ตอนที่ 249 ท่านเทพออกจากเขา

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ทีแรกฉินหร่านมาอวิ๋นเฉิงก็เพื่อจะเรียนปีสามซ้ำอีกครั้งเนื่องจากพักการเรียนไปหนึ่งปี 

 

 

เรื่องนี้ตระกูลหลินเคยได้ยินมาเกือบทุกคน 

 

 

พอได้ยินฉินอวี่พูดแบบนี้ คนอื่นในตระกูลหลินต่างก็มองหน้ากันอย่างเงียบๆ  

 

 

หนิงฉิงเม้มริมฝีปาก 

 

 

ตั้งแต่เฉินซูหลานจากโลกนี้ไป เธอก็ไม่ได้ไปหาฉินหร่านอีกเลย ส่วนเรื่องอาจารย์เว่ยและเฟิงโหลวเฉิงอีกหลายคน เธอก็ยังไม่กระจ่างเสียที 

 

 

อย่างไรก็ตาม ฉินหร่านก็เหมือนจะหายตัวไป ไม่ได้รับข่าวคราวของเธอเลย 

 

 

และไม่ใช่ว่าหนิงฉิงจะไม่เคยตามรังควานฝั่งหนิงเวย แต่สุดท้ายเธอก็ยังไม่ได้ข่าวฉินหร่าน 

 

 

เธอรู้แค่ว่าฉินหร่านหายตัวไปกะทันหันเมื่อหนึ่งปีก่อน และเธอก็เพิ่งรู้มาจากเมิ่งซินหรานว่าฉินหร่านจะไม่กลับมาจนกว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย 

 

 

ทีแรกฉินหร่านเรียนซ้ำชั้นมาหนึ่งปี ไม่ได้ร่วมสอบเข้ามหาวิทยาลัยเพราะผลการเรียนไม่ถึง 

 

 

ตอนนี้ยังพักการเรียนอีกครึ่งปี 

 

 

“แม่ พี่ได้คุยกับแม่หรือเปล่าว่าพอถึงตอนนั้น เธอจะเรียนซ้ำชั้นอีกหนึ่งปีไม่ได้แล้ว? ปีนี้เธออายุยี่สิบแล้วนะ” ฉินอวี่คีบอาหารเข้าปากพลางมองหนิงฉิง พูดด้วยความกังวล “ถ้ายังซ้ำชั้นรอสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีหน้า อายุเธอก็ปาไปยี่สิบเอ็ดแล้ว” 

 

 

หลินจิ่นเซวียนกินข้าวคำสุดท้ายเสร็จก็วางถ้วยลง เขาลุกขึ้นทักทายคนบนโต๊ะอาหารด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เดี๋ยวผมจะต้องไปหาเฟิงฉือ” 

 

 

ทุกคนในตระกูลหลินสนับสนุนให้เขาเริ่มทำธุรกิจของตัวเอง เขากับเฟิงฉือกำลังสร้างตัวอยู่ที่เมืองหลวง 

 

 

“ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะเอายังไงกันแน่” พอพูดถึงฉินหร่าน หนิงฉิงก็ไม่อยากจะพูดอะไรมาก จึงตอบไปด้วยความหงุดหงิด 

 

 

ฉินอวี่ยิ้มและพูดปลอบ “ไม่แน่ว่าหลังปีใหม่ พี่อาจจะกลับมาเรียนต่อก็ได้นี่นา? เมื่อก่อนเธอยังบอกน้าเล็กอยู่เลยว่าตัวเองอยากสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวง” 

 

 

คนอื่นบนโต๊ะที่ได้ยินฉินอวี่พูด “…” 

 

 

เมื่อนายท่านหลินได้ยินว่าฉินหร่านไม่ได้ไปเรียนอีก ดูเหมือนเขาจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกพลางเหลือบมองหนิงฉิงและยิ้มอย่างใจดี “ก็จริง ไม่แน่ว่าเธออาจจะกลับมาอีกไม่กี่วันนี้ก็ได้ มหาวิทยาลัยเมืองหลวงก็ดี จิ่นเซวียนก็เรียนที่นั่น เธอเองก็อยู่ที่เมืองหลวงด้วย ต่อไปจะได้ดูแลกัน” 

