ตอนที่ 251 เครื่องประดับ

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

แน่นอนว่าเฉิงฉือไม่ได้ฉุกคิดเลยว่าเป็นโจวเสาจิ่น

 

 

ในเมื่อมารดาให้คนเรียกโจวเสาจิ่นไปพบ เขาจะรั้งโจวเสาจิ่นเอาไว้อีกก็คงไม่เหมาะสมนัก

 

 

เขากล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “เจ้าจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยเองได้หรือไม่ อยากให้ข้าเรียกหนานผิงมาช่วยเจ้าสักหน่อยหรือไม่”

 

 

ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นขึ้นสีแดงเรื่อ

 

 

เมื่อครู่นางทั้งร้องไห้ฟูมฟายทั้งเอะอะโวยวาย กลัวว่าอาภรณ์คงจะยุ่งเหยิงหมดแล้ว หากเดินออกไปเช่นนี้ ถูกบ่าวหญิงเหล่านั้นเห็นเข้าจะถูกตราหน้าและนินทาว่าร้ายเอาได้

 

 

“ข้าทำเองได้เจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นรีบกล่าว

 

 

เฉิงฉือรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง

 

 

เรื่องของโจวเสาจิ่นนั้นยิ่งคนรู้น้อยเท่าไรยิ่งดี

 

 

เขาลูบศีรษะนางประหนึ่งกล่อมเด็กน้อย พลางกล่าวเสียงเบาว่า “เดิมทีคนไร้ความผิด แต่เพราะครอบครองหยกจึงมีความผิด เรื่องที่เจ้าบอกข้าในวันนี้อย่าไปบอกผู้ใดจะดีที่สุด หากมีคนถาม เจ้าก็บอกว่าเล่นหมากล้อมกับข้าแล้วแพ้ ซ้ำยังถูกข้าตำหนิไปสองสามประโยค จึงรู้สึกเสียใจ ในโลกนี้มีคนทุกประเภท อีกทั้งเจ้ายังพบเจอกับเรื่องน่าอัศจรรย์เช่นนั้น หากว่าถูกคนอื่นเฝ้าจับตามอง ถูกคนอื่นใช้ประโยชน์ยังนับเป็นเรื่องเล็ก เพียงแต่เกรงว่าจะมีคนที่จิตใจคับแคบบางคน อยากจะใช้เจ้าสำหรับผลประโยชน์ของเขาเพียงคนเดียว กักขังเจ้าเอาไว้ทำให้พวกข้าต่างก็ตามหาไม่เจอ เช่นนั้นคงจะลำบากเสียแล้ว”

 

 

เรื่องย้อนกลับมามีชีวิตใหม่เป็นเสมือนกับศิลาก้อนใหญ่ที่กดทับทรวงอกของโจวเสาจิ่นเอาไว้ก็ไม่ปาน นางกลัวจะถูกผู้อื่นค้นพบและมองนางเป็นตัวประหลาด แต่นึกไม่ถึงว่า ประสบการณ์ของตนกลับเปรียบเหมือนหยกเหอซื่อปี้อันล้ำค่าในสายตาของท่านน้าฉือ

 

 

โจวเสาจิ่นพลันคิดว่าคราวเคราะห์ของตนก็ไม่ได้เลวร้ายถึงเพียงนั้นในทันใด

 

 

นางพยักหน้ารัวๆ “ข้าจะไม่บอกผู้ใดเจ้าค่ะ”

 

 

เฉิงฉือเห็นท่าทางของนางที่เหมือนไม่ตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ จึงยังรู้สึกไม่ค่อยวางใจ ขู่นางต่อไปอีกว่า “หากเจ้าถูกคนอื่นลักพาตัวไปด้วยเหตุนี้ ข้าจะไม่สนใจเจ้าอีก เข้าใจหรือไม่”

 

 

ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นร้อนผะผ่าว

 

 

ท่านน้าฉือทำเหมือนกับนางเป็นเด็กจริงๆ

 

 

อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกที่ถูกคนอื่นปฏิบัติด้วยประหนึ่งเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง…ก็ไม่เลวสักเท่าใด

 

 

