ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 189 ใครคือกฎหมาย

จอมศาสตราพลิกดารา

หากแม้แต่เรื่องแบบนี้ก็ยังเมินเฉย เช่นนั้นเขาฝึกวรยุทธ์ไปเพื่ออะไรกัน? จะไปช่วยกู้โลก นั่นยิ่งเป็นเรื่องตลกเลย

หลี่มู่เดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว

เขากำลังจะพูดอะไร ตอนนี้เองการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

ท่ามกลางกลุ่มคนที่ยืนมุงดู มีคนหนุ่มเลือดพลุ่งพล่านทรงพลังหกคนเบียดออกมาชิงตัวแม่เฒ่าไช่จากมือของทหารพวกนั้น แล้วปกป้องเอาไว้ข้างหลัง

หลี่มู่เห็นแล้วก็ไม่รีบร้อนก้าวออกไป

เขาตัดสินใจคอยสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ ดูว่าคนหนุ่มพวกนี้จะทำอะไร

“พวกเจ้า…พวกเจ้าเป็นใครกัน? กล้าขัดขืนทหารคุ้มกันสุสานอย่างนั้นหรือ? หา? จะทำอะไร? ต่อต้านเบื้องสูงรึไง?” หัวหน้ากองทหารเฝ้าประตูที่ตัวโตกำยำมีหนวดเคราดกคนนั้นโกรธเกี้ยว โบกมือพูดขึ้นว่า “เป็นพวกที่มาก่อความวุ่นวายจริงๆ ด้วย ใครก็ได้ ล้อมพวกมันไว้ อย่าไปให้หนีไปได้”

ทหารหลายสิบคนพุ่งมาจากหลังประตูสุสานทันที กระบี่ดาบถูกชักออกจากฝัก ทั้งหมดล้อมคนหนุ่มหกคนนี้และแม่เฒ่าไช่ย่าหลานเอาไว้

สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นมาทันใด

คนที่มุงดูต่างถอยหลังไป ด้วยกลัวจะโดนลูกหลงเข้า

“กองกำลังเฝ้าสุสานเป็นพวกทำผิดต่อฟ้าดินแบบนี้เอง?” คนหนุ่มทั้งหกไม่มีสีหน้าหวาดกลัว

คนที่เป็นหัวหน้าคิ้วเข้มตาโต รูปร่างผอมแห้งแต่กลับทำให้คนรู้สึกว่ามีพลัง สวมชุดผ้าป่าน สีหน้าโมโห “พวกเราอาบเลือดฆ่าศัตรูอยู่แนวหน้า ญาติมิตรของพวกเราอยู่ข้างหลังก็ถูกเศษสวะเช่นพวกเจ้าดูหมิ่นเช่นนี้?”

“หืม? พวกเจ้าก็เป็นทหาร?” นายทหารไว้หนวดเคราสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ชายหนุ่มผอมแห้งคนนั้นยกมือขึ้น แสดงป้ายทองแดงขนาดเท่าฝ่ามือ พูดอย่างโมโหว่า “ข้าอู๋เป่ยเฉินไป่ฟูจ่าง[1]กองกำลังบุกฐานที่มั่นใหม่ของทัพรักษาชายแดน เป็นอย่างไร? มีสิทธิ์ที่จะสั่งสอนพวกสุนัขหน้าไม่อายเช่นพวกเจ้าหรือไม่? หา?”

สีหน้าของหัวหน้าทหารเคราดกดูไม่ได้ขึ้นเล็กน้อย

ทัพรักษาชายแดนเป็นถึงกองทัพชายแดนของจักรวรรดิต้าฉิน โครงสร้างต่างจากกองกำลังทหารตามเมืองใหญ่ต่างๆ เล็กน้อย แต่ไม่ว่าอย่างไร ไป่ฟูจ่างก็เทียบเท่ากับขุนนางระดับหกชั้นเอกในกองทัพทหาร ลำดับขุนนางเหนือกว่าทหารเฝ้าสุสานที่พอจะนับว่าเป็นขั้นเก้าชั้นโทเยอะนัก

“อย่าพูดจาไม่น่าฟังเช่นนี้เลย ข้าสหายคนนี้ก็ทำแค่ทำตามคำสั่ง” หัวหน้าทหารคนนั้นสีหน้าดำคล้ำ “นี่คือกฎ ใครก็ฝ่าฝืนไม่ได้…”

“มารดาเจ้าผายลมสิ ใครเป็นสหายกับเจ้า? เศษสวะเช่นพวกเจ้าคู่ควรเรียกพี่เรียกน้องกับพวกข้าหรือ?” ชายร่างผอมอู๋เป่ยเฉินตวาดอย่างโมโห “พวกข้าสังหารข้าศึกอยู่ชายแดนอย่างยากลำบากก็เพื่อปกป้องคนในครอบครัว พวกเจ้าไปอยู่กองหน้าก็เป็นได้แค่พวกพันทางฉี่รดกางเกงเท่านั้น อยู่กองหลังก็ทำเรื่องพวกนี้รึ? หา?”

