“พี่ใหญ่สวี ใช่ท่านจริงๆ ด้วย!”

สหายเซี่ยงยังไม่ทันได้พูดอะไร ภรรยาสาวของเข้าก็รีบรุดเข้าไปแล้ว ท่าทางดูตื่นเต้นยิ่งนัก

“ท่านมาเมื่อหลวงตั้งแต่เมื่อใดกัน เหตุใดจึงไม่มาเยี่ยมพวกข้า” นางเอ่ยถามรัว

ผู้ดูแลร้านอู๋กระแอมเบาๆ แกมหยอกล้อ ก่อนจะถอยออกไป แววตายิ้มแย้มของสาวใช้เองก็ละจากสวีเม่าซิวและหญิงสาวผู้นั้น

“เพิ่งมาถึงน่ะ เพิ่งมาถึงน่ะ” สวีเม่าซิวเอ่ยพลางก้าวถอยหลัง สายตามองไปที่ชายหนุ่มที่หน้าประตู “บังเอิญนัก ที่ได้พบกันที่นี่ ข้าก็คิดว่าจะไปเยี่ยมพวกเจ้าอยู่พอดี”

“ใช่ท่านจริงๆ ด้วย พี่ใหญ่สวี” ชายหนุ่มเผยยิ้มตื่นเต้นดีใจ เขารีบเดินมาข้างหน้าแล้วยื่นมือออกไปคว้าแขนของสวีเม่าซิว “ท่านมีธุระอะไรหรือ มาทั้งทีเหตุใดไม่ไปนั่งเล่นที่บ้านข้าสักหน่อย”

เขาเอ่ยน้ำเสียงตัดพ้อ

“ใช่ ใช่” หญิงสาวพยักหน้าเห็นด้วย พลางพินิจมองร่างกายของสวีเม่าซิว สีหน้าก็ยิ่งดูตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังแฝงไปด้วยความกลุ้มใจ “พี่ใหญ่สวี พี่ผอมลงกว่าแต่ก่อนเยอะเลย ไปอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือคงลำบากมากใช่หรือไม่ ท่านอย่ากลับไปอีกเลย อยู่ที่เมืองหลวงเถิด”

สาวใช้หลุดหัวเราะออกมา ปั้นฉินที่อยู่ด้านหลังใช้แขนกระทุ้งนางให้หยุดอยู่สองสามหน

ท่าทางของสวีเม่าซิวกระอักกระอ่วนยิ่งกว่าเดิม

“อืม นั่นสินะ” เขาตอบอย่างคลุมเครือ ก่อนจะรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พวกเจ้า พวกเจ้ามากินข้าวที่นี่หรือ”

ชายหนุ่มยิ้ม

“หากไม่มากินข้าว แล้วจะให้มาทำอะไรเล่า” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มทว่ารอยยิ้มนั้นดูฝืนใจอยู่ไม่น้อย “เอ่อ แต่ก็ไม่แน่”

เขาเอ่ยพลางมองสวีเม่าซิวหัวจรดเท้า เป็นเพราะเมื่อครู่สวีเม่าซิวซ้อมยิงธนูกับเฉิงเจียวเหนียง จึงเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อสีเขียวแสนธรรมดาและสวมเพียงรองเท้าผ้าเท่านั้น เป็นที่รู้กันดีว่า ณ เรือนนางฟ้าแห่งนี้ แม้แต่คนงานรับแขกล้วนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชั้นดีทั้งสิ้น จากสภาพของเขาในตอนนี้ ดูอย่างไรก็เหมือนคนงานก้นครัวที่ไม่มีโอกาสได้ปรากฏตัวหน้าร้านแน่นอน

“ท่านทำงานที่นี่หรือ” ชายหนุ่มถามออกมา

สวีเม่าซิวพยักหน้า

“ใช่ ใช่” เขาเอ่ย

“มีแค่ท่านคนเดียวหรือ และพวกพี่เจียงหลินเล่า” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอีกครั้ง

