หุบเขาอาบโลหิต
บทที่ 39 หุบเขาอาบโลหิต

ดินแดนรกร้างใต้พิภพนั้นกว้างใหญ่ถึงเพียงไหนกัน?

หลังจากเดินมาเกือบสามชั่วยาม เฉินซียังคงรู้สึกราวกับว่าเขากำลังเดินอยู่ท่ามกลางสายหมอก นอกจากอสูรปีศาจที่กระโจนออกมาเป็นครั้งคราวแล้ว เขายังไม่พบเห็นสิ่งอื่นใดอีกเลย

การทดสอบครั้งนี้มีผู้คนมากกว่าหนึ่งหมื่นคนที่เข้ามาภายในดินแดนแห่งนี้ แต่จนถึงตอนนี้เฉินซียังไม่พบเห็นผู้ใดนอกจากตู้ชิงซี ต้วนมู่เจ๋อ และซ่งหลินที่อยู่เคียงข้างเขา

เห็นได้ชัดว่าทุกคนถูกส่งไปยังที่อื่นเมื่อเข้าสู่ดินแดนรกร้างใต้พิภพ

ตู้ชิงซีหยุดการเคลื่อนไหวในทันที จากนั้นนางก็แหงนมองขึ้นไปยังท้องฟ้า ก่อนที่จะดูแผนที่ในมือของนางและหันกลับมากล่าวว่า “หยุดพักสักครู่ เราจะออกจากพื้นที่นี้ในอีกหนึ่งก้านธูปและเข้าสู่หุบเขาอาบโลหิต”

“มีฝูงอสูรปีศาจอาละวาดอยู่ภายในหุบเขาอาบโลหิต ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเราไปถึงที่นั่น เราอาจต้องปะทะกับผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ เพื่อความอยู่รอดและไข่มุกปีศาจ หรือบางทีเพื่อเสาะหาที่พำนักของเซียนกระบี่ การแย่งชิงและการเข่นฆ่าที่แท้จริงจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้”

เสียงอันเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งของนางแฝงไปด้วยความจริงจังที่หาได้ยาก และยังเป็นสิ่งที่พบได้ไม่บ่อยจากตู้ชิงซี ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าหุบเขาอาบโลหิตนั้นอันตรายจนถึงขั้นที่ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจได้

“ถูกแล้ว จ่าฝูงอสูรปีศาจมักมาพร้อมกับฝูงอสูรปีศาจ ในบางครั้งจ่าฝูงอสูรปีศาจเหล่านี้มีระดับการบ่มเพาะเทียบเท่ากับขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นต้นซึ่งน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม จ่าฝูงอสูรปีศาจมักจะไม่ค่อยจู่โจมผู้คน แต่หากมีผู้ใดยั่วยุมันย่อมเป็นหายนะสำหรับพวกเราที่ลดระดับการบ่มเพาะของตนเองลงมาอยู่ที่ขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์” ต้วนมู่เจ๋อมีสีหน้าเคร่งเครียด ขณะนี้เขาไม่ได้พูดจาคุยโวอย่างไร้ยางอายและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเหมือนปกติอีก

เฉินซีซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิพลางนับจำนวนไข่มุกปีศาจ เริ่มสนใจคำพูดของคนอื่น ๆ เมื่อเห็นท่าทีตึงเครียดและจริงจังของทั้งคู่

ขอบเขตตำหนักอินทนิล? จ่าฝูงอสูรปีศาจ? การเข่นฆ่าที่แท้จริงกำลังจะมาถึง? หุบเขาอาบโลหิตน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ?

“ส่วนข้าคิดว่าสิ่งที่อันตรายที่สุดก็คือผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ” ซ่งหลินขยี้ตาที่ง่วงซึมขณะที่เขากล่าวขัดจังหวะ

‘เขากำลังพูดถึงซูเจียวและกลุ่มของนางใช่ไหม?’ เฉินซีครุ่นคิดในใจ

ตู้ชิงซีและต้วนมู่เจ๋อมองไปยังซ่งหลิน ทั้งคู่รู้ดีว่าแม้ชายผู้นี้แลดูคล้ายคนเกียจคร้านและเสพติดการนอนหลับ แต่แท้จริงแล้วความคิดอ่านกลับกระจ่างดั่งกระจกใส สิ่งไม่ชอบมาพากลรอบด้านไม่อาจรอดพ้นสายตาของเขาได้ การที่ชายคนนี้กล่าวมาเช่นนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาสังเกตเห็นถึงอะไรบางสิ่ง?

