ตอนที่ 82 เงา!

“ขอโทษจริงๆ นะครับ รบกวนเวลารวมญาติของพวกคุณ ผมแค่มาทำธุระของผมเท่านั้น จากนั้นพวกคุณเชิญตามสบาย”

พูดจบ โจวเจ๋อจึงลงจากรถพยาบาล เดินไปอยู่ตรงหน้าศพของเฉินเจ๋อเซิง ยื่นมือแตะที่ไหล่ของเขาเบาๆแล้ววงกลมสีดำก็ลอยออกมา รวมกันกลายเป็นเงาของเฉินเจ๋อเซิง

โจวเจ๋อสามารถเห็นเงานี้ได้คนเดียว คนทั่วไปมองไม่เห็น

“ยังแต่งงานไม่เสร็จเลย” เฉินเจ๋อเซิงพูดกับโจวเจ๋อ ตัวเขามีท่าทางสงบและผ่อนคลาย ดูเหมือนเขาจะไม่ตกใจกับการที่จะถูกโจวเจ๋อจับตัวไปเลยสักนิด

“ภรรยาของคุณรออยู่ข้างล่างแล้ว”

พูดจบ โจวเจ๋อก็ใช้แรงจับเขาไว้ จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอก

“คุณหยุดเดี๋ยวนี้!”

พี่ชายไม่ต่อต้านอะไร แต่น้องชายเวลานี้รวบรวมความกล้าชี้นิ้วตวาดใส่โจวเจ๋อ

“คุณจะทำอะไรของคุณกันแน่!”

“สิ่งที่ผมควรจะทำจัดการเรียบร้อยแล้ว ส่วนพวกคุณเชิญตามสบาย”

พูดจบ โจวเจ๋อได้แต่มองบาทหลวงที่ยืนอยู่ข้างๆ ผู้หญิงสามคนหนึ่งที แล้วยิ้มให้เขา

บาทหลวงก็ยิ้มให้โจวเจ๋อ และยิ่งก้มหน้าต่ำลง

โจวเจ๋อจำได้ว่าสาวน้อยโลลิเคยชมตัวเองว่า รู้จักกาลเทศะ

ตอนนี้ดูแล้ว บาทหลวงคนนี้เหมือนจะรู้จักกาลเทศะมากกว่าตัวเอง

โจวเจ๋อไม่พูดอะไรให้มากความ จากนั้นจึงหมุนตัวเดินออกไป น้องชายคนนั้นยังคงชี้โจวเจ๋ออยู่ แต่เขาไม่กล้าไล่ตาม เพราะเขาเข้าใจเรื่องหนึ่งเป็นอย่างดี รถพยาบาลเขาเป็นคนเข็นออกมาจากตู้แช่แข็งด้วยตัวเอง ซึ่งหมายความว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคนนี้นอนอยู่ในตู้แช่แข็งเป็นเวลานานมาก

เขารู้สึกว่าโลกนี้ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ บ้าไปแล้วจริงๆ

โจวเจ๋อจับตัวเฉินเจ๋อเฉิงเดินมาตลอดทาง เดินมาถึงข้างถนนที่มีดอกโหยวไช่ บานสะพรั่งอยู่ทั้งสองข้างทาง

เฉินเจ๋อเซิงเริ่มพูด “ท่านครับ ผมมาเพื่อให้ท่านช่วย”

“แล้วเมื่อครู่ทำไมคุณไม่พูด” โจวเจ๋อถาม

“เพราะผมพบว่าท่านดูเหมือนไม่อยากช่วยเท่าไร” เฉินเจ๋อเซิงยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยพูด “น้องชายของผมสติไม่ค่อยดี ผมไม่ค่อยวางใจเขาเท่าไร ธุรกิจของบ้านเดิมทีก็ไม่ดีอยู่แล้ว และได้แต่พูดว่าคอยประคับประคองธุรกิจที่ย่ำแย่เท่านั้น พอผมตาย เหลือเขาคนเดียว เป็นไปไม่ได้ที่จะแบกรับไหว”

“น้องชายของคุณสติมีปัญหาผมเห็นแล้วครับ”

ใช่แล้ว คนที่สามารถเอาครอบครัวมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันถึงแม้จะตายไปแล้วก็ตาม หากสติดีคงเป็นเรื่องแปลก

“แต่คุณพูดว่าคุณเป็นห่วงน้องชายของคุณจะแบกรับไม่ไหว แต่คนที่กระโดดตึก คือคุณไม่ใช่เหรอ” โจวเจ๋อย้อนถาม