 

 

คนอื่นก็เห็นด้วยไปตามๆ กัน แต่เมื่อพวกเขาสบตากัน สายตาก็แฝงไปด้วยความเหน็บแนม 

 

 

“เธอจะเรียนหรือไม่เรียนมันต่างกันตรงไหน?” หนิงฉิงเริ่มไม่อยากอาหาร เธอวางตะเกียบและกินอะไรไม่ลง 

 

 

เมิ่งซินหรานที่นั่งข้างหลินจิ่นเซวียนเหลือบมองคนที่อยู่บนโต๊ะ ตอนนี้เธอไม่ได้เย่อหยิ่งเหมือนแต่ก่อนแล้ว หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความประหลาดใจ 

 

 

เธอสวมเสื้อสเวตเตอร์สีขาว ทานข้าวเกือบจะเสร็จแล้ว จึงวางตะเกียบมองไปทางหลินฉี “การที่ฉินหร่านสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงมันแปลกมากเหรอคะ?” 

 

 

หลินฉีที่ถือตะเกียบชะงักเล็กน้อย 

 

 

นายท่านหลินทำบรรยากาศกลับมาเป็นปกติ “ซินหราน กินข้าวเถอะ อาหารจะเย็นแล้ว” 

 

 

เมิ่งซินหรานดึงกระดาษมาเช็ดปากพลางครุ่นคิด 

 

 

แม้ฉินหร่านจะไม่เก่งฟิสิกส์ แต่ถ้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงรับเธอเข้าเรียนด้วยวิชาอื่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร 

 

 

ขนาดวิชาคณิตศาสตร์ที่ออกจะพิสดาร เธอยังได้คะแนนเต็ม 

 

 

ทว่า… 

 

 

ดูจากท่าทีของคนตระกูลหลินแล้ว เหมือนพวกเขาจะยังไม่รู้อะไร… 

 

 

เมิ่งซินหรานมองไปทางฉินอวี่ ในใจแอบรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เมื่อก่อนเธอเป็นคนที่ได้รับความสนใจที่สุดตอนที่อยู่ตระกูลหลิน หลังจากเกิดเหตุการณ์ครั้งที่แล้ว หลินฉีก็ไม่ได้เห็นความสำคัญเธอเลย นายท่านหลินเองก็ปฏิบัติกับเธอด้วยความเย็นชา 

 

 

หลังจากฉินอวี่กลับมา ทุกคนต่างพุ่งความสนใจไปที่ตัวฉินอวี่ 

 

 

พอคิดถึงตรงนี้ เมิ่งซินหรานก็ก้มหน้าลง กลืนเรื่องฉินหร่านเข้าปาก 

 

 

** 

 

 

อวิ๋นเฉิง คลับเฮาส์ 

 

 

แสงไฟสลัว คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่ยกแก้วเหล้าชนกัน 

 

 

หลินจิ่นเซวียนเปิดประตูเข้ามาข้างใน 

 

 

กลุ่มคนที่อยู่ข้างในทักทายเขา “คุณชายหลิน” 

 

 

หลินจิ่นเซวียนถอดผ้าพันคอออก ยื่นมือถอดเสื้อโค้ตแล้วนั่งลงบนที่นั่งที่คนเหล่านั้นเว้นไว้ให้ 

 

 

“มีเรื่องสำคัญอะไรถึงได้เรียกฉันออกมาเวลานี้?” เขาเอียงตัวพาดเสื้อโค้ตไว้บนเก้าอี้ มองเฟิงฉือ 

 

 

เฟิงฉือวางแก้วเหล้าลง ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ 

 

 

พอได้ยินคำพูดของหลินจิ่นเซวียน เขาก็เงยหน้าขึ้นด้วยสายตาร้อนรุ่ม “แน่นอนว่าเป็นเรื่องสำคัญ ฉันเพิ่งได้ยินข่าวจากพ่อฉัน poppyกลับมาแล้ว” 