“เราต่างเป็นทหารของจักรวรรดิ เหตุใดต้องพูดปฏิเสธเช่นนี้” ทหารหนวดเคราดกแค่นเสียงเย็น

กองทัพชายแดนรึ ก็แค่ทหารป่าเถื่อนเท่านั้น

“เฮอะ พวกเจ้าก็คู่ควรกับคำว่าทหารของจักรวรรดิด้วย?” ในกลุ่มคนหนุ่มทั้งหก มีเสียงหัวเราะเยาะดังขึ้นมา “ทหารเฝ้าสุสานก็แค่สวะที่กินเงินคนตายรับเบี้ยเลี้ยงรายเดือนไปวันๆ”

“ใช่แล้ว เก็บเงินญาติที่เข้ามาเซ่นไหว้ในสุสานของเหล่าทหารหาญ นี่เป็นความคิดของคนชั่วขาดศีลธรรมตัวไหนกัน? ไม่กลัวไร้คนสืบสกุลหรือไร?” ทหารชายแดนหนุ่มอีกคนหนึ่งถามอย่างโกรธแค้น “กฎของจักรวรรดิข้อไหนอนุญาตให้คนหน้าเลือดเช่นพวกเจ้าทำแบบนี้?”

“ทุบตีญาติของทหารหาญ เลวทรามยิ่งกว่าเดรัจฉานเสียอีก”

ทหารชายแดนทั้งหกล้วนมีชาติกำเนิดอยู่ที่เมืองฉางอัน ครั้งนี้ก็กลับมาเซ่นไหว้พี่น้องทหารที่ตายในสงคราม คิดไม่ถึงว่ากลับเจอเรื่องเช่นนี้เข้า จะไม่ให้คับแค้นแน่นอกได้อย่างไร

“พวกเจ้าโหวกเหวกโวยวายอะไรกัน? ที่นี่คือเมืองฉางอัน ไม่ใช่ชายแดน” หัวหน้าทหารคนนั้นหัวเราะเสียงเย็น “เข้าสุสานเก็บเงิน นี่เป็นกฎที่ใต้เท้าของข้าตั้งขึ้น หากพวกเจ้าไม่ยอม มีปัญญาก็ไปหาใต้เท้าเสียสิ”

“นายของเจ้าเป็นไอ้คนบาปคนไหน ให้มันออกมา” ทหารชายแดนหนุ่มด้านข้างเอ่ยอย่างมีน้ำโห

ยังพูดไม่ทันจบ

ฟิ้ว!

ลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งมาจากประตูสุสานราวกับสายฟ้า ตรงไปยังคอหอยของทหารชายแดนหนุ่มที่พูดอยู่คนนั้น

จิตสังหารแผ่ซ่าน

“ระวัง…” อู๋เป่ยเฉินตั้งตัวได้ทันที ยกฝ่ามือขึ้นมา กำลังภายในแผ่ระลอกซัดไปยังลูกธนูดอกนั้น

ฟุ่บ!

เขาซัดธนูดอกนี้เอียงไปเล็กน้อยระหว่างทาง เปลี่ยนวิถีแต่เดิมของมัน ธนูเฉียดผ่านใบหน้าของทหายชายแดนหนุ่มคนนั้น ทิ้งรอยเลือดขนาดนิ้วโป้งไว้รอยหนึ่ง

ส่วนแขนของอู๋เป่ยเฉินก็ถูกสะเทือนกลับจนชา ฝ่ามือระเบิดจนเนื้อเหวอะหวะ

ตอนนี้เอง คนหนุ่มอายุราวยี่สิบกว่าๆ ที่เหมือนคุณชายผู้สูงศักดิ์เดินออกมาจากประตูสุสาน ท่าทางเกียจคร้านไม่ใส่ใจ มือถือคันศรเอาไว้ ใบหน้าทั้งเย็นชาทั้งตกใจ จากนั้นถ่มน้ำลายลงบนพื้น พูดขึ้นเนือยๆ ว่า “น่าเสียดาย ธนูดอกนี้ถูกสกัดเสียได้ เลยยิงหมูตัวหนึ่งไม่ตาย”

“ใต้เท้า!”

“คารวะใต้เท้า”

หัวหน้าทหารและทหารคนอื่นๆ รีบทำความเคารพอย่างนอบน้อม

“เจ้าว่าอะไรนะ?” ทหารชายแดนคนนั้นเช็ดรอยเลือดบนหน้าของตน โมโหเดือดดาลราวเสือที่ถูกแหย่ให้โกรธ “ใครเป็นหมู?”

