พอออกจากเรือนนางฟ้าไป สาวใช้ที่อยู่ในรถม้าเอาแต่หัวเราะไม่หยุด

“ท่านชายสามคนแข็งทื่อเช่นนั้น ไม่คิดเลยว่าจะมีคนรักเก่ากับเขาด้วย” นางเอ่ยพลางหัวเราะ

สีหน้าท่าทางที่หญิงสาวผู้นั้นปฏิบัติต่อสวีเม่าซิว แม้แต่คนโง่ก็ยังดูออก

“ท่านชายสามแข็งทื่อเสียที่ไหนกัน” ปั้นฉินส่ายหน้า “ท่านชายสามออกจะ… ออกจะ…”

จู่ๆ ก็นึกไม่ออกว่าจะอธิบายเช่นไร

“ออกจะเป็นชายหนุ่มผู้ถ่อมตัวหรือ” สาวใช้ต่อคำพลางหัวเราะ

ปั้นฉินพยักหน้ารัว

“เพราะเช่นนั้นคนก็เลยลืมไม่ลงอย่างไรเล่า” สาวใช้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ท่านชายสามช่างเพรียบพร้อม” ปั้นฉินเอ่ยทว่าสีหน้ากลับแฝงไปด้วยความขุ่นเคือง “แต่ว่า แม่นางผู้นั้นก็แต่งงานแล้ว เหตุใดถึงไม่รู้จักสำรวมเสียบ้าง ดูสามีนางสิ ตาเขียวปัดเชียว”

“คงเกลียดท่านชายสามของพวกเรามากกระมัง” สาวใช้ขมวดคิ้วเอ่ย

นั่นก็แน่นอนอยู่แล้ว…

ปั้นฉินเองก็ดูร้อนใจไม่น้อย

พอพูดถึงตรงนี้ รถม้าก็หยุดลงที่หน้าประตู ทั้งสองหยุดพูดในทันทีก่อนจะลงรถไป พลางมองไปที่เฉิงเจียวเหนียง

“นายหญิง ท่านคิดว่าอย่างไรเจ้าคะ” ปั้นฉินถาม

“เรื่องใด” เฉียงเจียวเหนียงถาม

“เรื่องท่านชายสามอย่างไรเล่าเจ้าคะ”

“ท่านพี่เป็นคนดีมาก” เฉิงเจียวเหนียงตอบ

สาวใช้และปั้นฉินหัวเราะ บางครานายหญิงก็เหมือนจะตามไม่ทันเรื่องที่ทุกคนคุยกัน

“แล้วสามีภรรยาคู่นั้น…” พวกนางเอ่ยขึ้นในทันใด

“สามีภรรยา คู่นั้น ทำไมอีกหรือ” เฉิงเจียงเหนียงเอ่ยตัดบทพวกนางพลางลงจากรถ

ปั้นฉินกำลังจะเอ่ยปาก ทว่าสาวใช้กลับยิ้มพลางกระตุกแขนนาง

“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเอื้อมมือไปประคองเฉิงเจียวเหนียง “วันนี้เรากินข้าวเย็นกับอะไรดีเจ้าคะนายหญิง”

เหตุใดถึงพูดเรื่องกินขึ้นมาอีกเล่า ปั้นฉินงุนงงยิ่งนัก ทว่านางก็ไม่ได้สนใจมาตั้งแต่แรก หากไม่เข้าใจก็คงไม่แปลก เข้าใจเท่าที่ตนเองเข้าใจก็พอ…

“กินบะหมี่เย็นดีไหม” นางเอ่ย

ขณะที่นายบ่าวสามคนกำลังจะเข้าประตูไป ก็มีเสียงคนตะโกนเรียกมาจากด้านหลัง

“แม่นางเฉิง”

เฉิงเจียวเหนียงเหลียวหลังไปมอง ก็เห็นท่านชายฉินสิบสามค่อยๆ เดินจากสะพานเข้ามาใกล้

เขาสวมชุดผ้าไหมคอกลมเหมาะกับฤดูร้อนยิ่งนัก ฝีเท้านั้นค่อนข้างเชื่องช้าเพื่อปิดบังแข้งขาที่เดินเหินไม่สะดวก ทว่ากลับทำให้ดูสุขุมยิ่งกว่าเดิม บวกกับใบหน้างดงามนั้น มองดูอย่างไรก็คือชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง พาลดึงดูดให้หญิงสาวมากมายที่เดินผ่านพากันยกพัดขึ้นมาปิดหน้าแล้วมองตาม