นางรีบสัญญาว่า “นอกจากท่านน้าฉือแล้ว ข้าจะไม่บอกผู้ใดแน่นอนเจ้าค่ะ”

 

 

เฉิงฉือจึงวางใจลงได้บ้าง ชี้ไปที่ห้องชั้นใน พลางกล่าว “ไปจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วพวกเราค่อยไปหาฮูหยินผู้เฒ่า”

 

 

โจวเสาจิ่นเดินเข้าไปในห้องชั้นในด้วยความอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย

 

 

ห้องชั้นในเป็นห้องพักเล็กๆ ห้องหนึ่ง ข้างผนังวางเตียงเคลือบเงาตัวเล็กเอาไว้ตัวหนึ่ง แขวนไว้ด้วยผ้าม่านสีขาวเนื้อละเอียด ข้างหน้าต่างวางโต๊ะเขียนหนังสือ นอกจากชุดเครื่องเขียนแล้วยังวางกระถางเซี่ยนหยางที่ปลูกต้นว่านแสนสุขไว้ด้วย บนชั้นวางของประดับวางไว้ด้วยตำราหรือม้วนหนังสือมากมายหลายประเภท

 

 

ไม่รู้ว่าในม้วนหนังสือนั้นจะวาดแผนที่อะไรที่ท่านน้าฉือพูดถึงตอนที่อยู่บนเรือหรือไม่

 

 

โจวเสาจิ่นอยากจะแง้มดูเหลือเกิน

 

 

นางหันศีรษะมองออกไปนอกห้อง เห็นปลายชุดเผาจื่อผ้าไหมหังโจวสีเทาไร้ลวดลายของเฉิงฉือพอดี

 

 

โจวเสาจิ่นทอดถอนใจอย่างผิดหวัง

 

 

หันศีรษะกลับมาแล้วเห็นกรอบกระจกที่หัวเตียง

 

 

กรอบกระจกนั้นทำจากไม้จันทร์แดง ติดไว้ด้วยกระจกทรงกลมแบบตะวันตกบานหนึ่ง เผยให้คนเห็นความวิจิตรอันโอ่อ่า

 

 

โจวเสาจิ่นมุ่ยปาก

 

 

ท่านน้าฉือช่างฟุ่มเฟือยยิ่งนัก

 

 

ไม่คาดคิดว่าบนกรอบกระจกจะติดกระจกแบบตะวันตกเอาไว้ด้วย

 

 

นางยืนอยู่หน้ากระจกแล้วเอียงซ้ายเอียงขวาสำรวจมองดวงหน้าของตัวเอง

 

 

ผิวขาวผุดผ่องดั่งหยก ไม่มีผดผื่นหรือรอยแผลใดๆ เพียงแต่ดวงตาแดงเรื่อและบวมเป่งเล็กน้อยเท่านั้น

 

 

โจวเสาจิ่นคลี่ยิ้มอย่างขัดเขิน มองกระจกแล้วแต่งหน้าแต่งตัวใหม่ให้เรียบร้อย จากนั้นก็ออกจากห้องไป

 

 

ไม่รู้ว่าเฉิงฉือเปลี่ยนชุดเป็นชุดเต้าเผาผ้าเนื้อละเอียดสีเขียวไม้ไผ่ตั้งแต่เมื่อไร สวมทับไว้ด้วยเสื้อคลุมแขนกว้าง ท่าทางงามสง่าราวเทพเซียนเล็กน้อย

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านน้าฉือ ปีนั้นท่านไปจุดธูปเทียนแรกแห่งปีที่เขาหลงหู่จริงๆ หรือเจ้าคะ เช่นนั้นก็ไม่ได้ฉลองปีใหม่ที่จวนอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”

 

 

“ใช่แล้ว!” เฉิงฉือยิ้มตอบโดยไม่ต้องคิด “ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้บอกหรือว่าไม่ค่อยได้เห็นข้าสักเท่าไร ปกติข้าเดินทางอยู่ข้างนอกตลอดปี” ขณะที่เขากล่าว ก็เปิดประตูห้องหนังสือ

 

 

โจวเสาจิ่นรีบตามออกไป

 

 

