บทที่ 274
บทที่ 274

ถังหยินหัวเราะและถาม “ข้าเพียงสงสัยว่าท่านเป็นใคร มาจากไหน”

ชายผู้นั้นขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะหันมองถังหยินด้วยความสงสัย แล้วจึงกล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าต้องการอะไรกันแน่ ?”

ถังหยินไม่สนใจท่าทีเย็นชาของอีกฝ่าย เขาเพียงหัวเราะออกมาแล้วพูด “ข้าแค่คิดว่าจิตวิญญาณของพี่ชายน่าชื่นชมจริง ๆ!”

“ฮ่า ! ฮ่า !” ชายร่างใหญ่ผู้นั้นหัวเราะ และพูดว่า “เจ้ามีเงินไหมเล่า ?”

โอ้ ! ชายคนนี้เข้าใจง่ายชะมัด ! ทัศนคติของชายคนนี้ทำให้ถังหยินนึกถึงตัวตนในอดีตของเขา ด้วยในอดีตเขาเองก็เคยดูถูกเงิน แต่ตอนนี้ด้วยมีกำลังทหารกว่า 5 แสนนายใต้ปกครอง เขาก็พลันเปลี่ยนความคิดที่ว่าไป ว่าแล้วชายหนุ่มก็ยิ้ม ปากพูดว่า “พี่ชาย ท่านยังไม่ได้บอกชื่อของท่านเลย !”

“ข้าอู่กวง เป็นชาวชุนโจว และถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าก็ขอตัวก่อน !” ชายร่างใหญ่พูดเพียงชื่อของเขา ไม่ได้ถามชื่อของถังหยินกลับ ราวกับว่าเขาไม่สนใจชายหนุ่ม และหลังจากพูดจบ เขาก็พลันหันหลังเดินจากไปในทันที

เมื่อมองไปที่ร่างด้านหลังของอีกฝ่าย ถังหยินก็รู้ได้ในทันทีว่าคนคนนี้ต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์เป็นแน่ ! แต่ตัวเขานั้นไม่มีวิชาตาทิพย์ ทำให้ในตอนนี้ชายหนุ่มไม่สามารถเห็นได้ว่าระดับการฝึกฝนของอีกฝ่ายสูงเพียงใด

อู่กวงงั้นหรือ… ถังหยินแอบพยักหน้าแล้วจำชื่อของเขาเอาไว้

ในเวลานี้เอง ก็เป็นซงหยวนที่ไล่ตามมาจนกระทั่งถึงข้างตัวของชายหนุ่ม “นายท่าน เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือขอรับ ?”

“ไม่มีอะไรหรอก !” ถังหยินยักไหล่ ใช้สายตามองไปที่ถุงเงินในมือแล้วส่งให้ซงหยวน “กลับกันเถอะ !”

“ขะ… ขอรับ !” ซงหยวนพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่จะเดินตามถังหยินกลับจวนไป

วันรุ่งขึ้น ถังหยินก็ได้มาหาหลีเทียนและอัยเจียเพื่อถามพวกเขาว่าเคยได้ยินเรื่องของอู่กวงมาก่อนหรือไม่

อัยเจียไม่คุ้นเคยกับชื่อนี้ แต่กลับหลีเทียนไม่ใช่เช่นนั้น ด้วยใบหน้าของเขาเจื่อนลงทันทีที่ได้ยินถังหยินพูดชื่อนั้น “นายท่าน ชื่อนั้นข้ารู้จัก”

“บอกมาหน่อยสิ !” ตาของถังหยินสว่างวาบทันที

“ในรุ่นของอู่กวง ตระกูลอู่เริ่มที่จะเสื่อมอำนาจ โดยพื้นฐานแล้วอู่กวงนั้นไม่รู้จักการบริหารและเอาแต่ใช้เงินไปอย่างไม่รู้คุณค่า ทำให้ความมั่งคั่งที่เก็บสะสมไว้ของตระกูลเขาสูญเสียไปเกือบทั้งหมด จนตอนนี้ชื่อสกุลของอู่กวงในชุนโจวมีความหมายไปในทางไม่ดีไปแล้ว ! ”

ตามที่คาดไว้ อู่กวงเกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวย และที่เขาไปยังบ่อนก็เพื่อเงิน ไม่ใช่เพื่อการเล่นพนัน !! ทำให้แม้ว่าตระกูลของเขาจะมีภูเขาทองคำและเงินทองมากมาย แต่เงินนั่นทั้งหมดก็ถูกเขาผลาญจนเกือบหมดแล้ว !