ซ่งหลินเหยียดแขนบิดขี้เกียจและกล่าวอย่างระอาใจ “อย่ามองข้าแบบนั้น เอาเป็นว่าข้ารู้สึกกระวนกระวายใจตั้งแต่ก่อนที่เราจะเข้าสู่ดินแดนรกร้างใต้พิภพ ราวกับมีศัตรูอันน่าสะพรึงกลัวที่เราไม่รู้จักซุกซ่อนอยู่ท่ามกลางผู้บ่มเพาะเหล่านั้น”

สีหน้าของตู้ชิงซีจริงจังหนักขึ้นยามเมื่อนางได้ยินเขากล่าวเช่นนี้

“ชิงซี เจ้าไม่ต้องกังวลเกินไป ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะน่าสะพรึงกลัวสักเพียงใด ตราบใดที่พวกมันเข้าสู่ดินแดนรกร้างใต้พิภพ ความแข็งแกร่งของพวกมันก็จะถูกจำกัดให้อยู่เพียงขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์เช่นเดียวกับเรา หากพวกเราสามคนร่วมมือกันก็จะสามารถจัดการกับปัญหาทุกสิ่งได้” ต้วนมู่เจ๋อปลอบด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน

ตู้ชิงซีไม่อาจยอมรับสิ่งนี้ จากนั้นนางก็หาที่ว่างเพื่อนั่งสมาธิก่อนจะหลับตาลงและไตร่ตรอง

จำนวนผู้เข้าร่วมการทดสอบที่มายังดินแดนรกร้างใต้พิภพครั้งนี้มากที่สุดก็คือ ผู้บ่มเพาะที่มาจากนอกเมืองหมอกสน จุดประสงค์ของคนเหล่านี้คงมาเพื่อแย่งชิงไข่มุกปีศาจให้ได้จำนวนมาก หรือบางทีเพื่อเสาะหาที่พำนักของเซียนกระบี่ และพวกเขาจะไม่มีวันหยุดไล่ล่าแน่

ทั้งหมดนี้ย่อมอยู่ในความคาดการณ์ของตู้ชิงซี แต่เมื่อนางได้ยินสิ่งที่ซ่งหลินกล่าวและระลึกได้ว่ายังมีผู้คนที่น่าสะพรึงกลัวซ่อนอยู่ท่ามกลางผู้บ่มเพาะเหล่านั้น นางจะกล้าละเลยได้อย่างไร?

ระดับการบ่มเพาะของซ่งหลินนั้นเท่าเทียมกับนาง แต่เคล็ดวิชาที่อีกฝ่ายบ่มเพาะนั้นดีกว่าของนางมาก จึงทำให้ชายหนุ่มรับรู้ได้ถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นั้นน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงใด จึงสามารถทำให้ซ่งหลินรู้สึกถึงภัยคุกคามได้?

‘ข้าไม่เคยคิดเลยว่าการทดสอบของดินแดนรกร้างใต้พิภพครั้งนี้จะเต็มไปด้วยความปั่นป่วนขนาดนี้ แค่กลุ่มของซูเจียวก็ปวดหัวพอแล้ว แต่ตอนนี้กลับมีผู้เยี่ยมยุทธ์ซ่อนกายอยู่อีกคน ข้าสงสัยว่าผู้ใดจะเป็นผู้ชนะในตอนท้ายที่สุด…?’

ตู้ชิงซีถอนหายใจเบา ๆ จิตใจอันมั่นคงของนางเริ่มสั่นไหว

“เจ้าฝันกลางวันถึงเรื่องใด? ไปทำอาหารซะ!”

