ตอนที่ 250 ไต่ถาม

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

เฉิงฉือได้ยินแล้วก็ย่นหัวคิ้วมุ่น พลางถาม “เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด”

 

 

โจวเสาจิ่นก้มหน้าตอบ “วันที่ยี่สิบสี่เดือนสามปีที่แล้วเจ้าค่ะ ข้าลื่นล้มอยู่ข้างทะเลสาบ เมื่อฟื้นขึ้นมาลืมตากลับพบว่าย้อนกลับมาตอนอายุสิบสองขวบ…”

 

 

เฉิงฉือพยักหน้าน้อยๆ

 

 

นี่ตรงกับที่ไหวซานรายงาน

 

 

เขาชำเลืองมองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง พลางกล่าว “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงต้องแทรกแซงเรื่องของตระกูลหลินกับมู่สองตระกูลด้วย เป็นตระกูลหลินที่มีความสัมพันธ์กับเจ้าหรือตระกูลมู่ที่มีความสัมพันธ์กับเจ้า”

 

 

เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็สืบเนื่องมาจากเรื่องนี้ โจวเสาจิ่นรู้แก่ใจดีว่าไม่มีทางหลีกเลี่ยงหัวข้อนี้ไปได้

 

 

นางอดกล่าวเสียงเบาไม่ได้ว่า “ชาติก่อน หลินซื่อเซิ่งเป็นสามีของข้าเจ้าค่ะ!”

 

 

เฉิงฉือเลิกคิ้วขึ้น พลางถาม “สามีเก่าหรือ”

 

 

ถือว่าเป็นเช่นนั้นได้อยู่กระมัง…

 

 

ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นขึ้นสีแดงเรื่อ

 

 

ทว่าเฉิงฉือกลับเอ่ยขึ้นว่า “หรือว่าเจ้าไปแย่งคู่หมั้นของคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ จากนั้นเหตุเพราะคดีของตระกูลมู่คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่จึงตกอับจนต้องกลายเป็นนางโลมหลวง เจ้าถึงได้รู้สึกผิดมาก ดังนั้นจึงอยากจะช่วยเหลือพวกเขา”

 

 

“จะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ!” โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็รู้สึกร้อนรนจนกระทืบเท้า พลางกล่าว “ข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือเจ้าคะ ข้าจะไปแย่งคู่หมั้นของผู้อื่นได้อย่างไรเล่า คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่หมั้นหมายกับหลินซื่อเซิ่งตั้งแต่ยังเล็ก หากว่าไม่เกิดเหตุร้ายนี้ พวกเขาก็คงจะแต่งงานกันอย่างราบรื่นไปนานแล้ว แต่หลินซื่อเซิ่งกลับคิดคะนึงหาคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่อยู่เสมอ ต่อมาจึงหาโอกาสรับคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่เข้ามาเป็นอนุ…ข้าเพียงอยากจะช่วยเหลือพวกเขาเท่านั้นเจ้าค่ะ!”

 

 

มีการช่วยเหลือเช่นนี้ด้วยหรือ

 

 

สามีของตนในชาติก่อนรับคนรักที่ชอบพอกันมาตั้งแต่ยังเล็กเป็นอนุ นางที่เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากจะไม่อิจฉาริษยาหรือเศร้าเสียใจแล้ว ยังคิดหาทางให้สามีของตนได้แต่งงานกับอนุผู้นั้น…ยิ่งกว่านั้นตระกูลโจวมาจากตระกูลผู้มีการศึกษาอันเป็นที่เคารพนับถือ จะแต่งงานกับหลินซื่อเซิ่งที่เลื่อนยศตำแหน่งมาจากทหารได้อย่างไร ซ้ำยังแต่งงานไกลถึงจิงเฉิง!

 

 

เฉิงฉือชำเลืองมองโจวเสาจิ่นทีหนึ่งด้วยท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม พลางกล่าว “พวกเจ้าคงเป็นสามีภรรยากันแบบหลอกๆ กระมัง”

 

 

“เปล่าเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นปฏิเสธไปตามสัญชาตญาณ “พวกข้าไม่ได้เป็นสามีภรรยากันแบบหลอกๆ เจ้าค่ะ!”