อัยเจียขมวดคิ้วแน่นทันทีเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ก่อนที่นางจะพูดว่า “เป็นคนที่สุรุ่ยสุร่ายชะมัด !”

“จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก ด้วยอู่กวงไม่ใช่คนธรรมดา ว่ากันว่าเขาใช้เงินจำนวนมากของตระกูลอู่เพื่อว่าจ้างเหล่ายอดฝีมือมารับใช้ แล้วไหนจะพลังปราณของเขาที่ทรงพลังนั่นอีก ! ทว่าทั้งหมดนี้ข้าได้ยินมาจากข่าวลือเท่านั้น ไม่ได้รู้มาเอง จึงไม่อาจบอกได้ว่าเรื่องมันจริงเท็จแค่ไหน !” หลีเทียนกล่าวอย่างจริงจัง

ถังหยินที่เห็นอู่กวงเมื่อวานนี้ เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าคนคนนี้น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์อย่างแน่นอน และตอนนี้เขาก็กำลังอยู่ในช่วงสงครามกับซ่งเทียน ดังนั้นการได้ยอดฝีมืออย่างอู่กวงมา ย่อมถือเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย !

ว่าแล้วถังหยินก็ตัดสินใจบางอย่างได้ เขาพูด “แม่ทัพหลี ส่งผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าไปที่จวนตระกูลอู่ เพื่อเชิญอู่กวงมาที่นี่ ด้วยข้าอยากที่จะชวนเขามาเข้าร่วมกับเรา !”

“รับทราบขอรับ นายท่าน !” หลีเทียนประสานมือของเขาเข้าด้วยกัน รับคำสั่งในทันที

ถังหยินเปลี่ยนเรื่องแล้วถาม “ที่เมืองหยานมีข่าวคราวอะไรบ้างหรือไม่ ?”

เดิมกลุ่มเนตรนภาและเครือข่ายใยพิภพมีกำลังคเพียง 1 พันคนเท่านั้น แต่มาตอนนี้จำนวนกลับเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเครือข่ายใยพิภพที่มีอัยเจียเป็นผู้นำ และเมื่อนับรวมกันแล้ว มาตอนนี้พวกเขาก็มีคนมากถึง 3 พันคนแล้วที่กระจายไปทั่วทุกแห่ง

ครั้งนี้เป็นอัยเจียที่ตอบอย่างรวดเร็ว “ทางประตูตงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด แต่ความแข็งแกร่งของเมืองหยานนั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยพวกคนทรยศที่ภักดีต่อซ่งเทียนได้ทำการคัดเลือกคนอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งทหารไปยังเมืองหยาน”

“นอกจากนี้ ทางด้านเขตหลีฮูเองก็ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่มีกำลังพลเพียงหมื่นกว่า มาตอนนี้ก็ขยายตัวเป็น 3 หมื่นนายแล้ว และด้วยความเร็วนี้ ข้าก็กลัวว่าอีกไม่นานพวกมันจะมีกำลังพลนับ 5 หมื่นนาย ! ”

เห็นได้ชัดว่าอัยเจียกังวลมากเกี่ยวกับสถานการณ์ของซ่งเทียน

ถังหยินพยักหน้ารับ และในขณะที่เขาฟัง ชายหนุ่มก็ได้แอบวางแผนในใจไปด้วย เพราะดูเหมือนว่าจะไม่สามารถชะลอพวกมันได้มากกว่านี้แล้ว อย่างน้อยพวกตนก็ควรจะมุ่งหน้าไปยังมณฑลหลีฮู่ อันเป็นกำแพงทางตอนเหนือของเมืองหยาน ด้วยหากปล่อยให้พวกมันสะสมกองกำลังต่อไป ก็จะกลายเป็นอันตรายต่อการสู้รบในอนาคต

ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ พูดว่า “พวกเจ้าต้องเฝ้าดูเมืองหยานและประตูตงอย่างใกล้ชิด หากมีอะไรเกิดขึ้น ให้แจ้งข้าทันที !”

