ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 190 อย่าพูดว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้า

จอมศาสตราพลิกดารา

“อะไรนะ?” ผู้บัญชาการหนุ่มอึ้งไป ก่อนจะหัวเราะลั่น สุดท้ายหัวเราะจนน้ำตาไหล “ฮ่าๆๆ เจ้า? ฮ่าๆ น่าขันนัก ไม่นึกว่าข้าจะเจอ…ฮ่าๆ…เจอคนที่อวดดีกว่าข้าอีก….อวดดีกว่าข้า ไอ้หนู เจ้าคือกฎหมายรึ ฮ่าๆ เจ้าอาศัยอะไรมาพูด?”

“เจ้าล่ะ อาศัยอะไร?” หลี่มู่ถาม

“ข้าน่ะหรือ? ฮ่าๆ ก็อาศัยที่ข้าแซ่ฉิน อาศัยว่าในกายข้ามีเลือดของเชื้อพระวงศ์ไหลเวียน” ชายหนุ่มทำหน้าตาเยาะเย้ยกล่าว “เป็นอย่างไร เหตุผลนี้พอไหมเล่า?”

“ไม่พอ” หลี่มู่ส่ายหน้า “ต่อหน้าข้าไม่ใช่แค่ไม่พอ แต่ยังห่างชั้นอีกไกล”

“หืม?” ชายหนุ่มหรี่ตา มุมปากปรากฏรอยยิ้มเสียดสีบางๆ “ต่อหน้าเจ้าไม่พอ อย่างนั้นบอกมาซิว่าเจ้าอาศัยอะไร?”

หลี่มู่เหวี่ยงหมัดของตน ตอบว่า “ข้าอาศัยเจ้านี่”

พูดจบก็ซัดฝ่ามือออกไปทันที

กระแสลมแรงพัดกวาด

“รนหาที่ตาย”

ใบหน้าผู้บัญชาการหนุ่มฉายแววเหี้ยมโหด กลิ่นอายเปลี่ยนไปทันที แววตาราวกับมีดาบกระบี่พุ่งออกมา ข้างในกายกำลังภายในเอ่อล้น เมื่อยกมือขึ้น ฝ่ามือข้างขวารวมแสงสีม่วงทองออกมาแล้วซัดไปยังฝ่ามือของหลี่มู่

“ระวัง…” อู๋เป่ยเฉินเตือนเสียงดังอยู่ข้างๆ

เขาเคยสัมผัสธนูที่ผู้บัญชาการหนุ่มคนนี้ยิงมาก่อน รู้ว่าชายหนุ่มที่ดูเหมือนไม่เอาถ่าน เอื่อยเฉื่อย และกำเริบเสิบสาน แท้จริงแล้วเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ อย่างน้อยก็อยู่ขั้นยอดปรมาจารย์ น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

ตูม!

ฝ่ามือปะทะกัน พลังปราณทะลักล้น

กร๊อบ

เสียงกระดูกแตกดังก้อง

ประกายแสงประหลาดสีม่วงทองบนฝ่ามือของผู้บัญชาการหนุ่มหายไปสิ้น ข้อศอกแขนขวาบิดงอเป็นมุมที่น่าพรั่นพรึง เห็นได้ชัดว่ากระดูกหักแล้ว

“เจ้า…” เก้าอี้ที่ผู้บัญชาการหนุ่มนั่งถูกสะเทือนจนกลายเป็นผุยผง แต่ว่าเขาก็ตั้งตัวทัน ใช้ท่าร่างอันแปลกประหลาดถอยไปข้างหลัง จากนั้นลุกยืนขึ้นมองข้อศอกที่บิดงอของตน ทั้งตกใจทั้งโมโห ก่อนเงยหน้าจ้องหลี่มู่พลางพูดลอดไรฟัน “เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ากำลังทำอะไร?”

“ข้ารู้ แต่เจ้าไม่รู้” หลี่มู่แปลกใจเล็กน้อย ชายหนุ่มคนนี้อย่างมากสุดก็ไม่เกินสามสิบ พลังกลับแข็งแกร่งเกินคาด ฝ่ามือเมื่อครู่ไม่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามพิการ แต่ว่าเขาไม่ลังเล ก้าวออกไปซัดอีกฝ่ามือหนึ่ง

ตูม!

