ตอนที่ 252 ปั้นเรื่องขึ้นมา

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

เฉิงฉือมองเงาร่างของโจวเสาจิ่นที่ค่อยๆ ลับหายไปพร้อมกับบ่นพึมพำในใจ

 

 

เด็กน้อยคนนี้ ไม่เกรงใจกันเลยสักนิด รับเงินสองร้อยเหลี่ยงของเขาไป แม้แต่ถ้อยคำเกรงใจตามมารยาทสักประโยคก็ไม่มี

 

 

อย่างไรก็ช่างมันเถอะ ต่อไปทั้งสองคนยังต้องร่วมมือกันอีก จึงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับนางในเรื่องหยุมหยิมเหล่านี้อีก

 

 

เขาหมุนกายเตรียมจะกลับเรือนหลีอิน

 

 

ทว่าเฝ่ยชุ่ยกลับวิ่งกระหืดกระหอบมา “นายท่านสี่ ฮูหยินผู้เฒ่าเชิญท่านไปพูดคุยด้วยเจ้าค่ะ”

 

 

เฉิงฉือเอ่ยถามอย่างฉงน “ฮูหยินผู้เฒ่ามีแขกมิใช่หรือ”

 

 

เฝ่ยชุ่ยยิ้มพลางตอบ “บ่าวก็ไม่ทราบเหมือนกันเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าให้บ่าวนำความมาแจ้ง บ่าวก็เพียงนำความมาแจ้งเท่านั้นเจ้าค่ะ”

 

 

เฉิงฉือครุ่นคิด แล้วไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัว

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดเพ่ยจื่อสีดำอมน้ำตาลลายนกกระเรียนมงกุฎแดง มวยผมหลวมๆ ก่อนหน้าก็เกล้าขึ้นเป็นมวยใหม่ ปักไว้ด้วยปิ่นหยกเหอเถียนสีขาวไร้ที่ติ นั่งอยู่บนตั่งหลัวฮั่นพลางจิบน้ำชา เจินจูนำสาวใช้เด็กสองสามคนเข้ามาเก็บกระจกและผ้าเช็ดหน้า

 

 

นางชี้ไปยังที่นั่งตรงกันข้ามกับของตัวเอง พลางกล่าว “นั่งลงคุยกันสักหน่อย อยากดื่มชาอะไรหรือไม่”

 

 

นี่เท่ากับว่าต้องการสนทนานานสักหน่อย

 

 

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “ฮูหยินสองท่านของตระกูลกู้กำลังรอท่านอยู่มิใช่หรือขอรับ ท่านไม่ไปพบแขกก่อนหรือ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวชำเลืองมองบุตรชายด้วยท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม พลางกล่าว “แขกที่ไหนจะสำคัญไปกว่าเจ้า! ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าเรียกหลานสาวคนเล็กของตนมา”

 

 

เฉิงฉือชายตามองคนในห้องครั้งหนึ่ง เลิกชุดขึ้นมาแล้วนั่งลงตรงกันข้ามกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างสบายๆ สั่งเจินจูว่า “เช่นนั้นก็ชงชาเขียวปี้หลัวชุนมาให้ข้า นี่ก็เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว ดื่มชาเขียวสักหน่อยช่วยดับร้อนได้ดีกว่า”

 

 

เจินจูยิ้มพลางยกน้ำชาและของว่างมาขึ้นโต๊ะ แล้วนำสาวใช้เด็กในห้องถอยออกไป

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลุกขึ้นมาแล้วหมุนกายหยิบหรูอี้หยกชิ้นหนึ่งจากชั้นวางของประดับไปตีเฉิงฉือ “เจ้าทำอะไรลงไป ทำให้บุตรสาวของผู้อื่นตกใจจนต้องวิ่งมาขอความช่วยเหลือจากข้า! หืม!”

