“หา จับได้แล้วเหรอ จับได้ยังไงอะ” สุ่ยเซียนสงสัยเรื่องนี้
“คือแบบคนบางคนอะนะ คิดว่าตัวเองฉลาดกว่าคนอื่น คิดว่าหลอกคนอื่นได้ แต่พอเจอคนที่ฉลาดกว่ากลับถูกเล่นงานซะเอง”
โวะ เฉินเสี่ยวเชี่ยนจงใจ จงใจ จงใจ…เหรอ ภูตตัวน้อยที่อยู่ในใจอาเหม็ดเริ่มพ่นไฟโกรธแล้ว
“ฟังดูเหมือนจะมีเรื่องราว” สุ่ยเซียนรับมุก
อาเหม็ดตะโกนในใจ สุ่ยเซียนก็รู้เรื่องเหรอ รู้ด้วยเหรอ…รู้เหรอๆ
ผู้หญิงสองคนนี้โหดร้ายมาก…แค่ผู้หญิงสองคน แต่กลับทำเรื่องได้มากมายขนาดนี้ อาเหม็ดแน่ใจเรื่องบทสนทนาทางโทรศัพท์ของสุ่ยเซียนกับชีวิตประจำวันของเธอว่าอยู่ในการควบคุมของเขา เธอไม่ได้มีลับลมคมในกับเฉินเสี่ยวเชี่ยนเป็นพิเศษ ดังนั้นสุ่ยเซียนจึงยังไม่น่ารู้เรื่องนี้ รวมถึงบทสนทนาระหว่างสุ่ยเซียนกับพ่อ เขาก็แอบฟังมาหมด ก็ไม่มีอะไรผิดปกตินี่นา
งั้นทำไมผู้หญิงสองคนนี้ถึงรับมุกกันดีจังล่ะ พูดจาฟังดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าคิดดูดีๆคำพูดเหมือนแฝงความนัยบางอย่าง
เสี่ยวเชี่ยนกับสุ่ยเซียนส่งสายตาซุกซนใส่กัน พี่น้องแค่มองตาก็รู้ใจ แค่พูดว่า ‘บอดี้การ์ดของชเรอดิงเงอร์’ แค่นี้ก็เพียงพอที่สมองอันชาญฉลาดของสุ่ยเซียนจะเข้าใจ
ก่อนที่สุ่ยเซียนจะมาเจอเสี่ยวเชี่ยนเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยไปหลายครั้ง แต่นั่นไม่ใช่เพราะเธอโง่ แต่เป็นเพราะเธอเป็นโรคเบื่ออาหารซึ่งเป็นโรคจิตเวช ทำตัวต่อต้านพ่อตัวเอง ถึงได้ทำอะไรแบบนั้น หลังจากได้เจอกับเสี่ยวเชี่ยนแล้ว เสี่ยวเชี่ยนไม่เพียงแต่จะรักษาอาการของเธอจนหายดี ยังได้ซ่อมแซมความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกนี้ด้วย พอสุ่ยเซียนกลับมาเป็นปกติก็สอบได้ผลคะแนนเป็นที่น่าพอใจ ยิ่งไปกว่านั้นฝีมือการเล่นหมากล้อมของเธอก็ไม่ด้อยไปกว่าอวี๋หมิงหลาง สมองแบบนี้ถ้าจะบอกว่าโง่ก็คงไม่มีใครฉลาดแล้ว
“พูดแบบบ้านๆหน่อยก็คือทำเป็นเก่งสุดท้ายก็เจอคนเก่งกว่า” เสี่ยวเชี่ยนหันไปมองอาเหม็ด อาเหม็ดถึงกับยืนเกร็งทำตัวไม่ถูกแล้ว
เป็นผู้หญิงทำตัวฉลาดเกินไปแบบนี้จะดีเหรอ
เสี่ยวเชี่ยนกับสุ่ยเซียนพอแกล้งอาเหม็ดจนพอใจแล้วก็วกกลับเข้าเรื่อง
“ผู้ชายคนนั้นช่วงนี้มีเรื่องให้สะเทือนใจ ถูกหัวหน้าที่เป็นผู้หญิงดูถูกในที่ทำงาน เขาไม่พอใจก็เลยปิดหน้าไปดักข่มขืนหลังเลิกงาน พอพบว่าหัวหน้าไม่แจ้งความก็เริ่มหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้จนถลำลึก เลือกลงมือแต่กับผู้หญิงมีอายุ ผู้หญิงพวกนี้มีจุดที่เหมือนกันก็คือแต่งตัวค่อนข้างดี ดูเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน กลับบ้านดึก การได้รังแกผู้หญิงพวกนี้ทำให้เขารู้สึกภูมิใจมาก”