ซางมามากับปี้อวี้ต่างรออยู่ด้านนอก

 

 

ปี้อวี้ยังดี เป็นเพียงคนที่ได้รับคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่าให้มาเชิญโจวเสาจิ่นไปพบเท่านั้น แต่ซางมามากลับได้ยินเสียงกรีดร้องโวยวายรางๆ อยู่บ้าง พอเห็นว่าโจวเสาจิ่นมีท่าทางปกติดี เดินออกมาด้วยดวงหน้าที่ประดับรอยยิ้มน้อยๆ นางจึงอดพรูลมหายใจยาวอย่างโล่งใจไม่ได้

 

 

เฉิงฉือเดินตามปี้อวี้ไปที่เรือนหลัก พลางเอ่ยถามนางไปด้วยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังทำอะไรอยู่หรือ”

 

 

ปี้อวี้ยิ้มตอบ “ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังตรวจดูเครื่องประดับเก่าๆ อยู่เจ้าค่ะ! กล่าวว่านางเองก็จำไม่ได้แล้วว่าตนมีเครื่องประดับอะไรบ้าง จึงถือโอกาสที่หลายวันมานี้อากาศสดใส นำออกมาดูเจ้าค่ะ”

 

 

โจวเสาจิ่นเหงื่อตก

 

 

ผู้อื่นนำตำราหนังสือหรือเสื้อผ้าอาภรณ์ออกมาผึ่งแดด ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับนำเครื่องประดับออกมาผึ่งแดด…

 

 

เห็นได้ชัดว่าเฉิงฉือกับโจวเสาจิ่นคิดไปทางเดียวกัน กล่าวว่า “ข้าจำได้ว่าทางวัดจะนำพระธรรมออกมาตาก เป็นช่วงเดือนอะไรนะ พวกเจ้าติดตามฮูหยินผู้เฒ่าออกไปด้วยก็ดีเหมือนกัน”

 

 

ปี้อวี้กล่าวยิ้มๆ “ตากพระธรรมกันในช่วงวันที่หกเดือนหกเจ้าค่ะ ช่วงนี้ยังถือว่าเร็วไปสักหน่อย”

 

 

เฉิงฉือเห็นว่านางตอบอย่างสุภาพ ไม่โอหังหรือประจบสอพลอแต่อย่างใด จึงชำเลืองมองดูนางอีกทีหนึ่ง

 

 

ปี้อวี้รีบก้มหน้าลงอย่างนอบน้อม

 

 

สีหน้าพึงพอใจสายหนึ่งวาบผ่านดวงหน้าของเฉิงฉือ เดินขึ้นเรือนหลักที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพำนักอยู่

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังนำเครื่องประดับออกมาตากจริงๆ

 

 

บนตั่งหลัวฮั่น วงกบหน้าต่าง โต๊ะน้ำชา และเก้าอี้มีเท้าแขนล้วนเต็มไปด้วยกล่องเครื่องประดับหลากหลายชนิดที่วางเอาไว้ ยังมีบางกล่องที่กองไว้กับพื้นด้วย ภายในห้องสุกสกาวด้วยอัญมณี ส่องสว่างไปด้วยสีทองอร่ามและเขียวมรกต

 

 

ครั้นเห็นโจวเสาจิ่นกับเฉิงฉือเดินเข้ามา ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็กวักมือเรียกพวกเขาพลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเจ้ามาพอดี มาช่วยข้าตรวจดูหน่อยเร็วเข้าว่าเครื่องประดับชิ้นไหนดูงดงาม ชิ้นไหนไม่งดงาม”

 

 

โจวเสาจิ่นเอ่ยถามอย่างสงสัย “ท่านจะนำเครื่องประดับไปหล่อใหม่หรือเจ้าคะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางตอบ “เลือกชิ้นที่ดูไม่สวยหรือล้าสมัยออกมาวางไว้ข้างหนึ่งก่อน จะใช้สำหรับเป็นของรางวัลหรือหล่อขึ้นใหม่ข้าก็ยังไม่ได้ตัดสินใจเลย!”