 

 

เฉิงฉือเอียงตัวหลบ หรูอี้หยกชิ้นนั้นจึงตกบนไหล่ของเขา

 

 

“ท่านแม่ ข้าโตถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดท่านถึงยังทำเช่นนี้อยู่อีกขอรับ พอเกิดเรื่องขึ้นก็ตีบุตรชายของตนโดยไม่ซักถามถึงต้นสายปลายเหตุก่อนแม้แต่น้อย!” เขายกยิ้มพลางลูบหัวไหล่ไปด้วย กล่าวไปด้วยว่า “นางเป็นหลานสาวของข้า ข้าจะทำอะไรนางได้เล่า” ซ้ำยังกล่าวอีกว่า “นางมาขอความช่วยเหลือจากท่านหรือขอรับ แล้วมาขอความช่วยเหลือจากท่านได้อย่างไร”

 

 

โจวเสาจิ่นอยู่กับเขาตั้งแต่ต้นจนจบ เว้นเสียแต่ว่าจะวางแผนเอาไว้ก่อนที่นางจะมาหา

 

 

ครั้นนึกถึงความเป็นไปได้นี้แล้ว เพลิงโทสะในใจของเฉิงฉือก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

เขายังไม่ได้คิดบัญชีกับนางเลย ส่วนนางก็ดี กลับชิงมาฟ้องมารดาของเขาที่นี่เสียก่อนแล้ว

 

 

เด็กน้อยคนนี้ หากไม่จัดการสั่งสอนนางดีๆ ต่อไปนางคงจะเล่นซุกซนจนรื้อกระเบื้องหลังคาเอาได้!

 

 

ส่วนฮูหยินผู้เฒ่ากัวพอได้ตีบุตรชายแล้ว อาการกรุ่นโกรธก็คลายลง นั่งลงพลางเอ่ยถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

 

 

เฉิงฉือไม่คิดจะบอกเรื่องของโจวเสาจิ่นให้ผู้อื่นรู้แม้คนเดียว ในจำนวนนั้นนับรวมถึงฮูหยินผู้เฒ่ากัวผู้เป็นมารดาของตนด้วย

 

 

เขารู้ดีว่าการโกหกที่เนียนที่สุดก็คือการกล่าวเรื่องจริงสิบประโยคและเรื่องเท็จหนึ่งประโยค ยิ่งกว่านั้นเขายังมีเรื่องต้องไหว้วานมารดาอีก ด้วยเหตุนี้จึงปั้นเรื่องขึ้นมาในพริบตา “คราวก่อนเรื่องที่พี่ใหญ่กับหวงหลี่ช่วงชิงตำแหน่งเจ้ากรมพิธีการกันนั้น ข้าเคยส่งจดหมายไปให้พี่ใหญ่ เรื่องนี้ท่านก็น่าจะทราบแล้ว”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าหงึกๆ

 

 

เฉิงฉือกล่าว “ข่าวคราวนั้นได้รับผ่านมาจากเสาจิ่นเด็กผู้นั้น ทว่าผู้ที่ได้รับสารมาโดยตรงคือโจวต้าเฉิงขอรับ”

 

 

ต้าเฉิงคืออีกชื่อหนึ่งของโจวเจิ้น

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสีหน้าดำดิ่ง นั่งตัวตรงยิ่งขึ้น พลางเอ่ยถามอย่างเคร่งขรึมว่า “เช่นนั้นโจวต้าเฉิงมีวัตถุประสงค์อะไร”

 

 

เฉิงฉือตอบ “ตอนที่ข้ากลับมาได้ยินสาวใช้บอกว่าท่านเตรียมจะไปถนนผิงเฉียวพร้อมกับอาสะใภ้สี่เพื่อมอบหีบของขวัญแต่งงานให้กับคุณหนูใหญ่ตระกูลโจว พอนึกถึงว่าเสาจิ่นเด็กคนนั้นเคยติดตามพวกเราไปเขาผู่ถัวด้วย ต่อมาเมื่อร้านสาขาหังโจวส่งของมาให้นาง นางก็มาสอบถามความคิดเห็นของข้าก่อนแล้วถึงค่อยรับของเอาไว้ นางค่อนข้างเชื่อฟังและรู้ความ ข้าจึงอยากจะมอบของขวัญให้เป็นการส่วนตัวด้วยเช่นกัน แต่ไม่รู้ว่าโจวเจิ้นมีเจตนาอะไรให้เสาจิ่นนำความนี้มาแจ้งแก่ข้า ข้าจึงถือโอกาสเรียกเสาจิ่นมา เดิมทีอยากจะหาทางซักถามนางสักหน่อย แต่ไม่คาดคิดว่าจะเอ่ยถามถึงเรื่องเก่าในอดีตเข้า ทำให้นางร้องไห้ขึ้นมาขอรับ”