 

 

เฉิงฉือไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว เอ่ยถามว่า “เจ้าไปแต่งงานที่จิงเฉิงได้อย่างไร”

 

 

โจวเสาจิ่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกระซิบตอบว่า “พี่เขยของข้าเป็นพ่อสื่อให้เจ้าค่ะ”

 

 

มิใช่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหรือโจวเจิ้นที่เป็นผู้หาคู่ครองมาให้ แต่เป็นเลี่ยวเส้าถังที่เป็นพ่อสื่อให้

 

 

แค่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ชวนให้ผู้คนต้องขบคิดด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว

 

 

เฉิงฉือนึกถึงปฏิกิริยาโต้ตอบของโจวเสาจิ่นยามที่เขาจับตัวนางเมื่อครู่ หนำซ้ำยังมีคำปฏิเสธของนางยามที่เขาเอ่ยถึงเฉิงสวี่…สีหน้าของเขาดำดิ่งลงอย่างอดไม่ได้ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เสาจิ่น ชาติก่อนที่เจ้ากล่าวมา เฉิงสวี่ได้ทำเรื่องมิดีมิร้ายต่อเจ้าหรือไม่”

 

 

เพียงมีเบาะแสเท่านี้ ก็ไขความว่าเหตุใดนางถึงได้ออกจากตระกูลเฉิง เหตุใดถึงได้แต่งงานไปอยู่ที่ไกลๆ ได้แล้ว!

 

 

สีหน้าของโจวเสาจิ่นแข็งทื่อเล็กน้อย

 

 

ในที่สุดท่านน้าฉือก็ค้นพบจนได้!

 

 

แต่เรื่องน่าอับอายเช่นนั้น ต่อหน้าท่านน้าฉือ นางจะเอ่ยปากกล่าวออกมาได้อย่างไร

 

 

มือของนางกำหมัดแน่น ร่างกายสั่นเทิ้มอย่างห้ามไม่อยู่

 

 

เฉิงฉือเห็นแล้วอดรนทนมองไม่ได้

 

 

เรื่องราวในอดีตก็ผ่านพ้นไปแล้ว เหตุใดเขาถึงต้องเอ่ยขึ้นมาใหม่ให้นางรู้สึกเจ็บปวดช้ำใจซ้ำอีกเล่า

 

 

เขาก้าวมาลูบศีรษะของโจวเสาจิ่นเบาๆ อย่างอดไม่ได้ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ถ้าหากรู้สึกไม่สบายใจ เจ้าก็ไม่ต้องไปนึกถึงมัน เจ้าบอกว่านั่นเป็นเรื่องราวในชาติก่อนมิใช่หรือ ชีวิตนี้เจ้าสุขสบายดี ฉะนั้นจึงไม่ต้องไปนึกถึงเรื่องที่ทำให้ระทมใจเหล่านั้นในชาติก่อนอีกแล้ว ดีหรือไม่”

 

 

โจวเสาจิ่นจวนจะมองเฉิงฉือด้วยความซาบซึ้งใจครั้งหนึ่ง

 

 

นางไม่อยากคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาในอดีตอีกแล้วจริงๆ

 

 

ผู้กระทำผิดที่ต้องได้รับโทษนั้นต่างไม่รู้ แต่นางที่เป็นผู้เสียหายนี้กลับต้องเจ็บช้ำระกำใจไม่จบไม่สิ้น!

 

 

นางพยักหน้าน้อยๆ อย่างเชื่อฟัง

 

 

เฉิงฉือเห็นแล้ว ก็ลอบผ่อนลมหายใจอย่างเงียบๆ

 

 

ต่อให้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชาติก่อน แต่ความเจ็บปวดที่เคยได้รับกลับไม่อาจเลือนหายไปเพียงเพราะกาลเวลาที่ล่วงผ่าน มันเพียงถูกเก็บซ่อนเอาไว้อยู่ในซอกมุมหนึ่งเท่านั้น

 

 

เด็กน้อยผู้นี้ เชื่อฟังและว่าง่ายจนทำให้คนอื่นต้องรู้สึกปวดร้าวใจ!