“ฮ่าๆ แน่นอนว่าหมายถึงเจ้า หนึ่ง สอง สาม สี่…หก ทั้งหมดหกตัว” ชายหนุ่มชี้นิ้วอย่างหยอกล้อ ก่อนจะกล่าว“ทำไม ข้าพูดผิดหรือไร? หมูโง่ทั้งหกตัว เรื่องของขุนพลอย่างข้าพวกเจ้าก็กล้าสอด? ถึงข้าเชือดคอถลกหนังพวกเจ้าโยนเข้าไปแผงร้านขายหมูก็ไม่มีใครกล้าถาม พวกเจ้าเชื่อหรือไม่?”

“เจ้า…เจ้าคือผู้บัญชาการของกองกำลังเฝ้าสุสาน?” อู๋เป่ยเฉินโคจรกำลังภายใน ยับยั้งบาดแผลบนฝ่ามือ และส่งสัญญาณให้พี่น้องที่เหลืออย่าวู่วาม จากฝ่ามือเมื่อครู่ เขาสัมผัสได้ว่าผู้บัญชาการหนุ่มคนนี้พลังแข็งแกร่งมาก “ในสายตาเจ้ายังมีกฎหมายของจักรวรรดิอยู่หรือไม่? ขูดรีดญาติพี่น้องของทหารหาญ เก็บค่าเข้าสุสาน ล่วงเกินทหารชายแดน ความผิดแต่ละข้อพวกนี้ล้วนเป็นโทษหนัก”

“ฮ่าๆ โทษหนัก? หนักแค่ไหนล่ะ?” ชายหนุ่มหัวเราะเกินสมควร “พวกเจ้าหมูโง่หกเป็นตัวแทนทหารชายแดนได้หรือ? เหอะๆ ที่นี่ข้าคือกฎหมาย ข้าจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น…เจ้า” เขาชี้ไปยังชายหนุ่มที่ใบหน้าโดนถากเป็นรอยเลือด แค่นหัวเราะเอ่ยว่า “ล่วงเกินชนชั้นสูงของจักรวรรดิลับหลัง ต้องโทษประหารตามกฎหมาย ใครก็ได้ จับมันไว้”

ก่อนหน้านี้ ทหารชายแดนหนุ่มคนนี้ก็สบถด่าไปหลายคำจากความโกรธจริงๆ

“แล้วก็ยังมีเจ้า เจ้า…” ผู้บัญชาการหนุ่มยกคันธนูขึ้นชี้ไปยังทหารชายแดนคนอื่นๆ อีกสองคน “ด่าทอด้วยเหมือนกัน โทษตายละเว้นไม่ได้…จับมันไว้ให้หมด” พูดถึงตรงนี้เขาก็จงใจใช้น้ำเสียงท้าทายและหยอกล้อ มองอู๋เป่ยเฉินพลางพูด “เหลือพวกเจ้าสามคน อ้อ เป็นพวกเดียวกับพวกมันก็ต้องโดนด้วย ฮ่าๆ จับพวกมันไว้ แล้วควักตาคนละข้าง”

คนรอบๆ ได้ยินดังนั้นก็สั่นสะท้านขึ้นมาเสียเฉยๆ

จิตใจของชายหนุ่มคนนี้ช่างโหดเหี้ยมจนถึงขีดสุดจริงๆ

อีกทั้งยังกำเริบเสิบสานอวดดีเหลือคณา

ทหารเฝ้าสุสานเกือบร้อยคนเดินออกมาจากในสุสาน ล้อมเอาไว้โดยรอบ

“ไม่ ใต้เท้า ข้าไม่เข้าไปแล้ว ข้าไม่เข้าไปดูลูกชายคนเล็กข้าแล้ว ข้าผิดไปแล้ว…” แม่เฒ่าไช่ก็ยังคงจิตใจดี ครั้นเห็นคนหนุ่มที่ผ่านทางมาเห็นความอยุติธรรมต้องเผชิญกับความตายเพราะตน ก็รีบคุกเข่าอ้อนวอนทันที “ใต้เท้า ไม่ๆๆ ท่านขุนพล ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ ท่านปล่อยหนุ่มๆ พวกนั้นไปเถิด…”

“ฮ่าๆๆ นี่เป็นเรื่องตลกที่สุดที่ข้าเคยได้ยินมาเลย” ผู้บัญชาการหนุ่มหัวเราะลั่น ก่อนจะพูด “นังหมูแก่ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร พูดประโยคหนึ่งโขกหัวคำนับสามสี่ที ข้าก็ต้องฟังเจ้าหรือ วะฮะฮะฮ่า ใครก็ได้ จับนังหมูแก่นี่แล้วก็หลานสาวของมันแขวน แล้วเชือดคอมันซะ…”