ก็เหมือนกับผู้หญิงอย่างผู้อำนวยการที่จะถูกจับจ้องเป็นเหยื่อ คนร้ายพอทำสำเร็จก็พบว่าผู้หญิงพวกนี้ส่วนใหญ่มีหน้าที่การงานและครอบครัวที่ค่อนข้างดี ไม่มีทางแจ้งตำรวจ แต่ฟ้าย่อมมีตา จะไม่ถูกสืบเจอได้อย่างไร
สุ่ยเซียนฟังแล้วก็อึ้ง
“ไม่ใช่แค่น่าขยะแขยงนะ ยังวิปริตด้วย”
เลือกลงมือเฉพาะกับคนรุ่นแม่ นี่มันรสนิยมแบบไหนกันเนี่ย
“เชี่ยนเอ๋อ เธอว่าคนๆนี้มีจิตใจแบบไหนเหรอ”
“ซิกมันด์ ฟรอยด์ผู้นำทฤษฎีจิตวิเคราะห์คิดว่าแรงจูงใจพฤติกรรมของคนๆหนึ่งตั้งแต่เกิดจนแก่ล้วนมีเรื่องเพศมาเกี่ยวข้อง ล้วนได้รับแรงกระตุ้นตามสัญชาตญาณทางเพศ เธอจะเข้าใจว่าความสุขทางด้านจิตใจของนักโทษข่มขืนพวกนี้สำคัญกว่าความเป็นจริงก็ได้ ถึงแม้แรงจูงในการกระทำผิดของแต่ละคนจะแตกต่างกัน แต่ถ้าไล่เรียงดีๆวัยเด็กของพวกเขาแทบจะมีจุดที่คล้ายกัน แม่ของพวกเขามีสถานะที่ต่ำต้อยในบ้าน ในความคิดของพวกเขาผู้หญิงผิดเสมอ”
เสี่ยวเชี่ยนเหลือบมองอาเหม็ด ตอนนี้อาเหม็ดไม่กล้ามองเสี่ยวเชี่ยนตรงๆแล้ว สายตาของผู้หญิงพวกนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเครื่องฉายรังสีXเสียอีก
“ในประสบการณ์วัยเด็กของคนพวกนี้ คนรุ่นพ่อของพวกเขาไม่ให้เกียรติผู้หญิง หรือถึงขนาดที่ว่ามีการใช้ความรุนแรงภายในครอบครัว ทำให้คนพวกนี้ชอบดูถูกผู้หญิง คิดว่าผู้ชายมีสถานะที่สูงกว่าเสมอ พอโตขึ้นมีเรื่องไม่พอใจก็จะไประบายอารมณ์กับผู้หญิง บางคนก็เอาอย่างมาจากในหนัง บางคนมีความรู้การศึกษาดีด้วยซ้ำ”
จะว่าไปอวี๋หมิงหลางก็ชอบดูเหมือนกันไม่ใช่เหรอ เสี่ยวเชี่ยนจำได้ว่าเขายังเคยวิจารณ์ของพวกฝรั่งให้ฟังเลย
อาเหม็ดกระวนกระวายใจ แต่ละคำพูดมันช่างเสียดแทงใจนี่กำลังพูดถึงเขากันอยู่เหรอ
“แต่ไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะเหมาะเป็นที่รองมือรองเท้าให้หรอกนะ คิดจะใช้ผู้หญิงเป็นตัวเบิกทางก็ต้องใช้สมองคิดหน่อยว่าผู้หญิงคนนี้ใช่คนที่จะเล่นด้วยหรือเปล่า เห็นด้วยกับฉันไหมคะอาเหม็ด”
อาเหม็ดทนไม่ไหวแล้ว เฉินเสี่ยวเชี่ยนทรมานเขาเหมือนแมวจับหนู ทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวน เล่นเอาเขาคิดว่าทุกคำพูดของเสี่ยวเชี่ยนในตอนนี้คือจงใจพูดถึงเขา
อาเหม็ดคิดว่าจะทนฟังต่อไปไม่ได้แล้ว เมื่อเทียบกับปล่อยให้เฉินเสี่ยวเชี่ยนปั่นหัวเขาไปเรื่อยๆแบบนี้ ไม่สู้ตัวเองชิงตัดบทไปเลย
“คุณหนูครับ ผมมีเรื่องจะพูดด้วยครับ” อาเหม็ดมองเสี่ยวเชี่ยนอย่างท้าทาย เตรียมงัดไพ่ใบสุดท้ายชี้ชะตากันไปเลย ดูซิว่าเสี่ยวเชี่ยนยังจะทำตัวได้ใจอีกไหม
เสี่ยวเชี่ยนมองหน้าอาเหม็ด แอบขำในใจแทบตาย
เหล้ายิ่งหลายปียิ่งหอม ผู้ชายก็เช่นกัน