“อ่อ พวกเขาก็อยู่ที่เมืองหลวงนี่แหละ ทว่าไม่ได้อยู่ที่นี่” สวีเม่าซิวเอ่ย

“อย่าเพิ่งพูดเรื่องอื่นเลย” หญิงสาวผลักชายหนุ่มออก ก่อนจะมองสวีเม่าซิวด้วยยิ้มกว้าง “มีอะไรก็ไปคุยกันที่บ้านพวกข้าเถิด ท่านพ่อข้าคิดถึงท่านเสมอ หากได้เจอต้องดีใจมากเป็นแน่”

สวีเม่าซิวทำอะไรไม่ถูกยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะตอบรับออกไป

“ได้เลย หากข้าเสร็จงานแล้วจะไปแน่นอน” เขาเอ่ย

“ท่านมีงานอะไรต้องทำอีก งานพวกนี้ไม่ต้องทำแล้ว ไปบ้านข้าสำคัญกว่า ท่านพ่อข้าก็อยู่ มีงานดีกว่านี้ให้ท่านทำแน่นอน” ชายหนุ่มเอ่ยใบหน้ายิ้มเจื่อน

ผู้ดูแลร้านอู๋ทนดูต่อไปไม่ไหว ก่อนจะกระแอมขึ้นมา

สองหนุ่มสาวสามีภรรยาถึงจะสังเกตเห็นคนที่อยู่ด้านข้าง พอเห็นผู้ดูแลร้านอู๋ก็ไม่แปลกใจสักเท่าไหร่ เศรษฐีเฒ่าในเมืองหลวงพบเจอได้ถมเถไป แต่พอเห็นเฉิงเจียวเหนียงกลับต้องตกตะลึงไปครู่หนึ่ง

หญิงสาวอายุราวสิบสี่สิบห้าปีสวมชุดกระโปรงสีพื้นยาวกรอมพื้น นอกจากนั้นบนร่างกายก็ไม่ได้มีเครื่องประดับใด ทว่าดวงตานั้นกลับทอประกายงดงาม

นางยืนอยู่ที่เดิมไม่เอ่ยคำใด ไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อน แม้แต่สีหน้าก็ไร้อารมณ์ ทว่าหญิงสาวกลับรู้ได้ทันทีว่านางต้องเติบโตมาในตระกูลใหญ่โตเป็นแน่ อาจเป็นเพราะเสื้อผ้าแสนธรรมดาทว่าดูราคาสูงลิ่วนั้น หรืออาจเป็นเพราะท่วงท่ากิริยาจากภายในที่แสดงออกมาก็เป็นได้

คงเป็นแขกของเรือนนางฟ้ากระมัง

ทั้งสองหลีกทางให้ พอเห็นท่าทางของสวีเม่าซิวก็ยิ่งมั่นใจมากกว่าเดิม

เขาคงไม่ได้เป็นแม้แต่คนงานต้อนรับ สภาพเช่นนี้คงเป็นได้เพียงตั่งให้คนรวยเหยียบย่ำขึ้นม้า

“ท่านรีบไปส่งแขกขึ้นรถเถิด พวกข้าจะรอท่านที่นี่ เดี๋ยวเราค่อยคุยกัน” น้ำเสียงของชายหนุ่มแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน ทว่ากลับฟังดูลำพองใจอยู่ไม่น้อย

สวี่เม่าซิวรีบขานตอบ ก่อนจะถอนหายแล้วหันหลังเดินจากไป ทว่ากลับถูกหญิงสาวเอ่ยรั้งไว้

“ท่านพี่สวี” ท่าทางของนางดูตื่นตระหนกทั้งยังดูทรมานใจ “คนดีๆ อย่างท่าน เหตุใดถึง…”

พูดถึงเพียงเท่านี้ก็หันไปมองผู้ดูแลร้านอู๋

“งานชั้นต่ำเช่นนี้พวกข้าไม่ทำแล้ว” นายเอ่ยแล้วล้วงเงินก้อนหนึ่งให้เขา “ท่านผู้อาวุโส ท่านไปหาคนอื่นมาทำเถิด”

ผู้ดูแลร้านอู๋หัวเราะยกใหญ่

“เงินเพียงเท่านี้ เกรงว่าจะไม่พอ” เขาเอ่ย

สวีเม่าซิวกลืนไม่เข้าคายไม่ออกยิ่งกว่าเดิม

“แม่นางต่ง ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” เขาเอ่ยพลางยื่นแขนออกไปผลักผู้ดูแลร้านอู๋ ก่อนจะก้าวเข้าไปข้างหน้า