 

 

เพียงแต่ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วเฉิงสวี่ทำอะไรลงไปบ้างกันแน่

 

 

ไม่รู้ว่าจะตกต่ำจนเกินเยียวยาหรือไม่

 

 

ในเมื่อไม่มีผู้ใดอยู่เบื้องหลังนาง เขาก็ต้องไต่ถามเรื่องราวเหล่านั้นให้กระจ่างชัด

 

 

เฉิงฉือชี้ตั่งหลัวฮั่นที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก พลางกล่าว “เสาจิ่น เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าตระกูลเฉิงจะถูกยึดทรัพย์และฆ่าล้างยกตระกูลได้อย่างไร พวกเรานั่งลงคุยกันสักหน่อยดีหรือไม่”

 

 

โจวเสาจิ่นรีบพยักหน้าหงึกๆ

 

 

ทั้งสองคนนั่งลงบนตั่งหลัวฮั่นด้านซ้ายคนหนึ่งด้านขวาคนหนึ่ง

 

 

โจวเสาจิ่นใคร่ครวญแล้วเล่าเรื่องราวในตอนนั้นให้เฉิงฉือฟัง

 

 

จากที่นางเล่าให้ฟังเฉิงฉือสังเกตว่าโจวเสาจิ่นในชาติก่อนอาศัยอยู่ในบ้านสวนของตระกูลหลินที่ต้าซิ่งตามลำพัง

 

 

เขากล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นเรื่องนี้ต้องไปถามเลี้ยวเส้าถังพี่เขยของเจ้าจะดีที่สุด แต่เลี่ยวเส้าถังไม่มีความสามารถในการหยั่งรู้อนาคต เขาจึงไม่รู้ว่าในภายภาคหน้าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น…”

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกอับอาย

 

 

นางบอกไปแล้ว ทว่าก็เสมือนกับว่าไม่ได้บอกอะไรอยู่ดี

 

 

เฉิงฉือสอบถามอย่างละเอียดว่าโจวชูจิ่นไปถึงบ้านสวนเมื่อใด แล้วกลับไปเมื่อใด รั้งอยู่ที่บ้านสวนนานเท่าไร เล่าเรื่องอะไรให้นางฟังบ้าง หลินซื่อเซิ่งทราบเรื่องเมื่อใด เขียนจดหมายแจ้งนางเมื่อใด…ซักถามอย่างละเอียดไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่

 

 

โจวเสาจิ่นรู้ดีว่าเฉิงฉือหมายจะสืบหาร่องรอยเบาะแสจากในนั้นได้บ้าง นางจึงตั้งใจตอบเป็นอย่างยิ่ง

 

 

พอเฉิงฉือได้ยินแล้วก็จมเข้าสู่ห้วงความคิดของตน

 

 

โจวเสาจิ่นนั่งอยู่ข้างเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจออกมาแรงๆ กระทั่งสีหน้าของเขาผ่อนคลายลงมา ถึงได้เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ท่านน้าฉือ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ…ชาติที่แล้ว เป็นหวงหลี่ที่ได้ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมพิธีการ คดีของใต้เท้ามู่ ช่วงสิ้นปีนี้จึงจะถูกค้นพบ…ตอนนี้ท่านลุงจิงดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากรมพิธีการ เรื่องของใต้เท้ามู่จึงแดงออกมาก่อน…ข้า…ข้าไม่รู้ว่าเหตุการณ์ต่างๆ ยังจะเหมือนกับชาติที่แล้วอีกหรือไม่เจ้าค่ะ”

 

 

เรื่องนี้เฉิงฉือไม่ทันได้ฉุกคิดเลยจริงๆ

 

 