 

 

กล่าวถึงตรงนี้ เขาก็กล่าวอย่างขัดใจว่า “ข้าเห็นว่านางก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว เหตุใดถึงยังร้องห่มร้องไห้เหมือนเด็กเล็กๆ ทำให้ข้าค่อนข้างลำบากใจ ทว่าพอท่านเข้ามาก็ตีข้าด้วยหรูอี้ทันที โชคดีที่ข้าอยู่ที่เรือนหานปี้ซาน หากว่าอยู่ที่อื่น ก็ไม่รู้ว่าจะมีข่าวลืออะไรแพร่งพรายออกไปบ้าง!”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังรู้สึกคลางแคลงใจอยู่บ้าง เอ่ยถามว่า “เช่นนั้นเหตุใดสาวใช้ของเสาจิ่นถึงต้องมาหาข้าที่นี่ด้วยเล่า”

 

 

“ข้าว่าท่านวิตกกังวลมากเกินไป ท่านก็ยังไม่ยอมรับอีก” เฉิงฉือขุ่นเคืองจนเลือดขึ้นหน้า แต่ต่อหน้ามารดา กลับไม่กล้าเผยให้เห็นความผิดปกติแม้แต่น้อย กล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าข้ากลัวคนอื่นจะเข้าใจผิดหรอกหรือ ดังนั้นจึงให้เฝ่ยชุ่ยสาวใช้ข้างกายของท่านกับซางมามาไปเชิญเสาจิ่นพร้อมกัน ด้วยเหตุนี้หากสาวใช้ของนางไม่มาหาท่านที่นี่จะให้ไปหาที่ข้าหรือ ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก ข้าก็คงจะไม่หลบซ่อนแต่อย่างใด ไม่ว่าอย่างไรข้าก็เป็นน้าของนาง เรียกนางมาถามไถ่สักเรื่องหนึ่ง จะเป็นไรไปเล่า”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสำรวจมองบุตรชายคนเล็กของตนอย่างไม่หายข้องใจ พลางกล่าว “จริงหรือ”

 

 

“หากท่านไม่เชื่อ ก็ไปเรียกโจวเสาจิ่นมาถามตอนนี้เลยก็ได้ขอรับ” เฉิงฉือเอ่ยท้าสาบาน “ความตั้งใจดีของข้ากลับกลายเป็นเรื่องชั่วร้ายไปเสียได้!”

 

 

“ถ้อยคำของเจ้ามีเหตุผล” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวเห็นด้วย “จากปากของเจ้าข้ายังไม่ได้ยินความจริงเลยแม้สักประโยคเดียว เอาไว้ค่อยสอบถามเสาจิ่นสักวันก็แล้วกัน”

 

 

ทั้งตัวของเฉิงฉือชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น

 

 

เด็กน้อยผู้นั้นโง่งมยิ่ง เพียงแค่ถามก็มีช่องโหว่เต็มไปหมด!

 

 

ต่อให้มีช่องโหว่ก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือน้ำใจที่เขาอุตส่าห์มอบให้โจวต้าเฉิงไปเปล่าๆ ในครั้งนี้นางก็อาจจะทำให้สูญเปล่าไปด้วย กล่าวคือหากมีบุญคุณนี้แล้ว นางยังต้องกังวลว่าจะไม่มีที่ยืนอันมั่นคงในจวนหลักอยู่อีกหรือ!