“เจ้าอย่าเล่นไปตามน้ำสิ” เขากดเสียงให้เบา

ผู้ดูแลร้านอู๋กลั้นหัวเราะก่อนจะหันหลังแล้วเดินจากไป เฉิงเจียวเหนียงและสาวใช้เองก็เดินตามไป

พอพ้นออกประตูไปสวีเม่าซิวถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“มาสิ พอหนุ่ม มาช่วยพยุงแม่นางขึ้นรถ ข้าจะได้ให้เงินรางวัลเจ้าเสียหน่อย” ผู้ดูแลร้านอู๋เอ่ยสีหน้าบึ้งตึง

สวีเม่าซิวส่งเสียงถุยก่อนจะหัวเราะออกมา

สาวใช้ที่อยู่ด้านหลังก็หัวเราะไม่หยุดตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว

“เป็นพี่น้องที่รู้จักกันที่บ้านเกิดน่ะ” เขาเอ่ยพลางหันไปอธิบายกับเฉิงเจียวเหนียงและผู้ดูแลร้านอู๋

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าทว่าไม่พูดอะไรก่อนจะขึ้นรถไป

สวีเม่าซิวหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ หางตาเหลือบไปเห็นผู้ดูแลร้านอู๋ที่ยังคงหัวเราะอยู่

“ข้านึกว่าเป็นแม่นางที่รู้จักกันแต่ก่อนเสียอีก…” เขาเห็นสวีเม่าซิวหันมามอง ก็พยักให้พลางเอ่ยด้วยร้อยยิ้ม

“ไปทำงานได้แล้ว” สวีเม่าซิวเอ่ยหน้าบึ้งตึง “ค่าจ้างเดือนนี้ยังอยากได้อยู่หรือไม่”

ผู้ดูแลร้านอู๋หัวเราะลั่น

“เถ้าแก่ ค่าจ้างข้าไม่ได้จ่ายเป็นเดือนเสียหน่อย” เขาเอื้อมมือไปตบบ่าสวีเม่าซิวพลางกระซิบบอก “ลืมไปแล้วหรือ”

ยังไม่ทันพูดจบ ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง

“แม่นางที่เจ้ารู้จักแต่ก่อน… เอ๊ะ ไม่ใช่สิ พี่น้องเจ้ามาโน่นแล้ว” ผู้ดูแลร้านอู๋ไม่หันหลังกลับแถมยังเอ่ยกระซิบพลางหัวเราะอีกต่างหาก

สวีเม่าซิวส่งเสียงฮึดฮัดก่อนจะเดินตามเขาไป

“พี่ใหญ่สวี”

นางเอ่ยเรียก

สวีเม่าซิวหยุดฝีเท้าลง หันหลังมามองสองสามีภรรยาที่เดินตามกันมา

“ไปกันเถิด ไปที่บ้านกันตอนนี้เลย” หญิงสาวเอ่ย

“ข้า ข้ายังมีธุระอีก ไว้วันหลังก็แล้วกัน” สวีเม่าซิวเอ่ย

“ยังมีธุระอะไรอีกเล่า” ชายหนุ่มเอ่ยพลางค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ “พี่สาม อย่าทำตัวห่างเหินกับพวกเราหน่อยเลย”

เมื่อเขาพูดจบก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียก

“เซี่ยงชี!”

สามคนที่ยืนอยู่หน้าประตูสะดุ้งตกใจก่อนหันกลับไปมอง

สวีปั้งฉุยที่อยู่ด้านในเบิกตาโพรงจ้องมองพวกเขา

“เจ้าหมอนี่…” สวีปั้งฉุยถลึงตาตะโกน ก่อนจะยื่นมือชี้นิ้วแล้วเดินเข้ามา

สวีเม่าซิวเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะเอื้อมมือออกไปขวางอีกคนไว้ ออกแรงจับบั้นเอวให้เขายืนอยู่กับที่

“หากพูดเรื่องเก่าก็รังแต่จะสร้างปัญหา” เขาพยายามกดเสียงให้เบา

คำสองพยางค์ว่าปัญหานี้ช่างหน้าหวาดหวั่นนัก สวีปั้งฉุยหน้าแดงก่ำก่อนจะไอโขลกอย่างรุนแรง จำใจกลืนคำพูดที่จะเอ่ยเมื่อครู่ลงคอไป