 

 

โจวเสาจิ่นเห็นว่าข้างๆ กล่องที่เปิดอ้าอยู่นั้นมีปิ่นยาวทองคำประดับเซียนท้อมงคลวางอยู่ เอ่ยถามว่า “ปิ่นนี้ก็ไม่เอาแล้วหรือเจ้าคะ”

 

 

“ไม่เอาแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตอบ “เป็นลายเก่าของเมื่อหลายสิบปีก่อน เว้นแต่เนื้อทองจะมีคุณภาพดีเล็กน้อย งานฝีมือหรือลวดลายล้วนล้าสมัยไปเสียแล้ว”

 

 

โจวเสาจิ่นมองดูปิ่นอันนั้นที่แกะสลักลวดลายอย่างประณีต มองเห็นกิ่งก้านใบไม้แต่ละก้านแต่ละใบของต้นเซียนท้อได้อย่างชัดเจน สมจริงยิ่งนัก จึงอดรู้สึกเสียดายไม่ได้ หยิบขึ้นมาพินิจดู

 

 

หลายปีมานี้การฝังเครื่องประดับทองด้วยหยกหรือการหล่อเป็นไหมทองนั้นเป็นที่นิยม ปิ่นนี้มีน้ำหนักมาก ประดับศีรษะแล้วจะรู้สึกหนักเล็กน้อย ล้าสมัยไปแล้วจริงๆ

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มพลางถามว่า “เจ้าชอบหรือ”

 

 

โจวเสาจิ่นรีบตอบว่า “ข้าไม่ค่อยชอบเครื่องประดับที่ทั้งหนาและหนักเช่นนี้เจ้าค่ะ”

 

 

นางเคยสัมผัสจิตใจอันกว้างขวางของฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาแล้วด้วยตนเอง นางกลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะเกิดความคิดชั่วแล่น แล้วมอบปิ่นอันนี้แก่นางเป็นรางวัล

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าเห็นด้วยพลางกล่าว “เด็กสาวเช่นพวกเจ้าล้วนไม่ชอบเครื่องประดับเช่นนี้จริงๆ” นางครุ่นคิดแล้วบอกหมาเหน่าว่า “เจ้าไปหาจี้ทองแสงจันทราอาบหอประจิมอันนั้นออกมาให้คุณหนูรองที”

 

 

โจวเสาจิ่นตกใจสะดุ้งโหยง หมายจะปฏิเสธ แต่กลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวเพียงเอามาให้ตนดูเท่านั้น แล้วตนคิดเป็นตุเป็นตะไปเอง ได้แต่กล่าวยิ้มๆ ว่า “เป็นจี้ทองที่ท่านเก็บสะสมเอาไว้หรือเจ้าคะ”

 

 

“ไม่ถึงกับเป็นจี้ทองที่เก็บสะสมเอาไว้หรอก” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าว “แม้เป็นของเก่านานหลายปีแล้ว แต่เป็นของที่มาจากวัง หลายปีมานี้ข้าไม่เคยเห็นจี้อีกอันที่เหมือนกันเลย”

 

 

ระหว่างที่พูดอยู่นั้น หมาเหน่าก็ถือกล่องเคลือบเงาสีแดงวาดลายดอกกุหลาบสีทองกล่องหนึ่งเดินเข้ามา

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเปิดกล่อง แล้วกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “เจ้าดูสิ!”

 

 

โจวเสาจิ่นตะลึงพรึงเพริด

 

 

จี้ทองแสงจันทราอาบหอประจิมชิ้นนั้นทำจากทองคำ อย่างน้อยก็หนักสิบสองถึงสิบสามเหลี่ยง กลางจี้เป็นตำหนักที่สูงหลายชั้นราวกับวิมานหยกกลางพระจันทร์ก็ไม่ปาน ข้างหลังตำหนักเป็นดวงจันทร์พรายแสงครึ่งดวง ข้างซ้ายเป็นต้นกุ้ยฮวาต้นหนึ่ง ใต้ต้นกุ้ยฮวามีกระต่ายน้อยตัวหนึ่งนั่งอยู่ ไม่ต้องพูดถึงกระต่ายน้อยตัวนั้นเลย ท่าทางของมันราวกับมีชีวิตจริงๆ ก็ไม่ปาน สมจริงยิ่งนัก ส่วนใบไม้ของต้นกุ้ยฮวาต้นนั้นก็บางเฉียบประหนึ่งกระดาษบางเบา แขวนบนกิ่งไม้เป็นใบๆ ครั้นแตะทีหนึ่ง ใบไม้ก็กระทบกันเกิดเสียงกรุ๊งกริ๊งไพเราะ ส่องสว่างแพรวพราย ประณีตและงดงามเหลือบรรยาย

