ตอนที่ 264 บอกลาหวังเสวียนจ้าน

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

สวีเสี่ยวหลานมองตากลมโตดุจโคมไฟของเจ้าอัปลักษณ์ จมูกที่ยุบลงไป ปากเบี้ยว รู้สึกเคืองตานิดหน่อย

นางคิดในใจ พลันมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา

แหวนมิติสว่างวาบ หน้ากากที่ทำจากหินครามปรากฏในมือของนาง

“หน้ากากนี่มีชื่อว่า หน้ากากนักรบคราม ฝีมือประณีตงดงาม ปกติมันจะดูดซึมพลังปราณฟ้าดินได้ด้วยตัวเอง เมื่อสวมแล้วสามารถปล่อยพลังปราณที่กักเก็บอยู่ภายในหน้ากากออกมาได้ในพริบตา ทำให้เจ้ามีพลังมหาศาลในเวลาอันสั้น เป็นอาวุธวิเศษขั้นสูง ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ มันค่อนข้างเท่…”

เจ้าอัปลักษณ์มองหน้ากากในมือสวีเสี่ยวหลาน ในที่สุดก็ทำหน้าประทับใจ รับหน้ากากมาด้วยสองมือที่สั่นเทา

ของขวัญชิ้นนี้ล้ำค่ามาก ขณะเดียวกันก็เหมาะสมกับมันมากเช่นกัน!

การแสดงความขอบคุณในครั้งนี้ของสวีเสี่ยวหลานเรียกได้ว่าจริงใจ มอบของที่ทุกคนใช้งานได้ ของที่ดีที่สุดที่ตนมีให้ พวกอันหลินจะไม่เข้าใจเจตนาของนางได้อย่างไร

แม้จะเป็นเช่นนี้ สวีเสี่ยวหลานก็ยังรู้สึกว่าขาดอะไรบางอย่างไป

นางขมวดคิ้วงาม พึมพำกับตัวเองว่า “รู้สึกเหมือนลืมใครบางคนไป…”

อันหลินได้ยินคำพูดของสวีเสี่ยวหลานก็โพล่งขึ้นมาทันทีว่า “ต้าไป๋กับเจ้าอัปลักษณ์ของข้าก็ได้ของขวัญกันหมดแล้ว จะลืมใครได้อีก อย่าคิดมากเลย ไปกันเถอะ เราไปกินของอร่อยกัน!”

สวีเสี่ยวหลานนึกไม่ออก ทำได้แค่พยักหน้ายิ้มๆ ไม่คิดมากอีก ตามอันหลินเหาะไปยังเมืองหลวงของแคว้นเทียนเหอ

หอเซียนเจิน เมืองหลวงของแคว้นเทียนเหอ

ทุกคนกินอาหารหรูหราขนานแท้ที่นี่ ทั้งมื้อจ่ายไปหกหมื่นกว่าหินวิญญาณ

อาหารหลักในมื้อหรูนี้ ไม่ใช่อาหารธรรมดาทั่วไป แต่เป็นอาหารที่มีแร่ธาตุล้ำค่า สัตว์หายากเป็นวัตถุดิบหลัก ปรุงอย่างพิถีพิถันโดยพ่อครัวเซียนชั้นสูง ยามยกอาหารโอชะทั้งหลายมา ไม่ใช่เพียงกลิ่นหอมฟุ้งตลบเท่านั้น แต่ยังแฝงด้วยพลังงานเข้มข้น เรียกได้ว่าเป็นอาหารที่อร่อยและบำรุงร่างกายอย่างแท้จริง

แม้จะเป็นเจ้าสำนักเซียนขนาดใหญ่ เมื่อมาถึงหอเซียนเจินก็ไม่กล้าสวาปามเช่นนี้ เพราะสิ่งที่กินลงท้องล้วนเป็นวัตถุดิบราคาสูงลิ่ว! แต่พวกอันหลินกลับมีอาหารเต็มโต๊ะ กินอย่างตะกละตะกลาม เมื่อกินหมดแล้ว ก็สั่งให้ยกมาอีกเต็มโต๊ะ… การกระทำแบบนี้ทำให้เศรษฐีวงการเซียนคนอื่นในหอเซียนเจินเหงื่ออาบหน้า ไม่เคยเห็นใครที่กินเก่งปานนี้ ขณะเดียวกันก็ไม่เคยเห็นใครที่ใช้เงินขนาดนี้มาก่อนเหมือนกัน

หลังอิ่มหนำสำราญแล้ว ความเหนื่อยล้าจากการต่อสู้ในสุสานมังกรหายไปเป็นปลิดทิ้งไม่พอ เลือดลมทั่วร่างก็เต็มเปี่ยมอย่างยิ่ง ประหนึ่งมีกำลังที่ใช้ไม่หมด