ต้วนมู่เจ๋อจ้องมองที่เฉินซี ก่อนที่จะหันกลับไปยังที่ที่ตู้ชิงซีอยู่และกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ชิงซี เราเดินทางมานานมากแล้วข้าเดาว่าเจ้าคงจะเหนื่อย เจ้าต้องการกินอะไร ข้าจะได้ให้เจ้าเด็กนั่นทำอาหารให้เจ้ากิน”

เฉินซีเพิกเฉยต่อนายน้อยสกุลต้วนมู่และจ้องมองไปยังตู้ชิงซี

ตู้ชิงซีลืมตาและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสั่งว่า “ความคิดนี้ไม่เลว เฉินซี เจ้าทำอาหารตามที่เห็นสมควร”

ปราณวิญญาณที่อยู่ในดินแดนรกร้างใต้พิภพนั้นเหือดแห้งไปหมดแล้ว และถูกแทนที่ด้วยปราณปีศาจอันชั่วร้าย หากผู้ใดไม่มียาเม็ดหรือผลึกวิญญาณสำหรับเติมเต็มปราณแท้ ไม่ต้องพูดถึงการฆ่าอสูรปีศาจ แม้แต่การเอาชีวิตรอดก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก เหตุผลที่นางพาเฉินซีมาด้วยเป็นเพราะเขาสามารถปรุงอาหารที่แฝงไปด้วยปราณวิญญาณได้

“ข้าจะทำอาหารเพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้า และฟื้นฟูพลังกายให้ก็แล้วกัน” เฉินซีพยักหน้า

“ข้าก็อยากกินเช่นกัน!” ซ่งหลินตะโกนเสียงดัง เมื่อกล่าวถึงการกิน คนเกียจคร้านที่หลับตลอดเวลาผู้นี้แทบจะทำตัวเหมือนเป็นคนติดยาที่ใกล้จะลงแดง

“อย่าลืมทำส่วนของข้าด้วย แต่หากเจ้ากล้าเล่นตุกติก ข้าจะสั่งสอนบทเรียนให้เจ้าอย่างแน่นอน!” ต้วนมู่เจ๋อดูเหมือนจะระลึกบางสิ่งบางอย่างได้ เมื่อเขาเห็นเฉินซีนำวัตถุดิบบางอย่างออกมาและเริ่มเตรียมการปรุงอาหาร ดังนั้นเขาจึงเตือนด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

“เฮ้ ทำไมเจ้าถึงดุร้ายกับพ่อครัววิญญาณของเรานักฮึ? ต้วนมู่ ลองทบทวนดู หากเขาขุ่นเคืองจนใส่ยาพิษลงไปในชามของเจ้าจะทำอย่างไรเล่า? ฮ่า ๆ!” ซ่งหลินยิ้มกว้างขณะที่เขากล่าวหยอกล้อ

ต้วนมู่เจ๋อตกตะลึง ‘ใช่แล้ว ข้าดูถูกและด่าทอเขามาตลอด ถ้าเขาเก็บความเกลียดชังไว้ในใจ ก็เป็นไปได้จริง ๆ ที่เขาจะทำเช่นนั้น!’

“ไม่สิ ถ้าเจ้าตายเขาก็คงเดือดร้อนเพราะฉะนั้นเขาคงจะทำเพียงแค่ถ่มน้ำลายหรือใส่ฉี่ลงไปในชาม…” ซ่งหลินหยอกล้อหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ และยิ่งเขาพูดมากเท่าไร เขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น

น่ารังเกียจเกินไปแล้ว!

มุมปากของนายน้อยตระกูลต้วนมู่กระตุกอย่างรุนแรง จากนั้นเขาก็มองไปที่เฉินซีที่อยู่ห่างไกลออกไป แล้วก็ทำได้เพียงกัดฟันในขณะที่เขาตัดสินใจ ‘หากนายน้อยผู้นี้ได้รสชาติอาหารที่ผิดแปลกไปแม้แต่นิด ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างแน่นอน!’