กลางสายลมกระโชกที่ทะลักออกมา การป้องกันของผู้บัญชาการหนุ่มถูกทำลายลง ฝ่ามือหนึ่งประทับที่หน้าอก

กร๊อบ กร๊อบ

ท่ามกลางเสียงกระดูกหัก ที่หน้าอกของเขามีรอยฝ่ามือชัดเจนปรากฏขึ้น กระดูกหน้าอกและซี่โครงหักไปไม่รู้กี่ท่อน ทำให้กระอักเลือดออกมา ยืนได้ไม่มั่นอีกต่อไป และอ่อนแรงทรุดลงบนพื้น

“พลังฝึกแค่นี้ยังกล้าทำผิดทำนองคลองธรรมในเมืองฉางอัน เจ้านี่มันรนหาที่ตายจริงๆ” หลี่มู่ส่ายหน้า

ผู้บัญชาการหนุ่มหน้าซีดเผือด กระอักเลือดออกมา แต่ใบหน้ากลับไม่มีแววหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เขาโมโหจนหัวเราะ “ฮ่าๆๆ ดี ฮ่าๆๆ ดีจริงๆ ข้าโตขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่มีคนกล้าซัดข้า ฮ่าๆๆ ถ้าเจ้าแน่ หวังว่าอีกสักครู่เจ้าจะยังแน่ต่อไป”

เขาไม่ยี่หระอะไร

คนรอบๆ บางคนรู้ภูมิหลังของผู้บัญชาการหนุ่มคนนี้ จึงล้วนมองไปยังหลี่มู่ด้วยใบหน้าเห็นใจ

ยั่วโทสะคนในราชวงศ์จักรวรรดิ ต่อให้พลังแข็งแกร่งอีกแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์

เด็กหนุ่มคนนี้วู่วามเกินไปแล้ว

“ฮ่าๆ ได้สิ วันนี้เจ้าสนใจเรื่องเรียกที่พึ่งหรือไพ่ตายของเจ้าออกมาให้หมดก็พอ ข้าให้เวลาเจ้า เจ้าไปหาคนซะ เรียกพวกที่เจ้าเรียกมาได้มาให้หมด ข้าจะดูสิว่าใครที่ให้ความกล้ากับหมาบ้าอย่างเจ้า” ในใจหลี่มู่มีจิตสังหารคุกรุ่นแล้ว “อย่าพูดว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้า ตอนนี้ไปหามาเลย”

เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ คนรอบๆ ต่างตกใจ

อะไรกัน?

ฟังจากคำพูดแล้ว เด็กหนุ่มคนนี้ก็มีภูมิหลังยิ่งใหญ่เหมือนกันหรือ?

ผู้บัญชาการหนุ่มอึ้งงัน อดไม่ได้ที่จะมองหลี่มู่หลายครั้ง ในสมองคิดถึงรายชื่อคนรุ่นเยาว์ที่ไม่อาจล่วงเกินได้ในจักรวรรดิฉินตะวันตกตอนนี้ แต่กลับไม่มีคนไหนตรงกับเด็กหนุ่มเบื้องหน้าคนนี้เลย “เจ้าเป็นใครกันแน่?”

หลี่มู่ก็ไม่สนใจเขาเหมือนกัน

เขาหมุนตัวไปหยิบธูปดอกหนึ่งจากกระถางธูปออกมา แล้วปักลงไปในพื้นหิน “ธูปดอกนี้ไหม้ไปแล้วหนึ่งในสี่ ยังเหลืออีกสามในสี่ ภายในเวลาที่เหลือนี้ เจ้าจงไปหาคนที่เจ้าหามาได้ให้หมด ดูสิว่าจะช่วยชีวิตสุนัขอย่างเจ้าได้หรือไม่”

ผู้บัญชาการหนุ่มจ้องหลี่มู่เขม็ง ก่อนจะหัวเราะเสียงเยาะหยัน “ขู่ข้ารึ? อะฮ่าๆๆๆ ข้าฉินหลินไม่ได้ตกใจกลัวเสียหน่อย ได้ เจ้ารอข้าก่อน…ใครก็ได้” เขาเรียกนายทหารคนสนิทมาหลายคน กำชับอะไรที่ข้างหูแล้วจึงเอ่ย “รีบไป เรียกมาให้หมด”

คนสนิทสิบกว่าคนพุ่งออกไปจากถนนซุ้มประตูสุสานทหารอย่างรีบเร่ง

“เจ้าพันทาง รอก่อนเถอะ” ฉินหลินเอ่ย “ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่าคนแบบไหนที่ไม่ควรล่วงเกิน”

“ได้ หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง” หลี่มู่พูดเน้นทีละคำทีละประโยค

กล่าวจบเขาก็มองหัวหน้าทหารหนวดเคราครึ้มคนนั้น

ฝ่ายหลังถูกสายตาของเด็กหนุ่มกวาดผ่าน ก็สัมผัสได้ถึงความไม่สู้ดีทันที แข้งขาสั่นขึ้นมา

“เจ้า” หลี่มู่ชี้เขา บอกว่า “มานี่ คุกเข่าขอโทษเสีย”

หัวหน้าทหารหนวดเคราครึ้มเผยสีหน้าหวาดหวั่น มองผู้บัญชาการหนุ่มแวบหนึ่ง แล้วจึงยืดคอเอ่ย “เจ้านับเป็นตัวอะไรได้ จะให้ข้า…”

เสียงพูดไม่ทันขาด

หลี่มู่ก็โบกมือไปในอากาศ วิชาวายุมังกรคลั่งสำแดงขึ้นโดยพลัน แหวกฟ้าพุ่งไปหาฝ่ายตรงข้ามทันที

เพียะ เพียะ!