จนถึงตอนนี้เขายังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง คิดว่าโจวเสาจิ่นน่าจะมีญาณหยั่งรู้อนาคต ไม่ได้ย้อนกลับมามีชีวิตใหม่แต่อย่างใด

 

 

เฉิงฉือเงียบงันไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่ามารดาของข้าตายเมื่อไร”

 

 

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ถึงแม้เฉิงฉือจะมีสีหน้าเหมือนเดิม แต่โจวเสาจิ่นกลับสัมผัสได้ว่าในใจของเขาโศกเศร้ายิ่งนัก

 

 

นางครุ่นคิดพลางกล่าว “คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นปีปิ๋งอู่ หรือก็คือรัชศกจื้อเต๋อปีที่ยี่สิบเก้า…นอกจากนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากับนายท่านผู้เฒ่ารองของจวนหลักเสียชีวิตตามกันไปไม่นานนักเจ้าค่ะ…ตอนนั้นข้าอาศัยอยู่ที่จิงเฉิง ได้ยินข่าวการจากไปของนายท่านผู้เฒ่ารอง จากนั้นก็ได้ยินข่าวการจากไปของฮูหยินผู้เฒ่า…ฮูหยินผู้เฒ่าคงจะเสียชีวิตหลังนายท่านผู้เฒ่ารอง…”

 

 

“ได้ยินมาอย่างนั้นหรือ” เฉิงฉือสีหน้าไม่สงบนัก เอ่ยถามว่า “หลังจากที่เจ้าแต่งงานไปอยู่จิงเฉิงแล้ว ไม่ได้ติดต่อกับมารดาของข้าหรือข้าเลยหรือ”

 

 

ด้วยอุปนิสัยของเขาและมารดา หากโจวเสาจิ่นถูกเฉิงสวี่ล่วงเกิน พวกเขาย่อมจะต้องชดใช้ให้นางอย่างสุดกำลัง หรือแม้แต่อาจจะให้พี่ชายรองรับนางเป็นบุตรสาวบุญธรรม เพื่อหนุนหลังนางเป็นแน่

 

 

ทว่าฟังจากน้ำเสียงของนางแล้ว ตนกับมารดากลับไม่สนใจไยดีนางเลยแม้แต่น้อย…เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของโจวเสาจิ่นในชาติที่แล้วกันแน่

 

 

เขาอดถามไม่ได้ว่า “ตอนนั้นข้าทำอะไรอยู่”

 

 

โจวเสาจิ่นลังเลไปชั่วขณะ แล้วตอบว่า “ตอนที่ข้าอาศัยอยู่ที่ซอยจิ่วหรู ไม่รู้จักท่านน้าฉือเลยเจ้าค่ะ ครั้งสุดท้ายที่ข้าได้ยินข่าวคราวของท่านคือปีเหรินหยิน หรือก็คือรัชศกจื้อเต๋อปีที่ยี่สิบห้า…”

 

 

นั่นคือปีที่สามหลังจากที่นางแต่งงาน ทว่าเฉิงสวี่ยังคงตามมารังควาน ในวันเกิดของนางทุกๆ ปีเขาจะมานั่งคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตูใหญ่บ้านพี่สาว ภายหลังท่านน้าฉือได้ปรากฏตัวแล้วลากเขากลับไป

 

 

หลังจากนั้นเฉิงสวี่ก็ไม่โผล่มาให้เห็นอีกเลย

 

 

จริงด้วย นางยังลืมอีกเรื่องหนึ่ง

 

 

โจวเสาจิ่นรีบกล่าวเสริมขึ้นว่า “ต่อมาในรัชศกเทียนซุ่นปีที่สอง ท่านบุกลานประหารและช่วยเฉิงสวี่ออกไปเพียงคนเดียวเจ้าค่ะ…”

 

 

เฉิงฉือตกตะลึงยิ่งนัก

 

 

ขบคิดใคร่ครวญเรื่องของโจวเสาจิ่นอีกครั้ง

 

 