“เหอะๆ จริงๆ ผมกลัวมาก ตอนนั้นตกลงกันแล้วว่าจะกระโดดพร้อมกัน หลังจากเธอกระโดดไปแล้ว ผมเลยกลัว”เฉินเจ๋อเซิงพูดจากใจจริง

“จากนั้นละ”

“จากนั้นผมรู้สึกผิดต่อเธอ วันที่สองหลังจากไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจแล้ว ก็กระโดดตึกตามไปครับ เดิมทีผมคิดว่าจะตามหาเธอบนทางน้ำพุเหลือง แต่แปลกมากผมกลับพบว่าตัวเองกลับมาที่บ้าน หรืออาจจะเป็นเพราะน้องชายของผมแต่งศพผมได้สภาพดีมาก ถึงแม้ช่างแต่งหน้าศพทั้งสองคนจะมีปัญหาด้านคุณภาพไปบ้าง แต่อย่างน้อยเรื่องใบหน้า พวกเขาได้แต่งหน้าผมกลับมาได้เหมือนจริงมาก”

เฉินเจ๋อเซิงพูดจบแล้วก็นั่งยองๆ ลง หยิบบุหรี่ออกมาหนึ่งมวนแล้วจุดไฟ

บุหรี่มวนนี้เป็นบุหรี่ที่ผ่านการเผามาแล้ว คนทั่วไปไม่สามารถได้กลิ่นของมัน

โจวเจ๋อหยิบบุหรี่ออกมาหนึ่งมวนเหมือนกัน จริงๆ แล้วหากพูดจากใจจริง โจวเจ๋อรู้สึกดีกับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าพอสมควร ทำงานเด็ดขาด พูดจาตรงไปตรงมา

แต่น่าเสียดายที่ผู้ชายแบบนี้กลับตายแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าได้เป็นเพื่อนกับเขา จะต้องสบายใจมาก

“หรือว่าท่านหลงเสน่ห์ของผมแล้วใช่ไหมครับ” เฉินเจ๋อเซิงกระพริบตาให้โจวเจ๋อ “คนที่รู้จักชื่นชมความงามในโลกใบนี้ มักจะเป็นคนดี”

“คุณพูดออกมาด้วยตัวเอง จึงน่าสะอิดสะเอียนเล็กน้อย”

“เหอะๆ ตอนผมอายุสิบขวบก็ถูกพ่อแม่จับติดตัวตลอด น้องชายไม่ยอม พอเห็นศพเขาก็กลัว ดังนั้นผมจึงต้องสืบทอดศิลปะแขนงนี้ ตอนแรกผมก็กลัวศพเหมือนกัน ต่อมาก็ค้นพบความสวยงามของพวกเขา เป็นความงามแบบเงียบๆ ให้คุณได้ดื่มด่ำกับอารมณ์ที่เหมือนได้ฟังเสียงเปียโน ผมดูแลศพพวกเขา พวกเขาก็ดูแลอารมณ์ของผม ผมให้ค่าความดีครั้งสุดท้ายแก่พวกเขา พวกเขาก็ให้ความสงบกับผม อันที่จริง ผมยังไม่อยากตาย ถ้าหากไม่ใช่เพราะเธอคิดอยากตาย ผมชอบเธอมากจริงๆ ผมก็ไม่อยากตายจริงๆ หรอกครับ”

“ผมก็เสียดายเหมือนกัน ตอนแรกที่ผมตาย ช่างแต่งหน้าศพไม่ใช่คุณ”

ประโยคนี้พูดออกมาจากใจของโจวเจ๋อ ครั้งที่แล้วผู้หญิงคนนั้นที่แต่งหน้าให้ตัวเอง จิ้มตัวเองแรงมาก

“เหอะๆ ท่านครับ ขอถามท่านอีกหนึ่งคำถาม ตอนนี้ถ้าผมลงไป จะเจอเธอบนทางน้ำพุเหลืองไหมครับ ผมมาช้าไปหนึ่งวัน ผมกลัวว่าลงไปแล้วจะหาเธอไม่เจอ”

“คาดว่าจะหาไม่เจอแล้ว บนทางน้ำพุเหลืองเบียดกันแน่นมาก”