คนรอบด้านหน้าซีดเผือด

โหดเหี้ยมไปแล้ว

ผู้บัญชาการหนุ่มคนนี้ลงมือเกินเหตุไปแล้วกระมัง

“เจ้ามันไม่เกรงกลัวกฎหมายจริงๆ เจ้า…” อู๋เป่ยเฉินโมโหจนสั่นไปทั้งตัว เขาไม่เคยคิดเลยว่าพี่น้องของตนรบราอาบเลือดอย่างลำบากยากเข็ญที่ชายแดน ระหว่างรักษาความสงบสุขเอาไว้ จะมีคนที่ไม่เกรงกลัวกฎหมายและเหี้ยมโหดเลือดเย็นถึงเพียงนี้

ผู้บัญชาการหนุ่มไม่แม้แต่จะสนใจ นั่งลงบนเก้าอี้ที่ทหารยกมาให้แล้วอ้าปากหาว “ลงมือได้ หากมีคนต่อต้าน ฆ่าไม่เว้น”

ทหารเฝ้าสุสานเกือบร้อยคนถืออาวุธครบครันจะประชิดเข้ามา

ทหารชายแดนหนุ่มทั้งหกคนและแม่เฒ่าไช่ย่าหลานทั้งสองไม่ต่างจากปลาบนเขียง โดดเดี่ยวหัวเดียวกระเทียมลีบ

คนที่มุงดูรอบๆ แต่ละคนหน้าซีดเผือด กล้าโมโหไม่กล้าพูดแย้ง

โดยเฉพาะร้านหาบเร่บางร้านแถวๆ นั้นยิ่งลอบส่ายหน้า

ขุนพลหนุ่มกองกำลังเฝ้าสุสานคนนี้คือเชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูงที่มาจากเมืองฉินเมื่อปีที่แล้ว ว่ากันว่าภูมิหลังยิ่งใหญ่มาก แม้แต่ท่านเจ้าเมืองยังต้องไว้หน้าหลายส่วน ลงมือโหดเหี้ยม ใจคอโหดร้าย หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ทำร้ายคนไปไม่รู้ต่อเท่าไหร่ ก่อกรรมทำชั่วจนสวรรค์โกรธคนเคียดแค้น แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครทำอะไรเขาได้

ดูจนถึงตรงนี้ หลี่มู่ส่ายหน้า

“ทอดถอนใจร่ำไห้น้ำตานอง ชาวประชาทุกข์ยากลำบากนัก…”

เขานึกถึงกลอนประโยคนี้ ซึ่งราวกับเขียนขึ้นจากเรื่องจริงของแม่เฒ่าไช่สองย่าหลาน

จักรวรรดิฉินตะวันตกรุ่งเรืองมาได้สองร้อยปี ตอนนี้เริ่มส่งกลิ่นเน่าฟอนเฟะออกมาจางๆ แล้ว

หลี่มู่เดินออกมาจากกลุ่มคนที่มุงดูอยู่

เขายกมือซัดร่างของทหารเฝ้าสุสานคนหนึ่ง พลังแปลกประหลาดทะลักออกมา

เห็นแต่ทหารคนนี้ร้องลั่นตกใจ เซถลาไปข้างๆ จากนั้นทหารเกือบร้อยคนก็เซถอยหลังล้มลงต่อๆ กันไปเหมือนโดมิโน่ล้มอย่างไรอย่างนั้น เพียงชั่วพริบตาก็แทบจะล้มลงไปหมดทุกคน พวกเขาร้องตกใจดังระงม หกล้มระเนระนาดน่าอนาถนัก

วงล้อมแตกพ่ายในพริบตา

การเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงเช่นนี้ดึงความสนใจจากคนทั้งหลายทันใด

“เมื่อครู่เจ้าว่าที่นี่เจ้าคือกฎหมาย?” หลี่มู่สีหน้าสงบนิ่ง เดินออกมาสามสี่ก้าว มองไปยังผู้บัญชาการหนุ่มคนนั้นขณะเอ่ย “ข้าว่า เจ้าน่าจะพูดผิดแล้ว”

ชายหนุ่มนอนเอนอยู่บนเก้าอี้ มองทหารที่กลิ้งไปบนพื้นดุจน้ำเต้า สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปยังหลี่มู่ กวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า และพึมพำอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “เฮ้อ มีคนไม่กลัวตายวิ่งออกมาอีกแล้ว ไอ้หนู เจ้าเป็นใครกัน กล้ามาสอดเรื่องของข้ารึ? ข้าพูดผิดตรงไหน?”

หลี่มู่พูดขึ้น “ข้ารู้สึกว่า วันนี้ ที่นี่ ข้าต่างหากถึงจะเป็นกฎหมาย”

……………………………………………………

[1]ไป่ฟูจ่าง ตำแหน่งทหารในสมัยโบราณ ควบคุมกองทหารจำนวนหนึ่งร้อยนาย