ถ้าเป็นอาเหม็ดอีกในสิบกว่าปีให้หลัง ก็ไม่แน่ว่าเสี่ยวเชี่ยนจะปั่นหัวเขาแบบนี้ได้ แต่นี่มาเจอกันเร็วไปสิบกว่าปี ขาดประสบการณ์และการตกผลึกทางความคิด อาเหม็ดในตอนนี้ไม่มีทางเอาชนะเสี่ยวเชี่ยนได้
เสี่ยวเชี่ยนมองอาเหม็ดที่ทนเก็บความลับไม่ไหวอีกต่อไป เธอกับสุ่ยเซียนทำหน้าเหมือนกำลังรอดูเรื่องสนุก มาเลยน้องชาย เอาให้เต็มที่~
“จริงๆแล้วผมคือ—”
ขณะที่อาเหม็ดกำลังจะปรับกลยุทธ์ใหม่อยู่นั้น พนักงานก็พาลูกค้าเข้ามาพอดี อาเหม็ดจึงต้องหยุดพฤติกรรมบุ่มบ่ามที่จะเปิดเผยตัวตน มองเสี่ยวเชี่ยนอย่างไม่ยอมแพ้ สาวๆ รอก่อนเถอะ หึ
เสี่ยวเชี่ยนหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบด้วยท่าทางที่สง่า กลัวที่ไหน เอาเด้
สุ่ยเซียนมองทั้งสองคน พอเห็นท่าทางของอาเหม็ดกับเสี่ยวเชี่ยนแล้วก็นึกขำในใจ
เกมนี้จะเข้าสู่ช่วงต่อไปแล้วเหรอ คนที่เป็นศัตรูกับเสี่ยวเชี่ยน จนถึงตอนนี้เธอยังไม่เคยเห็นคนไหนมีจุดจบที่ดีเลยสักคน
“เชิญทางนี้ค่ะคุณลูกค้า” พนักงานพาลูกค้าที่เพิ่งเข้าร้านมาไปยังโต๊ะข้างๆเสี่ยวเชี่ยน ระหว่างโต๊ะทั้งสองมีต้นไม้วางกั้นอยู่ สมารถมองทะลุช่องว่างระหว่างใบไม้ไปยังอีกด้าน เป็นครอบครัวที่มีสามคน ชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งหรือจะเรียกว่าวัยชราก็ได้ อย่างไรเสียก็ดูเป็นคู่สามีภรรยาที่แก่แล้ว มากับผู้หญิงวัยรุ่นที่หน้าตาธรรมดาๆ
ร้านอาหารร้านนี้ไม่ใหญ่มาก แต่ลูกค้าก็มาเรื่อยๆ ที่เสี่ยวเชี่ยนมากินที่นี่ก็เพราะหลิวเหมยแนะนำมาบอกว่าผัดปลาหมึกของที่นี่ไร้เทียมทาน ถึงจะเลี่ยงเวลากินอาหารของคนทั่วไปแล้ว แต่ในร้านคนก็ยังเยอะ เสี่ยวเชี่ยนกับสุ่ยเซียนนั่งอยู่ที่โต๊ะมุม ค่อนข้างเงียบ
การมาของครอบครัวนี้ได้ทำลายความสงบ
“ไหนบอกว่าจะหาที่เงียบๆให้ไง จัดห้องส่วนตัวให้ฉันเดี๋ยวนี้” คนพูดคือหญิงสาววัยรุ่น ใบหน้ากลมๆ ตาโปนๆ แต่งตัวค่อนข้างเชย พูดจาเสียงแข็ง
“ขอโทษด้วยค่ะคุณผู้หญิง ร้านเราไม่มีห้องส่วนตัวค่ะ” พนักงานตอบอย่างมีมารยาท ร้านนี้ตกแต่งอย่างประณีต เอาใจใส่เรื่องอรรถรสในการกินของลูกค้าทุกโต๊ะ ไม่มีการกั้นห้องส่วนตัว
“อะไรนะ ผู้หญิงคนนั้นเลือกร้านอะไรเนี่ย” ผู้หญิงตาโปนโวยวาย แม่ของเธอเอากระดาษทิชชู่เช็ดโต๊ะ แสดงให้เห็นว่าครอบครัวนี้ค่อนข้างเรื่องมาก
เดิมสุ่ยเซียนกับเสี่ยวเชี่ยนกำลังรออาเหม็ดเปิดเผยตัวตน แต่เสียงพูดของครอบครัวนี้ดังเหลือเกิน ว่าที่บอสใหญ่ทั้งสองอดไม่ได้ที่จะหันไปมองทางนั้น
“ผัดปลาหมึก ลูกชิ้นกุ้ง กุ้งมังกรน้อยป้ายทอง โจ๊กไก่ยวนยาง เนื้อกระต่ายอบ— เนื้อกระต่ายเปลี่ยนเป็นเนื้อกวางแทน” หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วอ่านเมนูในข้อความ
เธออ่านมาหนึ่งเมนู สุ่ยเซียนก็มองที่โต๊ะตัวเอง โวะ เหมือนเปี๊ยบ