“ตามบัญชาขอรับ !” อัยเจียและหลีเทียนพยักหน้ารับพร้อมกัน

หลังจากหลีเทียนและอัยเจียจากไป ถังหยินก็พลันลุกขึ้นตรงไปที่จวนตระกูลเหลียง อันเป็นไปตามตารางที่เขากำหนดไว้นานแล้วเพื่อเยี่ยมเหลียงซิง

เหลียงซิงไม่อาจเทียบได้กับอู่หยู เพราะถ้าหากฝ่ายหลังมีความไม่พอใจต่อถังหยิน 5 แต้ม งั้นแล้วความแค้นของเหลียงซิงที่มีต่อเขาก็มากถึง 10 แต้ม ด้วยถังหยินแย่งชิงอำนาจทางทหารของตระกูลเหลียงไป และนอกจากนี้เขายังแย่งเหลียงฉี ลูกชายที่เก่งกาจที่สุดของเขาไปด้วย !!

….จนถึงตอนนี้ เหลียงซิงกับเหลียงฉีก็ยังคงถูกจับตาดูอย่างใกล้ชิด ด้วยอีกฝ่ายภักดีกับถังหยินเพียงแค่หน้าฉากเท่านั้น !!

แม้ว่าเหลียงซิงจะปฏิบัติกับเขาอย่างอบอุ่น แต่ลึก ๆ แล้วอีกฝ่ายแทบจะไม่ได้แยแสเลยแม้แต่น้อย และถึงแม้ถังหยินอาจจะไม่เก่งในด้านอื่น ๆ แต่ทว่าสัญชาตญาณของเขานั้นกลับยอดเยี่ยมที่สุด ทำให้สามารถรู้ในทันทีจากการสนทนาแบบสบาย ๆ นั่น ว่าอีกฝ่ายเกลียดชังเขานัก จนทำให้ชายหนุ่มไม่พยายามที่จะสนทนากับชายชรามากเกินไป

หลังจากนั้นถังหยินก็ได้ไปเยี่ยมจี้หยางต่อ ซึ่งตัวของจี้หยางนั้นก็เป็นแม่ทัพผู้มีนิสัยตรงไปตรงมา ที่ไม่มีกลอุบายอันชาญฉลาดใด ๆ อย่างอู่หยูเลยแม้แต่น้อย โดยตัวของเขาก็พูดเลยว่าตนเองไม่มีความคิดที่จะภักดีกับถังหยินมาตั้งแต่แรกแล้ว

บางคนแนะนำเขาว่าตอนนี้พวกเขาควรจะญาติดีกับถังหยินได้แล้ว แต่จี้หยางก็มักจะตอบโต้ด้วยความโกรธ “ทำไมข้าจะต้องไปญาติดีกับไอ้เด็กเมื่อวานซืนชาติชั่วจอมกะล่อนแบบนั้นด้วย !”

และเมื่อได้ยินแบบนั้น ก็ไม่มีใครหรอกที่จะกล้าสนทนากับเขาต่อ

เมื่อถังหยินกลับออกมา เขาก็พลันเดินตรงออกไปทันที โดยในระหว่างทางกลับที่พักถังหยินก็โกรธจนตัวสั่น ด้วยถ้าไม่ใช่เพราะมีศัตรูอย่างซ่งเทียนที่อยู่ในระดับแนวหน้า มีหรือที่เขาจะยอมให้ชายชรา 2 คนนั่นทำตัวจองหองแบบนี้ !

จริงอย่างที่ซงหยวนกล่าว ว่าการที่จะได้รับการสนับสนุนจากอู่หยูเป็นเรื่องที่ง่ายดาย แต่อีกสองคนที่เหลือนั้นไม่ง่ายเลย ด้วยจี้หยางเป็นคนที่เรียบง่ายตรงไปตรงมาเกินไป ในขณะที่เหลียงซิงก็เจ้าเล่ห์มากเกินไป ซึ่งถ้าเขาเผลอตัว ก็ไม่รู้ว่าจะโดนหักหลังเมื่อไหร่ ! อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความสัมพันธ์ของเขากับเหลียงฉี มันก็เลยทำให้เขาแทบจะไม่สามารถทำอะไรเหลียงซิงได้เลย