 

 

เห็นทีว่าจะต้องให้คนส่งจดหมายไปให้โจวเสาจิ่น ไม่ให้นางหลุดปากออกไปถึงจะถูก

 

 

ขณะที่เฉิงฉือขบคิดอยู่นั้น ปากก็พูดกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “ท่านแม่ ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะปรึกษาท่านขอรับ ข้าอยากให้ท่านออกหน้ารับเสาจิ่นมาเลี้ยงดูอยู่ที่เรือนของท่าน”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวขมวดคิ้วมุ่นเป็นปมเล็กน้อย

 

 

นี่เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย

 

 

ไม่ต้องกล่าวถึงว่าโจวเสาจิ่นเติบโตอยู่ในจวนสี่มาตั้งแต่เล็กๆ หากนางรับโจวเสาจิ่นจากจวนสี่มาอาศัยอยู่ที่เรือนหานปี้ซานล่ะก็ จะตกเป็นที่สงสัยว่าช่วงชิงหลานรักของผู้อื่นมา ผู้คนจะกล่าวหาว่านางอาศัยอำนาจรังแกผู้อื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าหากโจวเสาจิ่นเห็นด้วยกับการมาอาศัยอยู่ที่เรือนของนาง นั่นก็จะยิ่งยุ่งยากไปกันใหญ่ ผู้คนจะครหาว่านางเนรคุณ ไม่รู้จักกตัญญูรู้คุณ

 

 

แต่บุตรชายไม่ใช่ผู้ที่จะเอ่ยปากขอร้องตามอำเภอใจโดยไม่ขบคิดประเภทนั้น นางจึงกล่าวว่า “เจ้าบอกเหตุผลให้ข้าฟังก่อน แล้วข้าจะพิจารณาดู”

 

 

หลังจากที่เฉิงฉือเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้นกับโจวเสาจิ่น เขาจึงตัดสินใจที่จะทำเช่นนี้

 

 

ด้วยลักษณะนิสัยของโจวเสาจิ่นที่อ่อนแอเกินไป หากปล่อยให้อาศัยอยู่ข้างนอก เขารู้สึกไม่อาจวางใจได้จริงๆ

 

 

อย่างน้อย ก็ต้องปกป้องนางจนโตขึ้นอีกสักหน่อย ให้ได้แต่งงานกับสามีสักคนไปอย่างลุล่วงถึงจะถูก

 

 

ส่วนเหตุผล เฉิงฉือก็คิดเตรียมเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

เขาเอ่ยตอบว่า “ท่านแม่ ท่านลองคิดดู เหตุใดโจวต้าเฉิงถึงต้องใช้เสาจิ่นมาแจ้งเรื่องการช่วงชิงตำแหน่งเจ้ากรมพิธีการระหว่างหวงหลี่กับพี่ใหญ่ให้กับพวกเราด้วย เกรงว่าอาจเป็นเพราะหวาดระแวงจวนสี่กระมัง จะว่าไปแล้วความสัมพันธ์ระหว่างโจวต้าเฉิงกับจวนสี่ก็กลมเกลียวกันยิ่งนัก แล้วเจตนาของเขาที่ทำเช่นนี้คืออะไรเล่า ข้าอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายดายนัก ท่านก็รู้อุปนิสัยของข้าดี แทนที่จะปล่อยให้ถูกโจมตีอย่างจำยอม ไม่สู้ชิงโจมตีก่อนเสียยังจะดีกว่า พวกเราแสดงความต้องการอยากผูกมิตรกับโจวต้าเฉิงก่อนก็ไม่เสียหาย รับเสาจิ่นเข้ามาอย่างถูกต้องชอบธรรม รอให้ถึงยามที่ต้องหารือกับโจวต้าเฉิง อะไรๆ ก็คงจะชัดเจนขึ้นบ้าง หาไม่แล้วการรับเอาบุญคุณอันใหญ่หลวงถึงเพียงนี้มาจากเขามาเปล่าๆ ข้ารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย รู้สึกเหมือนกับว่าอาจจะมีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นได้อย่างไรอย่างนั้น!”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย กล่าวว่า “เจ้าสี่ ข้าเห็นว่าหลายปีมานี้เจ้าเดินทางไปมาอยู่ข้างนอก ไม่ใช่ว่าความคิดเริ่มจะเลยเถิดเกินไปแล้วหรอกหรือ ไม่ว่าโจวต้าเฉิงผู้นั้นจะมีเจตนาอะไร ในเมื่อพวกเรารับเอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว ต่อไปก็ต้องยอมกระทำในสิ่งที่ควรจะตอบแทน หาไม่แล้วก็ควรจะปฏิเสธเขาไปถึงจะถูก! การไปช่วงชิงบุตรสาวของผู้อื่นมาเช่นนี้ มันเรื่องอะไรกัน ข้าไม่เห็นด้วย!”