ทุกคนฉวยจังหวะในยามที่ยังสุขสม เดินทางกลับสรวงสวรรค์อย่างสบายๆ

สองวันต่อมา สำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนได้จัดประชุมประจำปี

นักเรียนชั้นปีที่สองได้รับการชื่นชมสรรเสริญ เพราะรบกับเผ่าพันธุ์มด นักเรียนและอาจารย์ที่เข้าร่วมภารกิจบั่นคอครั้งนี้ ได้รับรางวัลมหาศาล แต่อันหลินไม่ได้ให้ความสำคัญมากขนาดนั้น

หลังจากนั้นก็เป็นพิธีจบการศึกษาของนักเรียน หวังเสวียนจ้านเป็นตัวแทนนักเรียนทั้งสำนักในการกล่าวสุนทรพจน์

อันหลินมองชายหนุ่มที่งามสง่า มีความน่าเกรงขามเต็มเปี่ยมบนเวที ในใจอดรำพันไม่ได้ เวลาช่างผ่านไปไวเสียจริง ไม่คิดเลยว่าแม้แต่เขาก็จะจบการศึกษาแล้ว

หวังเสวียนจ้านกับอันหลินก็นับว่าเป็นเพื่อนกันแล้ว มันเป็นมิตรภาพระหว่างรบที่เกิดจากการชุมนุมแลกเปลี่ยนมรรคเทศนาสี่ทิศ สหายที่พึ่งพาได้เช่นนี้จากไปแล้ว อันหลินหงอยเหงามากทีเดียว

หลังกล่าวสุนทรพจน์เสร็จ หวังเสวียนจ้านก็มาอำลาอันหลินเป็นการเฉพาะเช่นกัน

ทั้งคู่เดินอยู่บนทางเดินของรั้วสำนัก เรียกให้นักเรียนเหลียวมองอยู่บ่อยครั้ง เพราะคนหนึ่งเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสำนัก อีกคนเป็นตำนานของสำนัก ชื่อเสียงโด่งดังมาก

“ศิษย์พี่หวัง ท่านจะไปแคว้นเฟิงหยวนจริงหรือ ได้ยินว่าหน่วยปฏิบัติการในแคว้นเฟิงหยวนของสรวงสวรรค์รบไม่หยุดพัก อันตรายมากนะ” อันหลินได้ยินว่าหวังเสวียนจ้านตัดสินใจจะเข้าร่วมหน่วยปฏิบัติการของสรวงสวรรค์ที่อยู่ในแคว้นเฟิงหยวน จึงอดเป็นห่วงไม่ได้

แคว้นเฟิงหยวนมีอาณาเขตติดต่อกับแดนศักดิ์สิทธิ์เหมันต์ มักจะมีสงครามเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อย่าเห็นว่าศัตรูเป็นสาวหิมะรูปโฉมงามสะคราญแล้วจะดูแคลนได้ พวกนางมีความเด็ดขาด ความสามารถเก่งกล้า เหนือกว่าเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดทางตะวันตกเฉียงใต้เสียอีก ที่นั่นเป็นจุดที่มีสงครามรุนแรงที่สุดในแดนจิ่วโจว และเป็นหน่วยปฏิบัติการที่อันตรายที่สุดของสรวงสวรรค์เช่นกัน

ใบหน้าคมคายของหวังเสวียนจ้านเผยรอยยิ้มสง่างงาม “ชีวิตนี้ข้าหวังเสวียนจ้านไม่เกรงกลัวศึก และเพราะที่นั่นมีสงครามไม่หยุด ข้าถึงได้เลือกจะไปประจำการที่นั่น มีเพียงการต่อสู้เท่านั้นที่ทำให้ข้าแข็งแกร่งยิ่งขึ้น!”

จากนั้นเขาก็พูดอย่างมีเลศนัยว่า “อีกอย่าง…เจ้าลองเดาดูสิว่า ข้าเจอใครที่นั่น”

อันหลินกะพริบตาปริบๆ “เฉินเฉินหรือ”

หวังเสวียนจ้านทำหน้าตกใจ “เอ๊ะ เจ้ารู้ได้อย่างไร!”

“นอกจากเฉินเฉิน จะมีใครที่ทำให้ท่านเกิดความสนใจได้ขนาดนี้อีก…” อันหลินยิ้มมุมปากมองชายหนุ่มข้างกาย ทำท่าเป็นเชิงบอกว่า ‘ข้ารู้’

หวังเสวียนจ้านหัวเราะเฝื่อนๆ อย่างกระดากอายแล้วพูดว่า “ตั้งแต่ข้าเกิดมาจนถึงป่านนี้ รบมานับครั้งไม่ถ้วน มีการต่อสู้เพียงสองครั้งที่ทำให้ข้าจดจำได้ลึกซึ้งที่สุด หนึ่งคือกับเจ้า อีกครั้งคือกับเขา”