จะร่วมมือก็ไม่ได้ ยังต้องมาจับตาดูอีก น่ารำคาญซะจริง ! ถังหยินอดไม่ได้ที่จะถูหน้าผากที่ปวดเมื่อยของเขาเบา ๆ

หลังจากไปหาเหลียงซิงกับจี้หยาง มาถึงตอนนี้เวลาก็ผ่านไปนานมากแล้ว จนจวนได้เวลากินข้าวแล้ว

และเนื่องจากมีคนอยู่อาศัยภายในจวนเป็นจำนวนมาก พ่อบ้านถังจงจึงต้องทำความสะอาดห้องโถงใหญ่เพื่อใช้เป็นห้องรับประทานอาหาร และตราบใดที่พวกกุนซือที่ปรึกษากับแม่ทัพนายพลของกองทัพเทียนหยวนไม่ได้ออกไปรับประทานอาหารข้างนอก พวกเขาก็จะมารวมตัวกันที่นี่อยู่เสมอ

ในขณะนี้นั้น มันก็มีผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันที่ห้องโถงใหญ่ ซึ่งเมื่อคนพวกนั้นเห็นถังหยินเดินเข้ามา พวกเขาก็พากันลุกขึ้นยืนและกล่าวทักทายชายหนุ่ม

เมื่อเห็นเช่นนั้น ถังหยินก็พลันโบกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนนั่งตามสบาย ก่อนจะเดินไปยังที่นั่งว่างข้างชิวเจิ้นและนั่งลง แล้วจึงมองไปที่จานบนโต๊ะพร้อมกับโบกมือให้คนรับใช้ข้าง ๆ จัดการเรื่องอาหารได้เลย

ชิวเจิ้นก้มหน้าก้มตากินอาหารของเขาอย่างสบาย ๆ ก่อนที่จะเงยหน้ามองชายหนุ่ม และหัวเราะพร้อมร้องถามว่า “ผลลัพธ์ไม่ต่างจากที่คิดเอาไว้ใช่ไหมขอรับ !”

“ฮึ !” ถังหยินหัวเราะเยาะและพึมพำอย่างไม่ชัดเจน “ก็แค่เฒ่าหัวดื้อสองตัว !

จากนั้นก็เป็นซงหยวนที่เดินตรงเข้ามาที่เป็นฝ่ายพูดขึ้น “ทั้งสองตระกูลนี้ไม่ได้น่ากังวลมากนักหรอกขอรับ นายท่านไม่ต้องคิดมากก็ได้ !”

“นั่นสินะ !” แม้ว่าปากจะพูดเช่นนั้น ทว่าถังหยินก็ยังไม่พอใจ

หยวนยู่ที่ติดตามถังหยินไปเองก็ดูจะไม่พอใจอย่างยิ่งกับท่าทีจี้หยาง เขาจึงอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดออกมาว่า “นายท่านจะประนีประนอมมากไปหน่อยไหมขอรับ น่าจะจับพวกเขามาปั่นคอซะให้รู้แล้วรู้รอดไป !”

ถังหยินหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนที่ชายหนุ่มจะกลอกตามองไปยังหยวนยู่และดุออกมาเบา ๆ “หยวนยู่ อย่าพูดอะไรแบบนั้น”

“อะ…ขออภัยขอรับ นายท่าน” หยวนยู่ตอบในขณะที่เขาก้มศีรษะลงและเริ่มกินอาหารอย่างเต็มปากเต็มคำ

ในช่วงเวลานั้น ถังหยินก็ได้มองไปรอบ ๆ ก่อนจะเห็นเข้ากับคนตัวใหญ่ที่นั่งไกลออกไป ซึ่งคนผู้นี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น จ้านหูนั่นเอง !

ด้วยจ้านหูเป็นชาวดูกี เขาจึงไม่สามารถสื่อสารกับชาวเฟิงได้เลย จนพานทำให้รอบข้างไม่มีใครกล้านั่งด้วยกับเขาสักคน และคนที่เขาสามารถพูดคุยด้วยได้ มันก็มีเพียงชัวน่ากับคนของนางเท่านั้น ทว่ามาตอนนี้ พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ที่นี่แต่อย่างใด