“ร้านเราเพิ่งได้เนื้อกวางสดๆมาเมื่อวาน คุณลูกค้ามาได้จังหวะพอดีเลยค่ะ” พนักงานพูดกับครอบครัวนั้น
“นี่มันอะไรกัน ทำไมแพงขนาดนี้” สาวตาโปนบ่น
พนักงานยิ้มแห้งใส่
“ยังไงก็ไม่ใช่แกจ่ายเงิน เดี๋ยวแฟนพี่ชายแกมาจ่าย—เขาเขียนมาเยอะขนาดนี้เลยเหรอ” หญิงสูงวัยถามสาวตาโปน
“คุณผู้หญิงคะ ร้านเราทำอาหารจานใหญ่ คุณลูกค้ามากันสามท่านสั่งประมาณนี้กำลังดีค่ะ”
“ทำไมพูดมากแบบนี้ พนักงานเมืองเล็กๆไม่มีมารยาทเลยจริงๆ” หญิงสูงวัยถลึงตาใส่พนักงานแล้วปิดเมนู
“อันแพงๆน่ะเพิ่มเป็นสองจาน เร็วๆด้วย”
“รอสักครู่นะคะ”
สุ่ยเซียนทำปากถามเสี่ยวเชี่ยน ญาติเธอเหรอ
เสี่ยวเชี่ยนเอียงคอเล็กน้อย เธอยังไม่มี ‘วาสนา’ ขนาดจะได้เป็นญาติกับคนที่มารยาทน่าประทับใจแบบนี้หรอก
สุ่ยเซียนมองอย่างสงสัย โต๊ะพวกเธอสั่งอะไร โต๊ะนั้นก็สั่งแบบเดียวกัน นี่มันเรื่องบังเอิญหรืออะไร ถ้าจะบอกว่าเมนูเด็ดของทางร้านมีไม่กี่อย่างนี้ โอกาสที่จะสั่งซ้ำกันเลยมีมากล่ะก็ งั้นคำพูดตอนหลังล่ะ เนื้อกวางหลิวเหมยเพิ่งโทรมาบอกเสี่ยวเชี่ยนให้สั่งตอนที่เพิ่งมานั่งเลยด้วยซ้ำ บังเอิญขนาดนั้นเลย
เสี่ยวเชี่ยนเบ้ปาก อาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ครอบครัวสามคนนั้นเป็นใคร เสี่ยวเชี่ยนพอจะเข้าใจแล้ว
หลิวเหมยเป็นผู้หญิงที่จริงใจ ถ้าเธอคิดว่าอะไรดีก็จะแบ่งปันให้คนอื่นอย่างเต็มใจ
“ผู้หญิงคนนั้นทำไมยังไม่มาอีก”
“เพิ่งโทรมาบอกว่าไปดูทำเลอยู่ยังมาไม่ได้ แต่หนูว่านะ เขาไม่ได้ชอบพี่หรอก เขาไม่มารับพวกเรายังไม่เท่าไร แต่ทำไมพี่ถึงไม่มารับล่ะ” เสียงของสาวตาโปนดังลอยมา
“พี่แกนั่งเครื่องบินทหารมา ดูเหมือนจะไม่ให้ไปไหน พี่แกนี่อนาคตไกลจริงๆ ได้ย้ายจากบ้านนอกเข้ามาอยู่หน่วยในเมือง เป็นเกียรติกับวงศ์ตระกูลจริงๆ ได้ยินว่ามีหน่วยที่เก่งมากๆด้วย คนทั่วไปเข้าไปดูยังไม่ได้เลย”
เสี่ยวเชี่ยนก้มหน้า หลิวเหมยบอกแค่ว่าครอบครัวแฟนจะมา แต่ไม่ได้บอกว่าแฟนจะมาด้วย
แล้วมารยาทของครอบครัวนี้…สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นจริงๆ เหมือนกับที่เสี่ยวเชี่ยนคิดไว้ มีแต่จะเกินไม่มีขาด
สุ่ยเซียนเห็นเสี่ยวเชี่ยนเงียบ ถึงจะไม่รู้สาเหตุ แต่ก็เงียบตามด้วย ไม่รบกวนเสี่ยวเชี่ยนที่กำลังใช้ความคิด นี่คือความรู้ใจกันของพวกเธอ
อาเหม็ดที่เตรียมจะดับเครื่องชนไม่รู้ทำไมอยู่ๆบรรยากาศก็เข้าสู่ความเงียบสงบ เขาไม่ค่อยโอเคเท่าไรที่ตัวเองถูกมองข้าม ครั้นแล้วจึงแอบตัดสินใจเงียบๆว่า จะปล่อยให้ผู้หญิงสองคนนี้โดยเฉพาะเฉินเสี่ยวเชี่ยนปั่นหัวต่อไปไม่ได้แล้ว เขารวบรวมความกล้าแล้วพูดออกไป