มีอีกหนึ่งประโยคที่ยังไม่ได้พูด นั่นก็คือคนที่อยู่บนเส้นทางน้ำพุเหลือง ยกเว้นเป็นกรณีพิเศษแล้ว โดยทั่วไปจะต้องเขย่งเท้าเดินไปข้างหน้าจนเท้าชา เหมือนซากศพที่เดินได้แต่ไร้ตัวตน

“อย่างนั้นคุณย่าคงเสียใจจริงๆ ครับ” เฉินเจ๋อเซิงส่ายหน้า “ผมจะพยายามหาเธอครับ”

โจวเจ๋อใช้เล็บทิ่มเข้าไปที่ตำแหน่งกลางฝ่ามือของตัวเอง จากนั้นดึงสิ่งของทรงสี่เหลี่ยมออกมา แสงวงกลมสีดำหมุนวนรอบวัตถุทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส แล้วกลิ่นอายที่มาจากแดนนรกก็กระจายออกมาอย่างช้าๆ

“เข้าไปเถอะ ไปสถานที่ที่คุณควรจะไป”

“ขอบคุณครับ”

เฉินเจ๋อเซิงเดินเข้าไปในวัตถุทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส แล้วร่างกายก็ถูกดูดเข้าไป

เกิดแก่เจ็บตาย มาจากไหนก็กลับไปที่นั่น ทางเดินสู่นรก ข้ามสู่แดนน้ำพุเหลือง และนี่คงจะเป็นการส่งคนเข้าไปในนรกที่สงบสุขและราบรื่นเป็นครั้งแรกของโจวเจ๋อก็ว่าได้

เมื่อสูบบุหรี่มวนนี้หมดอย่างเงียบๆ แล้ว โจวเจ๋อจึงหันไปมองคฤหาสน์ที่อยู่ท่ามกลางดอกโหยวไช่อีกครั้งพลางคิดว่าสติของผู้หญิงสามคนนั้นรวมทั้งภาพแปลกพิลึกที่คนเป็นกับคนตายนั่งด้วยกันบนโต๊ะกินข้าว

ถึงแม้เขาจะอยู่ในฐานะคนตายแล้ว แต่ก็เป็นยมทูตตนหนึ่งเช่นกัน โจวเจ๋อรู้สึกขนหัวลุกต่อพฤติกรรมและพิธีการของทั้งสองครอบครัวนี้

และคนตายอย่างเฉินเจ๋อเซิงสามารถจากไปอย่างอิสระเป็นธรรมชาติ แต่คนมีชีวิตพวกนั้น กลับเป็นตัวตลกแต่งหน้าเข้มทำตัวกระตุ้งกระติ้งอยู่บนเวทีแสดง

บนโลกนี้ ดูเหมือนจะเป็นแบบนี้เสมอ และไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยด้วยซ้ำ

“อ้าฮ่าๆๆๆๆ!”

ตอนกลางวัน เสียงหัวเราะของสวี่ชิงหล่างดังมา เขาหัวเราะจนเกินจริงมาก เหมือนคนเก็บเงินได้มากกว่าหนึ่งแสนหยวน และในความเป็นจริงก็ไม่ต่างกัน

โจวเจ๋อเมื่อวานกลับมาดึกมาก จึงพักผ่อนดึกเช่นกัน และตอนเช้าก็นอนพักผ่อนอยู่บนตักของไป๋อิงอิงได้พักหนึ่งเขานอนหลับได้ไม่นานก็ต้องสะดุ้งตื่นเพราะเสียงของหัวเราะของสวี่ชิงหล่าง

“เหล่าโจว คุณเก่งจริงๆ เมื่อครู่คนของตระกูลหลิวโทรมาบอกผมว่า ร้านนั้นให้พวกเราเช่าห้าหมื่นหยวนต่อปี ห้าหมื่นหยวนต่อปี นั่นอยู่ถนนหนานต้าเจียเชียวนะ นี่เท่ากับว่าให้ฟรีๆ!”