“พี่ปั้งฉุย” หญิงสาวเอ่ยเรียกอย่างดีใจ “ท่านก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ”

สวีปั้งฉุยกระแอมพลางพยังหน้า ก่อนจะโบกมือให้นาง

“เช่นนั้นก็ดีเลย พวกพี่เจียงหลินก็อยู่ที่นี่หรือไม่” หญิงสาวเอ่ย “เช่นนั้นก็เรียกมากันให้หมดเลย ไปที่เรือนข้ากัน”

นางเอ่ยพลางถลึงตาใส่ชายหนุ่ม “เจ้ามัวนิ่งอยู่ทำไมเล่า รีบไปเรียกรถม้าสิ”

“ไม่ต้องหรอก พวกข้ายังยุ่งกันอยู่ ไว้ว่างแล้วค่อยไปก็แล้วกัน” สวีปั้งฉุยเอ่ยเสียงแหบพร่า

หญิงสาวมองพวกเขาก่อนจะหันไปมองชายหนุ่ม

“พี่ใหญ่สวี ท่านเห็นเราเป็นคนอื่นคนไกลจริงๆ ใช่หรือไม่” นางเอ่ยสีหน้าเศร้าสร้อยก่อนจะก้มหน้าแล้วหันหลังเดินจากไป “ข้าดีใจเกินไปหน่อยที่ได้พบพวกท่าน ขอพวกท่าน ขอพวกท่านให้อภัยด้วย เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”

“ไม่ใช่เช่นนั้น แม่นางต่ง” สวีเม่าซิวรีบเอ่ยขึ้น “พวกข้าแค่เกรงใจ”

หญิงสาวที่หันหลังกลับไปแล้วรีบเหลียวมาในทันที ใบหน้ากลับมาเต็มไปด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง

“เกรงใจอันใดเล่า” นางเดินเข้ามาใกล้พลางมองสวีเม่าซิว “ข้ารู้แล้วว่าพี่ใหญ่สวี่ไม่เคยเห็นพวกข้าเป็นคนอื่นคนไกลแน่นอน”

สวีเม่าซิวยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน หลบสายตามองไปทางอื่น

ชายหนุ่มที่ยืนเงียบอยู่ด้านหลังหญิงสาวมาตลอด สีหน้าของบึ้งตึง

“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ” ฟ่านเจียงหลินถลึงตาตะโกน “เหตุใดพวกเราต้องไปที่บ้านพวกเขาด้วย”

ณ เรือนไท่ผิง ยามนี้เป็นเวลาบ่ายที่ลูกค้าเริ่มบางตา และเป็นเวลากินข้าวของพวกเขา

เพราะสวีเม่าซิวมาเยือน ภายในห้องพี่น้องทั้งเจ็ดจึงนั่งล้อมวงกันอย่างพร้อมหน้า พร้อมกับอาหารและเหล้าเรียงราย

สวีเม่าซิวถือชามข้าวค้างไว้ทว่าไม่พูดคำใด

“เขาไม่ได้บ้า” สวีปั้งฉิวใช้ตะเกียบคีบผักขึ้นมาก้านหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเคือง “คนเขาแค่อ่อนโยนกับหญิงสาว”

สวีเม่าซิววางชามข้าวลง

“พูดจาเช่นนี้เป็นกับเขาด้วยหรือ คนอย่างเจ้าน่ะ” เขาเอ่ยพลางถลึงตาใส่สวีปั้งฉุย “เรื่องอื่นสอนเจ้าไม่ยักจะจำได้”

พี่น้องพากันหัวเราะ

“พอแล้ว พอแล้ว” ฟ่านเจียงหลินยกมือปราม

ทุกคนต่างกลั้นหัวเราะก่อนจะเริ่มกินข้าว

“ท่านพ่อของแม่นางต่งเป็นคนดีนัก” ฟ่านเจียงหลินเอ่ย “แต่ว่า แต่ว่าตัวดีคือเซี่ยงชี…”