“คุณหนูครับ ไม่สิ สุ่ยเซียน จริงๆแล้วผมมีเรื่องที่อยากบอกคุณมาตลอด ตัวตนของผมที่แท้จริงคือ ผมมาจากตะวันออกกลาง—”
“เป็นผู้หญิงน่ะแต่งงานมีลูกก็พอแล้ว จะทำธุรกิจทำไม ฉันน่ะกะแล้วเชียวว่ามันต้องร้าย”เสียงแหลมๆของหญิงสูงวัยดังมาจากโต๊ะข้างๆ ขัดจังหวะคำพูดของอาเหม็ด
เสี่ยวเชี่ยนเลิ่กคิ้ว หันไปมองโต๊ะข้างๆที่ถูกกั้นด้วยต้นไม้ด้วยสายตาเหยียดๆ คำพูดพวกนี้ฟังไม่เข้าหูเลยนะ
อาเหม็ดเซ็งมาก เขาคิดว่าการเปิดเผยตัวตนของตัวเองจะทำให้สุ่ยเซียนกับเสี่ยวเชี่ยนตกใจ แต่เสียงมนุษย์ป้าโต๊ะข้างๆกลับขัดจังหวะ ความรู้สึกนี้มันแย่มาก
ครั้นแล้วเขาจึงพูดให้ดังขึ้น
“ผมบอกว่าผมมาจากตระกูลคาร์เตอร์แห่งตะวันออกกลาง”
“ใช่ไหมล่ะ ไม่ใช่แค่ร้ายนะ ยังไม่เห็นพวกเราในสายตาด้วย พวกเรามาถึงก็ไม่มารับ แม่กับพ่อแก่ขนาดนี้แล้วยังต้องเรียกรถมาที่ร้านอาหารเอง ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ พี่ไม่น่าหาคนแบบนี้เลย” สาวตาโปนบ่นด้วย เสียงดังกว่าแม่ตัวเองอีก
กลบคำพูดของอาเหม็ดจนหมด สุ่ยเซียนได้ยินแต่อาเหม็ดพูดว่ามาจากตะวันออกกลางอะไรประมาณนี้ จากนั้นก็ได้ยินแต่เสียงผู้หญิงโต๊ะข้างๆ
หรือครอบครัวนี้จะเคยฝึกการคำรามแบบสิงโต พูดคุยเสียงดังในที่สาธารณะแบบนี้รบกวนคนอื่นมาก
“ไม่ควรให้พี่แกคบกับผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่แรก”
“ผมมาจากตะวันออกกลาง”
อาเหม็ดหมดหวังแล้ว เสียงของเขาถูกกลบอีกแล้ว อยากจะหาอะไรอุดปากคนโต๊ะข้างๆจริง
แต่ความบันเทิงยังไม่หมดแค่นี้ เสี่ยวเชี่ยนตบโต๊ะลุกขึ้นยืนอย่างเอาเรื่อง
พอเห็นเสี่ยวเชี่ยนยืนขึ้นอาเหม็ดก็แอบสะใจ ผู้หญิงคนนี้ทนโต๊ะข้างๆไม่ไหวแล้วใช่ไหมล่ะ
ไปลุยเลย จอมปีศาจ
อาเหม็ดตะโกนในใจแบบนั้น ในสายตาของเขา เสี่ยวเชี่ยนไม่ต่างอะไรกับปีศาจ
แต่การที่เสี่ยวเชี่ยนยืนขึ้น เธอไม่ได้จะไปห้ามครอบครัวนั้นที่คุยกันเสียงดังจนกลบเสียงของอาเหม็ด เธอหันไปพูดกับอาเหม็ดด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
“หุบปาก”
วะ…โวะ
เงามืดก่อตัวขึ้นในใจของอาเหม็ดชนิดที่ยากจะประเมินได้ว่ามีมากแค่ไหน
เดิมเขาคิดว่าถ้าบอกตัวตนที่แท้จริงออกไปจะทำให้สุ่ยเซียนกับเสี่ยวเชี่ยนตกใจจนอ้าปากค้าง จากนั้นก็มองเขาอย่างเลื่อมใส แล้วภาพลักษณ์ของเขาที่เสียไปก่อนหน้านี้โดยฝีมือเสี่ยวเชี่ยนก็จะดีขึ้น
แต่ไม่นึกเลยว่า…เสี่ยวเชี่ยนจะบอกให้เขาหุบปาก