เฉิงเจียวเหนียงคำนับให้เขา

“ข้ามารบกวนแม่นางอีกแล้ว” ท่านชายฉินสิบสามคำนับกลับ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“เจ้ามีอะไรหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

สามนายบ่าวหน้าประตูต่างมองไปที่เขา จินเกอร์ที่เปิดประตูออกก็มองเขาเช่นกัน ทว่ากลับไม่มีท่าทีว่าจะเอ่ยปากเชิญเขาเข้ามา

อันที่จริงหากนับดูแล้วเขาเพิ่งจะหายดีมาได้แค่เพียงครึ่งเดือนเท่านั้น เหตุใดยามนี้หายดีเป็นปกติแล้วกลับรู้สึกไม่คุ้นชินอย่างประหลาดเสียอย่างนั้น

ท่านชายฉินสิบสามยิ้มกับตัวเอง

“ตอนนี้ข้าดื่มเหล้าได้หรือไม่” เขาถาม

“ไม่ได้” เฉิงเจียวเหนียงตอบ

ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะ

“เช่นนั้นก็น่าเสียดายแย่” เขาเอ่ย

 “ดื่มเหล้าเป็นสิ่งต้องห้าม ข้าเคยบอกกับท่านแม่เจ้าแล้ว เจ้ากลับไปถามนางดู” เฉิงเจียวเหนียงตอบ นางคำนับแล้วเดินจากไป

ท่านชายฉินสิบสามเดินเข้ามาใกล้

“เช่นนั้น ข้าขอเลี้ยงเหล้าแม่นางได้หรือไม่” เขาเอ่ยถาม

เฉิงเจียวเหนียงหันมามองเขา

“ได้” นางเอ่ยพลางพยักหน้า

เช่นนี้ก็ได้หรือ

นางตอบรับอย่างง่ายได้ด้วยท่าทางยิ้มแย้ม จนท่านชายสิบสามตกตะลึงไปครู่หนึ่ง

“เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่า ทุกสิ่งเปลี่ยนไปหมดเลย” เขาเอ่ยพลางยิ้ม “คงเป็นเพราะแข้งขาหายดีแล้ว ยืนตรงได้แล้ว สายตาที่มองเห็นก็เลยไม่เหมือนเมื่อก่อนอย่างนั้นหรือ”

“เพิ่งหายป่วย ก็เป็นเช่นนี้แล” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ผ่านไปช่วงหนึ่ง ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”

ท่านชายฉินสิบสามมองนางแล้วหัวเราะ

“คืนวันนี้คงไม่รบกวนแม่นางแล้ว พรุ่งนี้ยามเที่ยง ข้าขอเชิญแม่นางมาเลี้ยงฉลอง” เขาเอ่ยพลางโค้งคำนับ

เฉิงเจียวเหนียงคำนับกลับแล้วก้าวเข้าประตูไป

ความมืดมิดยามราตรีเข้าปกคลุม ยามที่ประตูบ้านเรือนต่างปิดลง แต่แสงไฟในหอเต๋อเซิ่งกลับสว่างไสว เสียงเพลงและเสียงหัวเราะคลอไปกับเสียงของน้ำตกกระบอกไม้ไผ่ดังไปทั่วห้องที่อยู้ถัดจากโถงใหญ่

บนระเบียงทางเดินที่ล้อมรอบเพดานเปิดโล่ง หญิงสาวนับร้อยกำลังพูดคุยหัวเราะกันอยู่ด้านบน ราวกับผีเสื้อนับร้อยกำลังร่ายรำพาให้คนดวงตาพร่ามัว

แต่สำหรับแขกเจ้าประจำแล้ว ยังคงสามารถแยกแยะหาเป้าหมายที่สายตาตนอย่างมองได้อย่างง่ายดาย

“ดูนั่นสิ เจ้าสองคนนั้น เดินไปไหนของพวกเขากัน”

จู่ๆ ก็มีแขกที่อยู่ด้านล่างตะโกนขึ้น พลางยกมือชี้นิ้ว

คนรอบข้างได้ยินดังนั้นก็มองตาม ก็เห็นชายหนุ่มสองคนกำลังเดินอยู่บนสะพานของอาคารฝั่งตรงข้าม