 

 

“ท่านแม่!” เฉิงฉือรู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก ยิ้มพลางกล่าวว่า “ท่านให้ข้าพูดให้จบก่อนจะได้หรือไม่ขอรับ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเงี่ยหูฟัง

 

 

เฉิงฉือกล่าว “ความจริงแล้วข้าก็มีเจตนาที่เห็นแก่ตัวแอบแฝงอยู่ขอรับ เสาจิ่นเด็กผู้นี้ ทั้งว่านอนสอนง่ายและรู้ความทั้งยังร่าเริงและน่ารักเป็นอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ที่หลานเซิงไปอยู่จิงเฉิงแล้ว ข้างกายของท่านก็ไม่มีผู้ใดอยู่ด้วยสักคน เรื่องงานแต่งงานของหลานเซิงก็กำหนดเป็นเดือนห้าของปีนี้เรียบร้อยแล้ว ผู้ที่นางจะแต่งงานด้วยคือบุตรชายจากตระกูลเผิงแห่งเหลียวเฉิงที่ซานตง ต่อไปเกรงว่าท่านอยากจะไปพบนางก็ยากลำบากเสียแล้ว วันนี้ตอนที่ข้าซักถามเด็กคนนั้น มิใช่ว่านางร้องไหหรอกหรือ ฟังจากน้ำเสียงแล้ว ดูเหมือนว่านางคงจะทราบจากมารดาเลี้ยงของนาง ว่าหลังจากที่พี่สาวของนางออกเรือนแล้ว บิดาของนางยังคงปรารถนาจะให้นางรั้งอยู่ที่ตระกูลเฉิงต่อไป นางคิดแล้วก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย ข้าอยากจะถามเด็กคนนั้นว่าเป็นอะไร นางก็เอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมบอกอะไรทั้งนั้น ข้าจะซักไซ้อีกก็ไม่ดีนัก ตอนที่ข้ากำลังสับสนทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้น ท่านก็ส่งคนมาเรียกนางพอดี หาไม่แล้วข้ายังไม่รู้จะหลุดพ้นจากสถานการณ์นั้นได้อย่างไร!”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวโปรดปรานโจวเสาจิ่นยิ่งนัก พอได้ยินแล้วก็ถามว่า “เจ้าสงสัยว่ามีคนรังแกเด็กผู้นั้นอย่างนั้นหรือ”

 

 

เฉิงฉือยิ้มพลางกล่าว “ตระกูลเฉกเช่นพวกเรา หลายคนเป็นยอดฝีมือในการสังเกตสีหน้าอารมณ์ และหลายคนก็เป็นผู้ที่ชื่นชอบประจบประแจงผู้ที่เหนือกว่าแต่เหยียบย่ำผู้ที่ต่ำกว่า ไม่ว่าเสาจิ่นจะกล่าวอย่างไร สุดท้ายก็เป็นเด็กที่ฝากให้จวนสี่ช่วยเลี้ยงดู ตระกูลของพวกเรามีขุนนางใหญ่ยศผิ่นขั้นสอง ขั้นสาม กระทั่งขั้นหนึ่งอยู่ไม่น้อย บางทีอาจจะมีบางคนที่คิดว่าเจ้าเมืองยศผิ่นขั้นสี่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรก็เป็นได้ขอรับ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกระหวัดนึกถึงสามีที่เสียไปแล้ว ยามนั้นบุตรชายสองคนต่างเป็นจิ้นซื่อกันแล้ว แต่เนื่องจากต้องไว้ทุกข์อยู่ที่บ้าน จวนรองยังมากระพือคลื่นให้โหมกระหน่ำ บางคนที่มองการณ์ตื้นเขินก็คิดว่าจวนหลักของพวกเขาจะรุ่งเรืองได้เพียงเท่านั้น จึงกลั่นแกล้งนางทั้งต่อหน้าและลับหลังอยู่ไม่น้อย ยิ่งกว่านั้นโจวเสาจิ่นยังเป็นเด็กสาวเช่นนี้ ซ้ำไปอาศัยอยู่ในเรือนชั้นในของจวนใหญ่โต สตรีและเด็กสาวข้างกายล้วนเป็นผู้ไม่มีการศึกษา…