 

 

“poppy?” หลินจิ่นเซวียนเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่เก็บอารมณ์ไว้อย่างดี ขณะนี้กลับแตกระแหงแล้วในที่สุด 

 

 

จนแทบจะได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรง 

 

 

poppy ท่านเทพดอกถานฮวาชั่วข้ามคืนแห่งวงการไอที 

 

 

หลินจิ่นเซวียนกับเฟิงฉือเรียนมหาลัยวิทยาลัยสองสาขาวิชา เขาเรียนวิชาเอกเป็นการเงิน วิชาโทคือคอมพิวเตอร์ แต่เฟิงฉือตรงข้ามกับเขาคือเรียนวิชาเอกเป็นคอมพิวเตอร์ วิชาโทคือการเงิน 

 

 

ทั้งสองมุ่งทำธุรกิจในวงการไอที 

 

 

ธุรกิจด้านไอทีส่วนใหญ่ภายในประเทศเห็นได้ชัดว่าอวิ๋นกวงกรุ๊ปเป็นผู้ครอบครองตลาด 

 

 

ทุกคนในวงการอุตสาหกรรมรู้ดีว่าอวิ๋นกวงกรุ๊ปมีทีมผู้นำทางด้านไอที ซึ่งpoppyก็เป็นหนึ่งในนั้น อีกฝ่ายมีความคิดล้ำหน้าและยังเปิดตัวเทคโนโลยีฟรีเวอร์ชั่นอีกมากมาย 

 

 

ขณะนี้วงการอุตสาหกรรมไอทีทั้งหมดล้วนใช้รูปแบบการจัดการแบบpoppyซะส่วนใหญ่ 

 

 

อย่างไรก็ตาม มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ข่าวpoppy แม้ว่าอีกฝ่ายจะตีพิมพ์บทความหรือเผยแพร่เนื้อหาทางเทคนิค แต่ก็เป็นการตีพิมพ์บนวารสารเท่านั้น 

 

 

ไม่มีการจัดงานแถลงข่าวหรือให้สัมภาษณ์ใดๆ นอกจากคนวงในแล้ว ก็แทบจะไม่มีใครรู้เลยว่าเขาเป็นใคร 

 

 

ไม่มีใครในโลกภายนอกที่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา 

 

 

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บัณฑิตที่จบการศึกษาด้านคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะใช้เนื้อหาทางเทคนิคของเขาในการทำแผนจบการศึกษา 

 

 

ในคลาสเรียนมหาวิทยาลัย อาจารย์อาวุโสเหล่านั้นมักจะพูดถึงชื่อบุคคลนี้เป็นประจำ 

 

 

เวลาผ่านมาปีกว่าๆ แล้วนับตั้งแต่การแถลงเปิดตัวเทคโนโลยีครั้งล่าสุดของเขา หลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย 

 

 

อีกฝ่ายหลบตัวมาปีกว่าแล้ว และทางอวิ๋นกวงกรุ๊ปก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้กับบุคคลภายนอกในตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา 

 

 

มีการคาดเดากันว่าpoppyแก่เกินไปและล่วงลับไปแล้ว 

 

 

คนส่วนใหญ่ไม่อยากจะเชื่อแบบนี้ 

 

 

แน่นอนว่าหลินจิ่นเซวียนกับเฟิงฉือเองก็ไม่เชื่อ 

 

 

ช่วงปิดเทอมหน้าร้อนปีที่แล้ว หลินจิ่นเซวียนยังพบเว็บไซต์ทางการของ129อยู่เลย เขาตาม129เพื่อสืบข่าวpoppyโดยเฉพาะ แต่ถูกปฏิเสธโดยตรง 

 

 

คิดไม่ถึงเลยว่าเฟิงฉือจะนำข่าวมาบอกเขาในเวลานี้ 

 

 

“จริงแท้แน่นอน” เฟิงฉือวางแก้วเหล้าในมือลง เขาดันกรอบแว่นตา ดวงตาล้ำลึก “วงในอวิ๋นกวงกรุ๊ปตัดสินใจแล้วว่าจะเปิดตัวระบบปัญญาประดิษฐ์ระดับโลกปลายเดือนหกปีนี้ นำทีมโดยpoppy” 