 

 

“งดงามจริงๆ เจ้าค่ะ!” นางเอ่ยชม

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหยิบกล่องมาวางในมือของนาง “ในเมื่อเห็นว่างดงาม ก็เอาไปใส่เล่นเถอะ!”

 

 

“จะได้อย่างไรเจ้าคะ!” โจวเสาจิ่นกล่าว “ทันทีที่ข้ามาถึงก็แย่งของรักของหวงของท่านเสียแล้ว…”

 

 

“นี่นับเป็นของรักของหวงอะไรกัน” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ “ก็มีแต่เด็กสาวเฉกเช่นพวกเจ้าที่ชื่นชอบสิ่งของเหล่านี้” จากนั้นก็กล่าวอีกว่า “เจ้าไม่ต้องเกรงใจข้า ข้ายังมีของที่ล้ำค่ายิ่งกว่านี้อีก ของเหล่านั้นเป็นของที่เตรียมจะนำออกมายามที่ข้าใกล้จะจากโลกนี้ไป ให้เด็กสาวเช่นพวกเจ้าจดจำเอาไว้ หากได้ยินว่าข้าใกล้จะสิ้นใจให้รีบรุดกลับมาเตรียมแบ่งของเหล่านี้ของข้า”

 

 

โจวเสาจิ่นอดคลี่ยิ้มขึ้นมาไม่ได้ แล้วรับจี้ทองแสงจันทราอาบหอประจิมเอาไว้

 

 

เฉิงฉือจึงกล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่ ท่านให้ข้านั่งลงสักที่หนึ่งได้หรือไม่ขอรับ”

 

 

เจินจูและคนอื่นๆ รีบเข้ามาเก็บของ

 

 

ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับโบกมือ พลางกล่าว “ข้าย้ายไปที่อื่นดีกว่า หากให้พวกเจ้าเก็บเครื่องประดับเหล่านี้ไป ประเดี๋ยวข้าจะจำไม่ได้ว่าเครื่องประดับเหล่านั้นเก็บเอาไว้ที่ใด”

 

 

โจวเสาจิ่นจึงประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปที่ห้องนั่งเล่นข้างๆ

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถามโจวเสาจิ่นว่า “เจ้ามาทำไมหรือ”

 

 

โจวเสาจิ่นตอบตามที่เฉิงฉือบอก “ข้ามาเล่นหมากล้อมกับท่านน้าฉือเจ้าค่ะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตอบว่า “อ้อ” เสียงยาวคำหนึ่ง

 

 

โจวเสาจิ่นกลัวจะถูกจับได้ จึงหลุบตาลงเล็กน้อย

 

 

เฉิงฉือไม่รู้จะกล่าวอย่างไรดี

 

 

เด็กน้อยคนนี้เหตุใดยามเฉลียวฉลาดถึงกับมองออกแม้กระทั่งว่าเวลาใดที่เขาโกรธขึ้งหรือดีใจ แต่ยามโง่งมขึ้นมา ผู้อื่นถามอะไรนางก็ตอบไปตรงๆ อย่างนั้นเล่า

 

 

หากนางมาหาเขาเพื่อเล่นหมากล้อม ตามมารยาทแล้วต้องไปคารวะมารดาก่อน นางยังไม่ได้ไปทำความเคารพมารดาก็ไปที่เรือนหลีอินของตน นี่มิใช่ว่ากำลังบอกมารดาอย่างโจ่งแจ้งว่านางถูกเขาเรียกไปพบหรอกหรือ นางตอบไปเช่นนี้ ไม่ใช่ว่ายิ่งเป็นการกลบเกลื่อนที่ไม่แนบเนียนราวกับกำลังบอกว่าตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึงอยู่ก็ไม่ปานหรอกหรือ