เฉินซีหาได้ไร้สติและไม่ได้มีรสนิยมพิลึก ๆ เยี่ยงซ่งหลิน พวกเขากำลังจะเข้าสู่หุบเขาอาบโลหิต แม้ว่าเขาจะรังเกียจต้วนมู่เจ๋ออยู่บ้าง เขาก็ต้องตัดสินใจโดยยึดตามสถานการณ์

ต้วนมู่เจ๋ออยู่ในกลุ่มเดียวกับเขา แม้ว่าพวกเขาจะดูไม่ถูกกัน แต่ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องละทิ้งความขุ่นเคืองไปชั่วคราว เพื่อเตรียมเผชิญกับอันตรายที่ใกล้เข้ามา

ปลาส้มย่าง ผลโกสนทอดน้ำตื้น ลูกชิ้นปลาส้มทอด กุ้งตั๊กแตนผัดต้นหอมดิบ หมูตุ๋นในน้ำมันเห็ดมรกต… ใช้เวลาเพียงไม่นาน อาหารแต่ละจานก็ทยอยออกมาจากกระทะ

การได้รับประทานอาหารที่เปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณในดินแดนรกร้างใต้พิภพที่แห้งแล้งกันดารมันย่อมทำให้พวกเขารู้สึกอิ่มเอมอย่างไม่ต้องสงสัย

“ไม่คิดเลยว่าชิงซีจะเตรียมการมาอย่างละเอียดถี่ถ้วนขนาดนี้ แม้แต่ฉากกั้น โต๊ะและเก้าอี้ก็ถูกเตรียมมาอย่างเพียงพอ เมื่อนั่งอยู่ในที่นี้จะไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมและทราย มองไม่เห็นทิวทัศน์ที่มืดครึ้มและมัวหมอง ตาและจมูกเพลิดเพลินไปกับอาหารได้อย่างเต็มเปี่ยม เจ้าช่างรู้วิธีที่จะสนุกกับชีวิตอย่างแท้จริง” ต้วนมู่เจ๋อยกถ้วยสุราขนาดเล็กที่ทำจากหยกแกะสลักขึ้นจิบดื่มในอึกเดียว และถอนหายใจอย่างพึงพอใจ

“สนุก?” ดวงตาของตู้ชิงซีเผยความเศร้าโศกออกมา

“กินเถอะ กินเถอะ พวกเจ้าจะพูดคุยกันไปถึงไหน? หูววว สายไหมกล้วยมังกรนี้ช่างอร่อยจริง ๆ!” ซ่งหลินเป็นเหมือนวิญญาณหิวโหย มือของเขาขยับตะเกียบคีบอาหารเข้าปากอย่างรวดเร็วราวกับว่านี่คืออาหารมื้อสุดท้ายของเขาในชาตินี้

เฉินซีผลักฉากกั้นให้เปิดออกและก้าวเดินเข้าไป จากนั้นเขาก็วางหม้อซุปผลสมบัติอันหอมกรุ่นลง ก่อนจะหันหลังกลับและเดินจากไป

“ไม่อยู่กินข้าวกับเราหรือ?” ตู้ชิงซีเงยหน้าขึ้นและเอ่ยถาม

“ข้ากำลังย่างเนื้ออยู่ พวกท่านกินก่อนเถอะ” เฉินซีตอบโดยไม่หันหลังกลับ เขาไม่ต้องการนั่งร่วมโต๊ะเดียวกับต้วนมู่เจ๋อ

“ช่างเขาเถอะชิงซี เขาคงชอบที่จะใช้ชีวิตอยู่กลางแจ้ง ยิ่งกว่านั้นไม่มีเหตุผลใดให้ข้ารับใช้เยี่ยงเขามานั่งร่วมโต๊ะกับเรา”

ต้วนมู่เจ๋อรีบชิงกล่าว เมื่อเห็นตู้ชิงซียังคงต้องการจะกล่าวอะไรบางอย่าง

นางพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา “เขาเป็นพ่อครัววิญญาณ พวกเรามีความสัมพันธ์เป็นเพียงนายจ้างกับลูกจ้าง”

มุมปากของต้วนมู่เจ๋อขยับเล็กน้อยราวกับดูแคลนและกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “อ้อ อย่างนั้นหรือ”

เฉินซีไม่มีเวลาที่จะอิจฉาชีวิตที่หรูหราของพวกตู้ชิงซี เขานั่งลงบนพื้นที่ปกคลุมไปด้วยก้อนกรวดซึ่งอยู่ไกลออกไป ก่อนจะจัดการแทะขากวางย่างอย่างตะกละตะกลาม หลังจากที่เขาอิ่มท้องแล้ว ชายหนุ่มก็พุ่งไปยังพื้นที่ซึ่งปกคลุมไปด้วยหมอกฝุ่น