ตามแผนการของเขา ปีนี้เขาจะส่งต่อกิจการทั้งหมดของตระกูลเฉิงออกไป อีกสองปีให้หลังจะไปจากซอยจิ่วหรู อีกสามปีจะตัดความสัมพันธ์กับตระกูลเฉิงให้ขาดสะบั้น…ซึ่งปีนั้น ก็ตรงกับรัชศกจื้อเต๋อปีที่ยี่สิบห้า

 

 

เขารู้ดีแก่ใจว่าความคิดนี้เป็นเรื่องที่น่าตกใจสำหรับคนในตระกูลเกินไป นอกจากตัวเขาแล้ว เขาก็ไม่ได้บอกใคร ไม่ได้บอกแม้แต่ไหวซาน ฉินจื่อผินหรือคนอื่นๆ เลย จึงเป็นไปไม่ได้ที่โจวเสาจิ่นจะล่วงรู้เรื่องนี้

 

 

ยังมีเรื่องที่บุกไปลานประหารอีก

 

 

ตามที่โจวเสาจิ่นกล่าวมา ตระกูลเฉิงจะถูกยึดทรัพย์และถูกฆ่าล้างยกตระกูลในปีที่หกหลังจากที่เขาออกจากตระกูล อย่างมากที่สุดข้างกายเขาก็คงจะมีบ่าวรับใช้ผู้ไว้ใจติดตามมาด้วยไม่กี่คนเช่นไหวซานกับซางมามา ต่อให้ตั้งใจบุกไปลานประหาร คาดว่าอย่างมากที่สุดก็คงจะช่วยได้เพียงคนหรือสองคนเท่านั้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น ด้วยลักษณะนิสัยของตน คงจะพิจารณาช่วยเฉิงสวี่ผู้มีสถานะเป็นทายาทสายตรงคนโตและหลานคนโตก่อนจริงๆ

 

 

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ที่โจวเสาจิ่นกล่าวมาทั้งหมดล้วนเป็นความจริง

 

 

นางย้อนกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งจริงๆ

 

 

ส่วนเฉิงสวี่ เกรงว่าจะไม่ได้รังแกโจวเสาจิ่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเสียแล้ว

 

 

โจวเสาจิ่นคงจะมีเรื่องผิดใจกับตระกูลเฉิง!

 

 

เพียงแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาซักไซ้ไล่เลียงเรื่องเหล่านี้

 

 

วันนี้เขาซักถามไปมากจนเด็กน้อยรู้สึกอึดอัดจนไม่รู้จะตอบอย่างไรแล้ว

 

 

เอาไว้วันหลังหากมีโอกาสค่อยๆ สอบถามเพิ่มทีละนิดจะดีกว่า

 

 

อย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้นางถูกเฉิงสวี่ข่มเหงรังแกดังเช่นชาติก่อน

 

 

เฉิงฉือเอ่ยถามโจวเสาจิ่น “ท่านผู้นำตระกูลจวนรองสิ้นใจตายเมื่อไร”

 

 

น้ำเสียงที่เย้าหยอกและผ่อนคลายของเขาเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา

 

 

โจวเสาจิ่นสัมผัสได้ในทันที

 

 

นางไม่อาจปกปิดความปั่นป่วนในใจได้ รีบกล่าวว่า “ปีกุ๋ยเหม่า หรือก็คือรัชศกจื้อเต๋อปีที่ยี่สิบหกเจ้าค่ะ”

 

 

สุดท้ายมารดาก็อดทนมีชีวิตยืนนานกว่าตาเฒ่าเฉิงซวี่ผู้นั้น!