 

 

ต่อให้มารดาไม่ได้สงสัยก็ต้องรู้สึกแคลงใจบ้างเสียแล้ว

 

 

เขานวดขมับ

 

 

ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับทำทีเสมือนฟังความนัยนี้ไม่ออก ยิ้มพลางเอ่ยถึงเรื่องอื่นว่า “การเตรียมงานในบ้านเตรียมไปถึงไหนแล้ว คนของตระกูลเลี่ยวมาถึงแล้วหรือยัง คราวก่อนบอกมารดาเลี้ยงของเจ้าว่าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับก็ยังไม่ได้ทำ เจ้ากลับไปบอกมารดาเลี้ยงของเจ้าสักหน่อย รอให้นางจัดการธุระต่างๆ ในช่วงนี้ให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าจะเชิญนางมาฟังนิทานที่จวน”

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าวขอบคุณแทนหลี่ซื่อ

 

 

ปี้อวี้เดินเข้ามายิ้มๆ พลางกล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ ฮูหยินใหญ่กับฮูหยินที่เก้าของตระกูลกู้มาหาเจ้าค่ะ”

 

 

ฮูหยินที่เก้าของตระกูลกู้ ก็คือฮูหยินของกู้ชิงเหอ

 

 

มารดาของนางกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงกล่าวกับโจวเสาจิ่นและเฉิงฉือว่า “พวกเจ้าไปเล่นหมากล้อมเถอะ! ประเดี๋ยวก็ไม่ต้องมาอำลาข้าแล้ว ข้าว่าที่ฮูหยินใหญ่กับฮูหยินที่เก้าของตระกูลมานั้นเกรงว่าจะต้องมีเรื่องสำคัญ”

 

 

เฉิงฉือกับโจวเสาจิ่นถอยออกไป

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวบอกปี้อวี้ว่า “เชิญฮูหยินใหญ่กับฮูหยินที่เก้าของตระกูลกัวไปนั่งที่ห้องรับรองแขก”

 

 

ห้องรับรองแขกของเรือนหานปี้ซานกับเรือนหลีอินที่เฉิงฉือพำนักอยู่ตั้งอยู่คนละทิศ ต่อให้เดินผิดทาง สตรีของตระกูลกู้ก็ไม่มีทางได้พบโจวเสาจิ่นกับเฉิงฉือได้เลย

 

 

เฉิงฉือหยิบตั๋วเงินใบหนึ่งให้โจวเสาจิ่น พลางกล่าว “นี่เป็นของขวัญแสดงความยินดีจากข้ามอบให้พี่สาวของเจ้า เมื่อเจ้ากลับไปก็จะได้มีข้ออ้างหนึ่งสำหรับวันนี้”

 

 

โจวเสาจิ่นคลี่ออกมาดู เป็นเงินจำนวนสองร้อยเหลี่ยง

 

 

ปกติเวลาที่คนทั่วไปมอบของขวัญตามมารยาท อย่างมากก็ยี่สิบถึงสามสิบเหลี่ยง อย่างน้อยก็ไม่กี่เหลี่ยง

 

 

นี่ก็ออกจะมากเกินไปสักหน่อยกระมัง

 

 

อย่างไรก็ตาม เขาล้วงออกมาให้นางโดยไม่ได้คิดเช่นนี้ แสดงว่าเป็นเรื่องที่คิดขึ้นมาในทันทีทันใดนั้นเป็นแน่

 

 

โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตัก นึกถึงกรอบกระจกที่ติดกระจกแบบตะวันตกภายในห้องของเฉิงฉือ ก็คลี่ยิ้มพลางรับตั๋วเงินมาใส่ในถุงเงิน กล่าวว่า “เช่นนั้นข้าก็ขอขอบคุณท่านน้าฉือแทนพี่สาวของข้าแล้วเจ้าค่ะ!”

 

 

จากนั้นก็ยอบกายทำความเคารพเฉิงฉือ แล้วพาชุนหว่านกลับถนนผิงเฉียวไป

 

 

………………………………………..