เขาต้องการรวบรวมไข่มุกปีศาจจำนวนมาก

แม้ตอนนี้เขาจะรวบรวมไข่มุกปีศาจได้เกือบสามพันเม็ดแล้ว แต่มันก็ยังห่างไกลจากคำว่าเพียงพอ ตามที่จี้อวี๋กล่าวไว้ เขาจะต้องสกัดปราณปีศาจยมโลกออกจากไข่มุกปีศาจอย่างน้อยหนึ่งหมื่นเม็ดจึงจะสามารถสร้างกงล้อสังสารวัฏได้

ไข่มุกปีศาจหนึ่งหมื่นเม็ดก็หมายความว่าเขาต้องฆ่าอสูรปีศาจถึงหนึ่งหมื่นตัว ซึ่งเป็นจำนวนที่อาจทำให้ใครบางคนรู้สึกว่าสิ้นหวัง ทว่าโอกาสที่จะเข้ามาที่นี่นั้นหาได้ยากยิ่ง และเฉินซีก็เข้าใจถึงจุดนี้ดี ดังนั้นเขาจะจากไปโดยไม่ได้รวบรวมปราณปีศาจยมโลกให้เพียงพอได้อย่างไร?

อย่างไรก็ตาม เมื่อเฉินซีพุ่งกายออกไปราวสามลี้ เสียงร้องโหยหวนก็ดังขึ้นในชั้นหมอกที่อยู่ห่างไกลออกไป

“หนีเร็วเข้า ฝูงอสูรปีศาจกำลังมา!” เสียงนั้นเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว และไม่นานนัก กลุ่มผู้บ่มเพาะจำนวนมากก็หนีออกมาจากหมอกฝุ่นด้วยความตื่นตระหนก ผมเผ้าของพวกเขายุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดวิ่นและเปื้อนเลือด พวกเขาอยู่ในสภาพที่น่าเวทนาอย่างยิ่ง

ฝูงอสูรปีศาจ? คนเหล่านี้ถูกจู่โจม?

เฉินซีหยุดเคลื่อนไหวและใช้ญาณตระหนักรู้แผ่ออกไปเพื่อตรวจสอบ

“หนีเร็ว! ฝูงอสูรปีศาจกำลังมา!” ภายใต้เสียงโหยหวน ผู้คนเหล่านั้นเข้ามาใกล้แล้วและเหตุที่คาดการณ์ไว้ก็เกิดขึ้น

เมื่อชายวัยกลางคนร่างใหญ่ที่เป็นผู้นำกำลังจะวิ่งผ่านหน้าเฉินซีไป ทันใดนั้นเขาก็บิดเอวและนิ้วของเขาก็กางออก หมายเข้าคว้าที่คอของเฉินซี!

เมื่อเห็นฉากนี้ สีหน้าของคนอื่น ๆ แปรเปลี่ยนจากหวาดกลัวเป็นชั่วร้ายขณะที่พวกเขาเคลื่อนตัวล้อมรอบเฉินซี

แท้จริงแล้วกลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้กำลังเผชิญกับภัยพิบัติใด พวกมันเป็นแค่กลุ่มโจรที่ฉลาดแกมโกงและเจ้าเล่ห์อย่างยิ่ง!

เฉินซียืนนิ่งอยู่ในที่นั้น ทำตัวราวกับว่าเขาตกใจจนทั้งร่างแข็งค้างจากเหตุการณ์ที่พลิกผันอย่างกะทันหัน

รอยยิ้มอำมหิตและพึงพอใจปรากฏบนใบหน้าที่เปื้อนเลือดของชายวัยกลางคนเมื่อเขาเห็นเฉินซีไม่กล้าขยับ

หืม? ไม่สิ นี่มันดูผิดปกติ…

ทันใดนั้น เมื่อดวงตาของชายวัยกลางคนร่างกำยำสบตากับดวงตาที่สงบเยือกเย็นของเฉินซี เขาก็รู้สึกได้ถึงความสยดสยองที่ไม่อาจอธิบายได้ และทั้งร่างกายก็รู้สึกหนาวเย็น!