 

 

“ก็ได้!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตัดสินใจในทันที “เรื่องแต่งงานของอี้เกอเอ๋อร์ก็ผลักออกไปชั่วคราว รับเสาจิ่นมาก่อน แล้วค่อยหารือเรื่องแต่งงานของอี้เกอเอ๋อร์ก็แล้วกัน”

 

 

เฉิงฉือเข้าใจแล้วว่ามารดาต้องการจะทำเช่นไร แต่เขาคิดว่าโน้มน้าวมารดาเพิ่มอีกสักสองสามประโยคจะดีกว่า หากเป็นเช่นนี้ไม่แน่ว่ามารดาจะยิ่งเห็นดีเห็นชอบกับเรื่องนี้ หลังจากที่โจวเสาจิ่นย้ายเข้ามาก็จะยิ่งถูกตาต้องใจนางมากขึ้นก็เป็นได้

 

 

เขาเอ่ยถามอย่างสงสัย “ความหมายของท่านคือ?”

 

 

“อาสะใภ้สี่ของเจ้าหมายจะรั้งเสาจิ่นไว้ที่บ้านมิใช่หรือ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าว “ในสถานการณ์ที่ไม่ชอบมาพากลนั้น แม้นจริงๆ จะไม่มีเรื่องอะไร สุดท้ายก็อาจกลายเป็นมีอะไรขึ้นมาได้ แต่จะส่งเสาจิ่นไปเมืองเป่าติ้ง อาสะใภ้สี่ของเจ้าจะต้องไม่ไว้วางใจให้หลี่ซื่อเลี้ยงดูเสาจิ่นเป็นแน่ หากให้นางกลับไปอยู่บ้านของตระกูลโจว เช่นนั้นไม่สู้ให้นางตามหลี่ซื่อไปเมืองเป่าติ้งเสียยังจะดีกว่า อย่างน้อยที่เมืองเป่าติ้งก็มีผู้ใหญ่คอยดูแล แต่ถ้าอยู่ที่ถนนผิงเฉียวก็จะต้องอยู่ตามลำพังเพียงผู้เดียว ข้าเพียงพูดคุยกับอาสะใภ้สี่ของเจ้าสักหน่อย บอกว่าข้ายินยอมเลี้ยงดูและให้การสั่งสอนเสาจิ่น อาสะใภ้สี่ของเจ้าจะต้องเต็มใจยินดีส่งนางมาให้ข้าอย่างแน่นอน”

 

 

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “เรื่องของเรือนชั้นในนี้ยังคงเป็นท่านที่จัดการได้อย่างมีชั้นเชิง! เมื่อครู่ข้ายังคิดอยู่ว่า เกรงว่าเรื่องนี้จะทำให้ท่านลำบาก คาดไม่ถึงว่าเพียงมองปราดเดียวท่านก็ขบคิดแผนการออกมาได้แล้ว น่าเสียดายที่พี่สะใภ้ใหญ่นิสัยดื้อรั้นเกินไป หากว่านางตั้งใจเรียนรู้กับท่านดีๆ เจียซ่านจะกลายเป็นคนดังเช่นที่เป็นทุกวันนี้ไปได้อย่างไร!”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยถามอย่างฉงนว่า “ปกติข้าบอกว่าเจียซ่านใช้ไม่ได้ มิใช่ว่าเป็นเจ้าที่ช่วยพูดแทนเขาหรอกหรือ เหตุใดวันนี้กลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเล่า! เจียซ่านไปทำเรื่องอะไรที่ไม่สมควรมาหรือเปล่า หรือว่าพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าหัวร้อนขึ้นมา จนก่อเรื่องอะไรขึ้นอีกใช่หรือไม่ เจ้าห้ามปิดบังข้าเป็นอันขาด!”

 

 

หยวนซื่อที่อยู่ห่างไกลถึงจิงเฉิงจามออกมาทีหนึ่งโดยไม่ทราบสาเหตุ

 

 

……………………………………