สองฝ่ามือตบหน้าของหัวหน้าทหารจนเหมือนแตงโมที่สุกจนเละ

ตุบ!

หลี่มู่เหวี่ยงเขาไปที่พื้น ชี้พวกอู๋เป่ยเฉินกับแม่เฒ่าไช่ที่อึ้งอยู่แล้วพูดขึ้น “ถ้าไม่อยากตายก็รีบไปโขกหัวขอโทษเสีย”

หัวหน้าทหารตกใจกลัวจนขวัญกระเจิง ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด รีบร้อนคลานไปโขกศีรษะ “ข้าผิดไปแล้ว ท่านยายแล้วก็สหายทั้งหลาย…ข้าผิดไปแล้ว ท่านอย่าได้ถือสาเลย ไว้ชีวิตข้าเถิด…ข้าเองก็ทำตามคำสั่ง…”

“สุนัขหลังหักตัวหนึ่งยังรู้จักแสร้งทำเป็นใจกล้าเหมือนคนอื่นเขาด้วย น่าขันนัก” หลี่มู่ส่ายหน้า

“ใช่ๆๆ ข้าคือสุนัข ทุกท่านไว้ชีวิตข้าเถอะ ถือเสียว่าข้าเป็นหมา ปล่อยข้าไป…” หัวหน้าทหารเคราครึ้มร่ำไห้อ้อนวอน

อู่เป่ยเฉินและทหารชายแดนทั้งหลายมีสีหน้าโมโห ไม่ได้พูดอะไร

สำหรับพวกไม่มีความทระนง เก่งกับคนที่อ่อนแอกว่าเช่นนี้ พวกเขาไม่เคยรู้สึกดีด้วย

ส่วนแม่เฒ่าไช่ย่าหลานทั้งสองคนกลับค่อนข้างงุนงงทำตัวไม่ถูก

ตอนนี้เองไช่ไช่น้อยถึงจะเห็นหน้าของหลี่มู่ ดวงตาเปล่งประกายในทันที “พี่ชาย เป็นท่านเอง? ท่านก็มาเมืองฉางอัน มาหาพ่อเหมือนกันหรือ?” นางจำได้ หลี่มู่ก็คือเณรน้อยที่ช่วยพวกนางที่ตำบลสุขสงบคนนั้น

แม่เฒ่าไช่ขยี้ตา จำเขาได้เช่นกัน “ไต้ซือเหลวไหล?”

หลี่มู่ลูบหัวไช่ไช่น้อยเบาๆ แล้วพยักหน้าให้แม่เฒ่าไช่ พูดเสียงอ่อนโยนว่า “วางใจเถอะ วันนี้พวกเจ้าจะต้องเข้าไปในสุสานได้แน่นอน ข้าจะดูซิว่ามีใครกล้ามาขวาง”

นิสัยของเขาขัดแย้งและซับซ้อน

ยามขี้ขลาดก็ขี้ขลาดจริงๆ

แต่หากดื้อดึงขึ้นมา ต่อให้เง็กเซียนฮ่องเต้อยู่ต่อหน้าก็ไม่ยอมก้มหัวให้ จะต้องดึงดันจนถึงที่สุด

วันนี้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นีทำให้ในใจของเขาโมโหโกรธเกรี้ยวและมีจิตสังหาร

ความโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ไม่ระบายออกมาไม่ได้

พวกอู๋เป่ยเฉินเห็นเหตุการณ์ถึงได้เข้าใจ ที่แท้เด็กหนุ่มที่เหมือนพระแต่ไม่ใช่พระ เหมือนนักพรตแต่ไม่ใช่นักพรตผู้นี้รู้จักกับสองย่าหลาน มิน่าเล่าถึงได้ออกหน้าให้ แต่ว่าเรื่องวันนี้เกรงว่าคงยากจะจบด้วยดี พวกเขาเองก็คาดไม่ถึงว่าผู้บัญชาการของกองกำลังเฝ้าสุสานจะเป็นเชื้อพระวงศ์ เรื่องนี้ต้องมีการลงไม้ลงมือแน่แล้ว