“ผมบอกว่าผมมาจากตระกูลคาร์เตอร์” สีหน้าตกใจที่ควรได้ไม่ปรากฏ การต้องเน้นย้ำถึงสถานะของตัวเองหลายๆครั้งไม่เหมือนกับที่อาเหม็ดจินตนาการไว้ กลับทำให้ดูอ่อนแอกว่าที่ควรเป็น
“อยากจะเป็นตระกูลไหนก็เป็นไป ตอนนี้นายยังไม่ได้ลาออก สถานะของนายก็คือบอดี้การ์ดของสุ่ยเซียน ทำตัวให้สมกับเป็นบอดี้การ์ดหน่อย ไปยืนข้างๆนู่นแล้วหุบปาก อย่ามาทำฉันเสียเวลา”
เสี่ยวเชี่ยนทำมือไล่ด้วยความรำคาญ อาเหม็ดทำปากป่องหน้ามุ่ยถอยกลับไปยืนข้างหลังสุ่ยเซียน ในใจแอบงง อดคิดไม่ได้ถึงปัญหาที่ร้ายแรง
หรือว่าสองคนนี้จะไม่รู้จักตระกูลคาร์เตอร์
เป็นไปไม่ได้มั้ง…
ทหารคนที่มารับเฉินเสี่ยวเชี่ยนวันนั้นยศก็ไม่ใช่เล็กๆ พวกทหารน่าจะเคยได้ยินเรื่องครอบครัวของเขาบ้างสิ ต่อให้ทางทหารมีการเก็บรักษาความลับ แต่เฉินเสี่ยวเชี่ยนเป็นถึงที่ปรึกษาของตระกูลทังก็น่าจะพอรู้เกี่ยวกับตระกูลดังระดับโลกอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นจะมาเป็นที่ปรึกษาได้ยังไง
ต่อให้เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้ สุ่ยเซียนก็น่าจะรู้ แล้วทำไมสุ่ยเซียนถึงไม่แสดงท่าทีอะไรเลย
ไหนล่ะสีหน้าตกใจ
อาเหม็ดรู้สึกว่าพวกนิทานหลอกลวงทั้งนั้น เซ้นส์เรื่องสาวๆที่ไม่เคยพลาดของเขาใช้กับสองคนนี้ไม่ได้ผล เขาสงสัยในชีวิตอย่างหนัก
อันที่จริงสุ่ยเซียนรู้จัก ตอนที่คำว่าคาร์เตอร์ออกจากปากอาเหม็ดเธอได้ก้มหน้าเพื่อปิดบังแววตาที่แสดงอาการตกใจของตัวเอง
ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนบอกเธอเป็นนัยๆเรื่อง ‘บอดี้การ์ดของชเรอดิงเงอร์’ สุ่ยเซียนก็พอจะเข้าใจอะไรบ้างแล้ว พอจะเดาได้ว่าประวัติของบอดี้การ์ดคนนี้คงไม่ธรรมดา แต่พอได้ยินจากปากก็ยังอดตกใจไม่ได้
เพียงแต่ในฐานะที่เป็นทายาทของตระกูลดัง สุ่ยเซียนรู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเอง การที่เสี่ยวเชี่ยนนั่งนิ่งก็เพื่อเตือนเธอว่าให้เก็บอาการ ดังนั้นสุ่ยเซียนจึงนั่งนิ่งๆ กินข้าวไปพลางคีบอาหารให้เสี่ยวเชี่ยน
ผู้หญิงสองคนนี้ใช้ความนิ่งตบหน้าอาเหม็ดอย่างแรง อาเหม็ดยังไม่ยอมแพ้จึงพูดเสริม
“พวกคุณไม่เชื่อเหรอครับ ผมเอาพาสปอร์ตตัวจริงของผมให้ดูได้นะครับ ก่อนหน้านี้เป็นของปลอม—”
“ถ้านายยังกล้าขัดจังหวะฉันอีกล่ะก็ เชื่อไหมว่าฉันจะเอาเรื่องพาสปอร์ตปลอมของนายแฉออกไป แล้วจะส่งตัวนายให้ทางการ ฉันไม่สนหรอกว่าครอบครัวนายจะขายอาวุธสงครามหรือทำธุรกิจอะไร แต่ประเทศนี้มีกฎหมาย ทุกคนต้องทำตามโดยไม่มีข้อยกเว้น แม้แต่เก็บเงินได้หยวนเดียวก็ต้องเอาเข้าหลวง ถ้าไม่อยากถูกจับก็เก็บจู๋ไป”