 

 

ในใจของเฉิงฉือมีความเศร้าสลดกระเพื่อมอยู่อย่างอธิบายไม่ได้

 

 

เขาถามโจวเสาจิ่นว่า “เรื่องที่ย้อนกลับมามีชีวิตใหม่ ยังมีผู้ใดทราบอีกหรือไม่”

 

 

“มีแค่ท่านที่ทราบเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นยิ้มตอบอย่างขมขื่น “ท่านพี่ไม่เชื่อ ข้าเองก็กลัวจะทำให้พี่สาวตื่นตระหนกด้วยเจ้าค่ะ”

 

 

เฉิงฉือกล่าว “นางเป็นเพียงสตรีในห้องหอที่ยังอ่อนวัย ทั้งยังเป็นผู้มีการศึกษาที่ยึดในหลักเหตุและผล ย่อมไม่มีทางยอมรับเรื่องเหนือธรรมชาติเหล่านี้ได้”

 

 

แต่เหตุใดท่านน้าฉือถึงได้ยอมรับได้เล่า

 

 

โจวเสาจิ่นอยากจะเอ่ยถามหนึ่งประโยคนี้เหลือเกิน แต่พอถ้อยคำตีตื้นขึ้นมาถึงริมฝีปาก นางก็กลัวจะทำลายบรรยากาศในตอนนี้ไป จึงกลืนถ้อยคำนั้นลงไป ตัดสินใจว่าค่อยหาโอกาสสอบถามท่านน้าฉือใหม่ดีๆ อีกครั้งจะดีกว่า

 

 

เรื่องนี้ต้องสลับซับซ้อนมากกว่าที่ตนจินตนาการไว้เป็นแน่!

 

 

เฉิงฉือสาวเท้าเดินวนไปมาอยู่ในห้อง

 

 

เรื่องที่โจวเสาจิ่นรู้มีไม่มากนัก ทว่าแต่ละเรื่องล้วนบ่งชี้เหตุการณ์สำคัญ นอกจากนี้ฟังจากน้ำเสียงของนางแล้ว หลังจากที่นางย้อนกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ก็เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว หนำซ้ำเหตุการณ์เหล่านี้ล้วนแปรเปลี่ยนไปจากผลลัพธ์ในชาติที่แล้วอีกด้วย เกรงว่าแม้แต่นางเองก็ไม่รู้ว่าหลายๆ เหตุการณ์ผันเปลี่ยนไปอย่างไร หรือดำเนินต่อไปอย่างไร เรื่องนี้ต้องให้เขากับนางมานั่งวิเคราะห์กันอย่างถ้วนถี่ ทว่าหลังจากที่โจวชูจิ่นแต่งงานแล้ว โจวเสาจิ่นคงจะต้องติดตามหลี่ซื่อไปอยู่ที่เมืองเป่าติ้ง…

 

 

เฉิงฉือตัดสินใจในทันทีทันใด

 

 

ทว่าเขายังไม่ทันได้สอบถามความคิดเห็นของโจวเสาจิ่น ข้างนอกประตูก็มีเสียงที่เจือความกังวลหลายส่วนของซางมามาดังขึ้นมา “นายท่านสี่ แม่นางปี้อวี้ผู้เป็นสาวใช้ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่ามาเจ้าค่ะ บอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าทราบว่าคุณหนูรองมาเยี่ยม ได้รับคำสั่งจากฮูหยินผู้เฒ่า ให้มาเชิญคุณหนูรองไปคุยด้วยเจ้าค่ะ…”

 

 

นี่ผู้ใดไปแกว่งลิ้นกระซิบให้มารดาทราบกัน

 

 

สีหน้าของเฉิงฉือไม่น่าดูเล็กน้อย

 

 

โจวเสาจิ่นเหงื่อตกด้วยความกระดาก ไม่กล้ามองเฉิงฉือ

 

 

ตอนที่นางมาได้สั่งชุนหว่านเอาไว้ว่า หากนางยังไม่กลับเรือนหว่านเซียงภายในครึ่งชั่วยาม ให้ชุนหว่านไปหาฮูหยินผู้เฒ่าที่เรือนหานปี้ซานเพื่อตามหานางที่นั่น

 

 

ถึงแม้ว่าผู้เป็นมารดาล้วนเข้าข้างบุตรชาย แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นนั้น นางก็อาจจะหาประโยชน์จากจุดนี้ได้!

 

 

……………………………………….