“ก็ใช่น่ะสิ พวกพี่ใหญ่ไม่ได้เห็น สายตาของเซี่ยงชีในตอนนั้นราวกับจะกลืนกินพี่สามลงท้อง

แหนะ” สวีปั้งฉุยเอ่ย

“สายตาของแม่นางต่งก็เหมือนจะกลืนกินพี่สามเหมือนกัน” พี่น้องคนหนึ่งเอ่ยพลางยกตะเกียบชี้แล้วหัวเราะออกมา

เสียงหัวเราะดังไปทั่วห้องอีกครั้ง

“พอได้แล้ว” สวีเม่าซิวตะโกน

ทุกคนพากันก้มหน้ากลั้นหัวเราะ

“เรื่องนั้นข้ารู้ดี” สวีเม่าซิวสูดหายใจลึกแล้วพูดออกมา

“รู้อยู่แล้วแต่เจ้าก็ยังรับปาก” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยพลางขมวดคิ้ว “เจ้าสาม เจ้าเก่งทุกอย่าง รู้หนังสือรู้ตำรารู้มารยาท แต่ว่ารู้มารยาทเกินไปก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี เจ้าน่ะยึดถือเรื่องหน้าตามากจนเกินไปแล้ว…”

“แต่ก่อนนายใหญ่ตระกูลต่งก็ดีกับพวกเรานัก” สวีเม่าซิวเอ่ย “หากเขาไม่รู้ก็คงไม่เป็นไร แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว หากพวกเราไม่ไปเยี่ยมสักหน่อย ก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร”

ฟ่านเจียงหลินถอนหายใจ

“หากไม่เกิดเรื่องนั้น ไม่ต้องรอให้เจ้าบอก พวกเราก็คงไปเยี่ยมตั้งนานแล้ว” เขาเอ่ย “ยามนี้หากพวกเราไป เจ้าเซี่ยงชีนั่นก็หึงหวงอย่างกับอะไรดี ขืนพวกเราไปรังแต่จะทำให้ผัวเมียหมางใจกัน… เช่นนั้นคงรู้สึกผิดต่อนายใหญ่ต่งแย่…”

สวีเม่าซิวเงียบไปครู่ใหญ่

“ก็แค่ไปให้เห็นหน้า พวกเราก็อธิบายกับนายใหญ่ต่งให้ชัดเจน ข้าคิดว่าเขาคงเข้าใจพวกเรา” เขาเอ่ย “เช่นนั้นพวกเจ้าก็ว่ามาว่าควรทำเช่นไร หนีหรือ เมืองหลวงจะว่าใหญ่ก็ใหญ่ จะว่าเล็กก็เล็ก เอาแต่หนีก็รังแต่จะเข้าใจผิดกันไปใหญ่ แย่เสียยิ่งกว่าเดิม สู้พูดออกไปตามตรงยังจะดีเสียกว่า”

เหล่าพี่น้องพยักหน้า

“หากอธิบายให้เข้าใจ เรื่องก็จบแล้ว” สวีเม่าซิวเอ่ยพลางยกชามข้าวขึ้นมาอีกครั้ง “มา มา กินข้าวกันเถอะ เรื่องเล็กน้อย อย่าได้เก็บมาเป็นกังวล”

“ใช่ ใช่” เหล่าพี่น้องเอ่ยตาม “เรื่องเล็กน้อย พวกเรารู้จักนายใหญ่ต่งมาตั้งนาน รู้จักเขาก่อนเซี่ยงชีเสียด้วยซ้ำ เหตุใดต้องหลบหน้าไม่ยอมไปพบนายใหญ่ต่งเพียงเพราะเขาด้วย”

บรรยากาศภายในห้องเริ่มครื้นเครงขึ้นมา

“เตรียมของกำนัลเสียหน่อย”

“ต้องเป็นของชั้นเยี่ยมที่สุด!”

“แน่นอนอยู่แล้ว เทียบกับเซี่ยงชีแล้วพวกเรามีเงินเยอะกว่าเป็นไหนๆ …”

ฟ่านเจียงหลินส่ายหน้า ตะเกียบที่ข้างอยู่ก็เริ่มคีบกินข้าวอีกครั้ง

หากอธิบายให้เข้าใจแล้ว เรื่องก็คงจบ…กระมัง

……………….