“ครั้งแรกที่สู้กับเจ้า ข้าแพ้เจ้า ครั้งนั้นข้ายอมรับทั้งกายใจ เพราะแค่เจ้าชี้นิ้วแผ่นดินก็แตกระแหงแล้ว ข้าต้านทานไม่ได้เลย”

“แต่ต่อสู้กับเฉินเฉิน เขายังไม่ทันได้ใช้นิ้ว ข้าก็ถูกพลังกดดันจนไม่กล้าสู้ต่อ หวาดกลัวก่อนสู้เป็นความอดสูครั้งใหญ่ในชีวิตนี้ของข้า…ข้าต้องหาเขาให้เจอแล้วสู้กับเขาอย่างผ่าเผย แม้ต้องแพ้ ข้าก็จะสู้จนถึงวินาทีที่ตัวเองล้มลง!”

อันหลินได้ฟังก็สงสัย “ครั้งก่อนที่ท่านเจอเฉินเฉินที่แดนศักดิ์สิทธิ์เหมันต์ ไม่ได้สู้กันหรือ”

หวังเสวียนจ้านส่ายหน้า “ไม่ได้สู้ เขาหนีไป”

อันหลิน “…”

“แต่ตอนที่เขาหนี ฝากข้ามาบอกเจ้าด้วย” จู่ๆ หวังเสวียนจ้านก็โพล่งขึ้นมา

“ฝากมาบอกข้าหรือ” อันหลินเบิกตากว้าง ทำหน้าตกใจ

หวังเสวียนจ้านพยักหน้าอย่างประหลาดใจ “เขาบอกว่า เขาไม่ได้มีแค่ดัชนีวิถีสวรรค์เท่านั้น แต่ยังรู้หมัดวิถีสวรรค์ บาทาวิถีสวรรค์ กระบี่วิถีสวรรค์… หากเจ้าใคร่ศึกษา ให้ไปหาเขาที่แดนศักดิ์สิทธิ์เหมันต์ เขาสอนเจ้าได้…”

อันหลิน “…”

Excuse me (อะไรนะ)

อันหลินไม่รู้ว่าควรจะใช้วิธีไหนมาแสดงความรู้สึกในตอนนี้

มีบาทาวิถีสวรรค์ด้วยเหรอ ทำไมไม่มีตดวิถีสวรรค์ด้วยล่ะ ท่าพวกนั้นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของวิถีสวรรค์เหรอ

แม้จะฟังดูสุดยอดมาก แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์อันอนาถที่ใช้ดรรชนีวิถีสวรรค์เสร็จแล้วระเบิดตัวเอง เขาก็เย็นวาบไปทั้งตัว คิดอยากจะปฏิเสธตามสัญชาตญาณ

ทำไมเฉินเฉินถึงบอกว่า ‘สอนตนได้’ ล่ะ…

กระบวนท่าที่สุดยอดปานนี้ อันหลินทำได้ตั้งแต่แรกเห็น เฉินเฉินก็ไม่รู้สึกแปลกใจ ต้องมีลับลมคมในเป็นแน่ แต่เขากลับไม่อยากแตะต้อง รู้สึกเหมือนว่าหากข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันจะอันตรายมาก

อืม…ช่างเถอะๆ ค่อยว่ากันวันหลังแล้วกัน

อันหลินส่ายหน้า สลัดความสงสัยเหล่านี้ออกจากสมอง

สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือ เสริมสร้างความสามารถของตน เพียงแค่มีความสามารถ ไม่มีปัญหาอะไรที่แก้ไขไม่ได้ ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นหมัดวิถีสวรรค์ บาทาวิถีสวรรค์ ทั้งวันทั้งคืนก็ไม่มีปัญหา!

หลังบอกลาหวังเสวียนจ้านแล้ว เขาก็กลับมายังที่พำนักของตัวเอง กินยาบำรุงปราณหนึ่งเม็ดแล้วเริ่มบำเพ็ญเพียรทันที

ยาบำรุงปราณเป็นยาวิเศษขั้นเก้า เมื่อใช้ยานี้แล้ว จะทำให้ความเร็วในการทำสมาธิสฤษฏ์กายของเขารวดเร็วขึ้นมากโข

แม้ราคาจะสูงลิ่ว และมีระยะเวลาเพียงสองวัน แต่เขาไม่แยแส เพราะมีเงินนี่นา!

เศรษฐีก็ต้องมีวิธีบำเพ็ญเพียรสไตล์เศรษฐี จุดนี้อันหลินเห็นด้วยอย่างยิ่ง

สองวันต่อมา อันหลินเสร็จสิ้นการกักตัวบำเพ็ญ

หันหน้ารับแสงอรุณ อาศัยจังหวะที่สำนักปิดเทอมอย่างเป็นทางการ ออกเดินทางไปหาซูเฉี่ยนอวิ๋น

หนี้ของฉางเอ๋อ บัดนี้ในที่สุดก็ไปใช้คืนได้แล้ว!