 

 

หลินจิ่นเซวียนไร้การตอบสนอง 

 

 

เฟิงฉือเงยหน้ามองหลินจิ่นเซวียน “ที่ฉันเรียกนายมาก็เพื่อจะบอกนายว่าตราบใดที่มีโอกาสร่วมมือแค่เล็กๆ น้อยๆ ก็อย่าปล่อยโอกาสให้หลุดไป ผู้ประกอบการแทบทุกรายก็คิดแบบนี้เหมือนกัน คราวนี้จะต้องดังระเบิดแน่ๆ ” 

 

 

** 

 

 

ชายแดนทวีปM 

 

 

คนของฮอลล์ทำความสะอาดชั้นสี่ของอาคารใหญ่เสร็จหมดเรียบร้อยแล้ว 

 

 

“นายท่าน คุณฉิน ชั้นสี่เข้าพักได้แล้วครับ” ภายในห้อง ฮอลล์ถอดหมวกผ้าสักหลาดไว้ชั่วคราว ขณะที่พูด รอยแผลเป็นบนสันคิ้วก็ยิ่งดูโหดเหี้ยมยิ่งขึ้น 

 

 

ลานจอดเครื่องบินที่ชายแดนรัฐMเก็บข้อมูลผู้คนไว้มากมาย รวมไปถึงนักเดินทางที่ไปๆ มาๆ อีกนับไม่ถ้วน 

 

 

อาคารใหญ่ที่ฮอลล์ประจำการนั้นมีระบบรักษาความปลอดภัยแยกต่างหาก การก่อสร้างตัวอาคารหลังนี้ก็ค่อนข้างล้ำสมัยมาก 

 

 

ฉินหร่านเดินรอบๆ ชั้นหนึ่ง 

 

 

“ฐานข้อมูลของพวกคุณใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ?” ฉินหร่านหยุดอยู่ข้างหลังพนักงานไอทีคนหนึ่ง ชี้ไปที่ข้อมูลที่เขาใช้อยู่พลางเลิกคิ้วถาม 

 

 

นี่ไม่ใช่อัตราการหลั่งไหลของคนในรัฐM แต่เป็นอัตราการหลั่งไหลของคนในทวีปเอเชีย 

 

 

เฉิงเจวี้ยนอยู่ข้างหลังเธอ พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “น่าจะเป็นเพราะคนหลั่งไหลมาก” 

 

 

“จริงเหรอ” ฉินหร่านเหลือบมองเขา 

 

 

“เอ๊ะ” เฉิงเจวี้ยนยืนอยู่ข้างหลังเธอโดยที่มือยังคงถือแก้วน้ำ เขาก้มหน้ายิ้ม “หรือจะไม่ใช่จริงๆ ” 

 

 

“ไปกันเถอะ ไปดูชั้นสี่กัน” เฉิงเจวี้ยนวางแก้วน้ำไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็พาเธอขึ้นไปบนชั้นสี่ 

 

 

หลังจากที่ทั้งสองไปแล้ว คนของฮอลล์ก็เหลือบมองฮอลล์ 

 

 

ฮอลล์ขมวดคิ้วและไม่พูดอะไร แต่เดินตามทั้งสองคนขึ้นไปข้างบน 

 

 

ผู้บริหารระดับสูงคนอื่นอีกหลายคนก็เดินตามพวกเขาไปที่ลิฟต์อย่างเงียบๆ  

 

 

ชั้นสี่มีห้องรับรองและยังมีสนามฝึก อันที่จริงสถานที่ทำงานก็ไม่ได้กว้างมาก 

 

 

แต่ฉินหร่านแค่คนเดียว ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่กว้างอะไรขนาดนั้น โครงสร้างอื่นๆ ก็แทบไม่ต่างอะไรกับที่คฤหาสน์ นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เฉิงเจวี้ยนเลือกชั้นสี่ 

 

 

“นี่คือห้องสตูดิโอ” เฉิงเจวี้ยนเปิดประตูกระจกฝ้าที่มีคอมพิวเตอร์สีดำอยู่ข้างในสามแถว คิดอยู่สักพักก็หันมาถามฉินหร่าน “เธอพอใช้ไหม?” 