“อ้อ” โจวเจ๋อไม่รู้สึกแปลกใจมากเท่าไร เพราะเมื่อคืนตัวเองไปจับผี แล้วจึงถือโอกาสนอนหลับพักหนึ่ง ดันไปเจอฉากการแต่งงานของทั้งสองครอบครัวพอดี และนั่นคงจะเป็นเงินค่าปิดปากของตัวเอง

“ไปกันเถอะ พวกเราไปดูร้านกัน”

จากนั้นโจวเจ๋อก็ถูกสวี่ชิงหล่างลากไปขึ้นรถแท็กซี่ แล้วนั่งมาลงที่ถนนหนานต้าเจียโดยตรง ร้านแห่งนั้นอยู่ตรงข้ามถนนหนานต้าเจีย ด้านตรงข้ามเป็นเหวินเฟิงชอปปิงมอลล์และห้างสรรพสินค้า

พื้นที่ของร้านมีขนาดหนึ่งร้อยกว่าตารางเมตร เมื่อก่อนเป็นร้านขายเสื้อผ้า

“นายยังคิดจะเปิดร้านบะหมี่อีกไหม” โจวเจ๋อถาม

“เปิดสิ ผมทำบะหมี่อร่อยมาก” สวี่ชิงหล่างตอบ

“อย่างนั้นนายลองดูว่าบะหมี่ของพวกเขาอร่อยไหม” ขณะพูด โจวเจ๋อได้ชี้ไปที่ร้านถัดไปทั้งสองด้าน

ทันทีที่สวี่ชิงหล่างมอง หนังหน้าของเขาก็กระตุกเล็กน้อย ร้านที่อยู่ทางซ้ายมือ มีร้าน ‘บะหมี่เสี่ยวเมี่ยนฉงชิ่ง’หนึ่งร้าน แล้วก็มีอีกหนึ่งร้านคือ ‘บะหมี่ฉีซานเส้าจื่อเมี่ยน’ และด้านขวามือเป็นร้าน ‘บะหมี่เนื้อหลานโจว’ กับ ‘บะหมี่เกี๊ยว’

“ตอนที่นายมาดูร้านก่อนหน้านั้น ไม่เห็นเหรอ” โจวเจ๋อถาม

สวี่ชิงหล่างส่ายหน้าพร้อมกับมีสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก

“ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน คุณย้ายร้านหนังสือมาก่อน ถ้าไม่ไหวจริงๆ ผมคงจะขายกาแฟกับขนมในร้านหนังสือของคุณ” สวี่ชิงหล่างพูด

“ก่อนหน้านั้นนายก็คิดแบบนี้ใช่ไหม” โจวเจ๋อไม่ได้ถูกหลอกง่ายขนาดนั้น

“ในฐานะผู้ชายที่มีห้องชุดมากว่ายี่สิบห้อง จะปล่อยให้สองมือและผิวหนังของตัวเองถูกบั่นทอนด้วยน้ำมันและควันต่อไป ถือว่าเป็นความผิด!”

“แล้วแขวนป้ายร้านของใคร” โจวเจ๋อถาม

“แขวนของคุณ ‘ร้านหนังสือยามวิกาล’”

“อย่างนั้นก็ได้”

“หิวหรือยังครับ” สวี่ชิงหล่างถามโจวเจ๋อ ขณะเดียวกันก็หยิบขวดเก็บความร้อนออกมาจากกระเป๋าของตัวเอง“ไปกินบะหมี่กัน ผมอยากจะดูว่าที่นี่บะหมี่อร่อยไหม ถ้าหากไม่อร่อย ผมจะพิจารณาว่าจะสู้หรือเปล่า”

และข้างในขวดเก็บความร้อนนี้ก็ใส่น้ำบ๊วยเอาไว้

โจวเจ๋อไม่ปฏิเสธ เขาลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในร้านอาหาร แล้วสวี่ชิงหล่างก็เดินตามเข้าไปในร้านบะหมี่เกี๊ยว สั่งบะหมี่สองชาม จากนั้นทั้งสองคนก็นั่งข้างโต๊ะเล็กๆ เพื่อรอบะหมี่มาเสิร์ฟ

“อั้ยหยา พอคิดว่าจะได้ย้ายร้านมาทำธุรกิจในย่านคึกคักแบบนี้ รู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง” สวี่ชิงหล่างทำท่าอดใจรอไม่ไหวแล้ว

จากนั้นเขาเห็นว่าโจวเจ๋อไม่ได้สนใจคำพูดของตัวเอง แต่กลับเงยหน้าเล็กน้อยมองขึ้นไปข้างบน

เหนือศีรษะมีพัดลมเพดานตัวหนึ่งและกำลังหมุนอย่างรวดเร็ว

ช่วงนี้อุณหภูมิสูงขึ้นอย่างชัดเจน แดดก็แรงมาก และหลังครัวของร้านบะหมี่แห่งนี้ก็อยู่ในร้าน ไม่มีห้องกั้น ไฟถ่านและไอน้ำจึงวนเวียนอยู่ภายในร้าน ถ้าหากไม่เปิดพัดลม ข้างในจะต้องร้อนอบอ้าวแน่นอน