หวังว่าเด็กหนุ่มประหลาดคนนี้จะมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่จริง

หลี่มู่พยักหน้าให้กับทหารชายแดนทั้งหลาย ก่อนจะเอ่ย “แม่เฒ่าไช่ย่าหลานกับข้ามีวาสนาได้พบกันครั้งหนึ่ง ขอบคุณทุกท่านมากที่ออกหน้าผดุงความยุติธรรม”

“ไม่กล้า”

“นี่เป็นเรื่องที่พวกเราทหารหาญควรทำอยู่แล้ว”

ทหารชายแดนทั้งหลายต่างทำความเคารพ

พวกเขาทหารชายแดนยกย่องเลื่อมใสยอดฝีมือที่ทั้งพลังและนิสัยแข็งแกร่งแบบนี้เป็นที่สุด ถึงแม้หลี่มู่ดูแล้วจะอายุแค่สิบห้าสิบหกก็ตาม

“ใต้เท้า ข้าโขกศีรษะรับผิดแล้ว ท่านจะ…” หัวหน้าทหารหนวดเคราดกมองมายังหลี่มู่ด้วยรอยยิ้มประจบอย่างเงอะๆ งะๆ

หลี่มู่เตะหัวหน้าทหารลอยไปกระแทกกับฐานหินของอนุสาวรีย์วีรบุรุษของจักรวรรดิ

โพละ!

เหมือนแตงโมกระแทกกับก้อนหิน ของเหลวสีแดงไหลนองออกมา

คราวนี้ หัวหน้าทหารหนวดเคราครึ้มตายสนิท

“หากยอมรับผิดมีประโยชน์ จะมีกฎหมายของจักรวรรดิไว้ทำไม?” หลี่มู่เอ่ยอย่างนิ่งเฉย

ดูจากการกระทำของหัวหน้าทหารก่อนหน้านี้แล้ว เขาไม่ใช่คนดีอะไรแน่นอน พูดจาไม่เข้าหูก็จะเอาชีวิตของแม่เฒ่าไช่ย่าหลาน ไม่มีความเป็นมนุษย์แม้แต่น้อย จินตนาการได้ว่า แต่ก่อนนอกจากแม่เฒ่าไช่สองย่าหลานแล้วยังมีผู้เคราะห์ร้ายอีกไม่รู้เท่าไหร่

คนแบบนี้ก็เหมือนสัตว์เดรัจฉาน มีเพียงสังหารเท่านั้นถึงจะเป็นความเมตตาที่แท้จริง…ความเมตตาต่อผู้เคราะห์ร้ายทั้งหลาย

เลือดทะลักไหลนอง ย้อมฐานหินของอนุสาวรีย์

ผู้มุงดูรอบๆ มีสีหน้าหวาดผวา ปฏิกิริยาแตกต่างกันไป

มีคนตกใจจนร้องเสียงหลง

และก็มีคนลอบดีใจอย่างอดไม่อยู่ รู้สึกสะใจจริงๆ

สุสานทหารเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เหลือประมาณ ที่ผ่านมาเจ้าพวกชั่วไร้คุณธรรมเข้าครอบครอง ขู่เข็ญขูดรีดเงินทองชาวบ้าน ทำเอาฟ้าพิโรธมนุษย์โกรธแค้น สมควรตายไปเสียตั้งนานแล้ว เพียงแต่ไม่มีใครกล้ายุ่งก็เท่านั้น วันนี้ คนชั่วคนนี้ในที่สุดก็ได้รับผลกรรมเสียที

พวกอู๋เป๋ยเฉินก็ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน

ฆ่าคนแล้วจริงๆ?

ครั้นมองไปยังฐานหินของอนุสาวรีย์ทหารหาญที่ถูกย้อมด้วยเลือด สายตายามมองหลี่มู่ของทหารชายแดนห้าหกคนก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง

ในตัวของหลี่มู่ พวกเขามองเห็นท่าทางแกร่งกล้าไม่ยอมอ่อนข้อ สังหารได้อย่างเด็ดขาดเช่นทหารของจักรวรรดิฉินที่แท้จริง หรือเด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นทายาทของทหารชั้นสูงคนใด?

นายทหารคนสนิทประคองผู้บัญชาการหนุ่มขึ้นมา ก่อนโคจรกำลังภายในระงับอาการบาดเจ็บ พอเห็นภาพฉากนี้หน้าก็เปลี่ยนสีแล้วเปลี่ยนสีอีก

หลี่มู่มองไปที่เขาแล้วกล่าว “เจ้าก็ไปคุกเข่าเสียเถอะ”

………………………