 

 

ในห้องยังมีกลิ่นกาแฟอยู่ น่าจะมาจากกลุ่มคนที่เพิ่งย้ายไปชั้นหนึ่ง 

 

 

ฉินหร่านแตะคางโดยไม่พูดอะไร 

 

 

ผู้บริหารระดับสูงที่ตามมารีบเอ่ยขึ้นมาว่า “ไม่ทราบว่าคุณฉินจะทำอะไรครับ? ถ้ายังไม่พอ ยังมีกลุ่มเจ้าหน้าที่ไอทีอยู่ที่นี่ สามารถเรียกใช้ชั่วคราวได้สักสองคน และยังมีคอมพิวเตอร์ S5 ที่สำนักงานชั้นหนึ่งก็ย้ายมาที่นี่ได้อีกสามเครื่องนะครับ” 

 

 

พวกเขาได้ยินมาว่าคุณฉินท่านนี้จะพัฒนาเทคโนโลยีไอทีอยู่ที่นี่ 

 

 

เหตุผลที่ย้ายมาจากคฤหาสน์ก็เพราะอุปกรณ์ที่นี่ดีกว่า 

 

 

เมื่อเฉิงเจวี้ยนยังเห็นฉินหร่านขมวดคิ้ว เขาก็ก้มดูเวลาแล้วพูดด้วยเสียงอบอุ่น “ไปเถอะ ไปกินข้าวกันก่อน เรากินไปด้วยคิดไปด้วย” 

 

 

ฉินหร่านพยักหน้าเดินตามเขาไป 

 

 

ทั้งสองเดินไปทานอาหาร ฮอลล์กับผู้บริหารระดับสูงคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ตามไปในทันที 

 

 

“เมสัน เมื่อกี้นายพูดไร้สาระอะไร เรียกเจ้าหน้าที่มาสองคนก็พอแล้ว คอมพิวเตอร์S5ในสำนักงานสามเครื่องนั้นนายท่านอุตส่าห์ใช้แรงกายแรงใจไปมาก กว่าจะเอามาได้ ถึงบุคคลภายในของอวิ๋นกวงจะใช้กันน้อยมาก แต่เรายังต้องพึ่งพวกเขาในการขับเคลื่อนระบบโฮสต์” ผู้บริหารระดับสูงอีกคนลดเสียงพูด “นายคิดจะเอาหน้ากับนายท่านล่ะสิ” 

 

 

เมสันเหลือบมองพวกเขา “ไม่อย่างงั้นนายจะรอให้นายท่านเอ่ยปากเองหรือไง? ลืมที่คุณเฉิงสุ่ยบอกไปแล้วเหรอ?” 

 

 

เอ๊ะ ลืมไปเลยว่านายท่านพวกเขาเป็นปีศาจที่ลุ่มหลงความงาม 

 

 

คนอื่นๆ เงียบไปครู่หนึ่ง 

 

 

หลังจากนั้นไม่นานก็มีใครคนหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างเงียบๆ “งั้นนายก็ขยันประจบคุณฉินหน่อย ดีร้ายยังไงจะได้พาเราได้ดีไปด้วย” 

 

 

เมสัน “…” 

 

 

ยิ่งพูดก็ยิ่งวุ่นวาย ฮอลล์ขมวดคิ้วและพูดเสียงเข้ม “เมสัน คุณฉินจะต้องไปแผนกไอทีของพวกนายอยู่บ่อยๆ แน่   ลำบากพวกนายแล้วที่ต้องเตรียมพร้อมตลอดเวลา คุณฉินจะกลับไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยปลายเดือนห้าที่อวิ๋นเฉิง ในช่วงเวลาสี่เดือนกว่านี้ ขอให้ทุกคนอดทนหน่อยแล้วกัน”