“มีอะไรน่ามอง” สวี่ชิงหล่างถามโจวเจ๋อ

“ตอนที่เรียนหนังสือตอนเด็ก ห้องเรียนในหน้าร้อนก็จะมีพัดลมเพดานพวกนี้ และกลัวว่ามันจะตกลงมาโดนตัวเองไหม”โจวเจ๋อพูด

“อืม บังเอิญจริงๆ ตอนเด็กผมก็เคยกังวล”

“อ้อใช่ นายดูฮวงจุ้ยเป็นไหม” โจวเจ๋อถาม

“ระดับงูๆ ปลาๆ” สวี่ชิงหล่างกลับไม่ปิดบัง แล้วพูดต่อว่า “จริงๆ แล้วง่ายมาก ถ้าหากคุณรู้สึกว่าอยู่ที่นี่แล้วไม่รู้สึกอึดอัดและสบาย ก็หมายความว่าฮวงจุ้ยที่นี่ดีพอสมควร”

อย่างไรเสียคุณก็เป็นผี

โจวเจ๋อครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งครู่หนึ่ง พบว่าสวี่ชิงหล่างพูดมีเหตุผล และตัวเองก็หาเหตุผลโต้กลับไม่เจอ

บะหมี่ของทั้งสองคนมาแล้ว สวี่ชิงหล่างหยิบตะเกียบแล้วเริ่มกินอย่างช้าๆ

โจวเจ๋อเปิดขวดเก็บความร้อน ดื่มน้ำบ๊วยหนึ่งที จากนั้นก็กินบะหมี่คำโต

โจวเจ๋อมองตัวเองที่กินมูมมาม แล้วมองสวี่ชิงหล่างที่กินทีละเส้น เขาจึงส่ายหน้า

“เป็นอะไร”

“คุณจะเข้าใจอะไร ผมกำลังชิมรสชาติของคู่ต่อสู้ของผม”

โจวเจ๋อได้ยินดังนั้น จึงผลักบะหมี่ของตัวเองไปข้างหน้า เพราะกินไม่ลงแล้ว

“…” สวี่ชิงหล่าง

และในเวลานี้ หนุ่มวัยรุ่นที่อยู่โต๊ะข้างๆ คนหนึ่งกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ แล้วพูดในสายว่า

“ผมอยู่ที่ร้านบะหมี่เกี๊ยว ผมมาถึงนานแล้ว คุณมาถึงหรือยัง”

หนุ่มวัยรุ่นดูเหมือนจะเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ดูเด็กมาก

เวลานี้มีผู้หญิงสะพายกระเป๋าสะพายข้างคนหนึ่งวิ่งมาที่หน้าร้าน ผู้หญิงยืนอยู่หน้าร้านและดูเหมือนจะถือใบแจ้งผลอะไรสักอย่างอยู่ในมือ จากนั้นตะโกนกับหนุ่มวัยรุ่นว่า

“ฉันสอบติดแล้วๆ!” จากนั้นผู้หญิงวิ่งเข้าหาหนุ่มวัยรุ่นโดยตรง อ้าแขนทั้งสองออก ขอให้เขากอด

“อิจฉาชีวิตของนักศึกษาจริงๆ” สวี่ชิงหล่างพูดด้วยความอิจฉา

ผู้หญิงวิ่งไปหาผู้ชาย กระโจนเข้าสู่อ้อมอกของชายหนุ่มโดยตรง ชายหนุ่มสวมกอดด้วยความเคยชิน จากนั้นก็อุ้มผู้หญิงขึ้นมา และน่าจะเป็นวิธีแสดงความรักที่ร้อนแรงที่คุ้นชินระหว่างคู่รักวัยรุ่นสองคนนี้

นี่คือกลิ่นอายของวัยหนุ่มสาว เป็นช่วงเวลาที่งดงามของวัยรุ่น

แต่ทว่า พัดลมเพดานอยู่ต่ำมาก หลังจากที่ชายหนุ่มอุ้มผู้หญิงขึ้นไปด้วยความเคยชิน ศีรษะของผู้หญิงก็ชนกับพัดลมเพดานพอดี

“ตุ้บ…”

ศีรษะนั้นตกลงมาบนโต๊ะตรงหน้าโจวเจ๋อกับสวี่ชิงหล่าง

…………………………………………………………………………