นั่นเป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อไปยังห้องพักของเหล่านางคณิกาของหอเต๋อเซิ่ง

เหล่าผู้คนที่อยู่ด้านล่างพากันโห่ร้องขึ้นมาในทันใด

เนื่องจากแม่นางจูกำลังเรียกร้องความยุติธรรมให้ท่านพ่อของตน หลายวันมาแล้วที่นางไม่ได้รับแขก ทว่านั่นไม่ได้ทำให้เหล่าแขกเหรื่อไม่พอใจแต่อย่างใด แต่กลับยิ่งทำให้เคารพเทิดทูนนางเสียยิ่งกว่าเดิม

แต่ก่อนแม่นางจูก็เป็นแค่นางคณิกาสาวงามผู้มากความสามารถ ทว่ายามนี้พ่วงด้วยฐานะของลูกสาวขุนนาง แม้จะต้องแปดเปื้อนเพราะความอยุติธรรม แต่ก็ไม่ได้ทำให้คุณค่าในตัวตนของนางเสื่อมคลายลง หญิงสาวมีมลทินที่รังเกียจตนเองเช่นนาง ช่างดูแสนสูงส่งและสะอาดบริสุทธิ์ในสายตาของผู้คน

ได้ยินมาว่าแขกที่มารอพบแม่นางจูนั้นต่อแถวยาวกันไปจนถึงท้ายปีแล้ว

แล้วนั่นคือผู้ใดกัน เหตุใดถึงได้เป็นคนโชคดีเสียขนาดนั้น ผู้ใดกันถึงสะดุดตาแม่นางจูได้

พวกเขาพากันจ้องมอง ชายหนุ่มคนหนึ่งบนสะพานโบกมือให้แก่

“ฮ่า ฮ่า มองจากมุมนี่หอเต๋อเซิ่งช่างงดงามนัก สวรรค์บนดินแท้ๆ” ชายหนุ่มยิ้มพลางตะโกนเสียงดัง “พวกเจ้าก็แค่คนธรรมดาเดินดิน ข้าขอตัวไปพบนางฟ้าก่อนแล้วกัน…”

ท่านชายเฉิงสี่รู้สึกประหม่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอได้ยินเสียงตะโกนของเขาแล้วมองลงไปด้านล่าง ก็เห็นผู้คนโห่ร้องแตกตื่นราวกับหยดน้ำสาดกระเซ็นในกระทะน้ำมันร้อน เขาก็แทบอยากจะวิ่งหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด

“ทำอะไรของเจ้า!” เขาตะโกนพลางกระชากท่านชายหวังสิบเจ็ดกลับมา

“ก็แค่เล่นสนุก” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยด้วยรอยยิ้มพลางมองลงไปชั้นล่าง “เจ้าดูคนพวกนั้นสิ คงอิจฉาจนจุกอกตายแล้วกระมัง! ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าน่ะ…”

เขายังคงอยากก่อกวนคนชั้นล่างต่อ ทว่ากลับถูกท่านชายเฉิงสี่รั้งเอาไว้ก่อน

“พอได้แล้ว เจ้าไม่อยากมีชีวิตรอดออกไปหรือ” เขาเอ่ยเสียงต่ำ

“จริงเจ้าค่ะท่านชาย”

สาวใช้ที่เดินนำอยู่ข้างหน้าหันหลังกลับมา พร้อมกับรอยยิ้มบาง

“คนพวกนี้หากโมโหขึ้นมาก็กล้าทำร้ายคนจริงๆ นะเจ้าคะ รุมตีจนตายแล้วก็โวยวายกันอยู่สักพักจากนั้นก็พากันแยกย้ายหนีไป ทางการก็ทำอะไรไม่ได้”

ได้ยินเช่นนั้นท่านชายหวังสิบเจ็ดถึงยอมสงบปากสงบคำ ก่อนจะเดินตามสาวใช้ไปติดๆ

“ขอบใจนัก ขอบใจนัก” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ “โชคดีเหลือเกินที่ได้พบแม่นางจู ข้าเลยดีใจจนเกินไปหน่อย”

ตั้งแต่แม่นางจูเป็นอิสระ สาวใช้ก็พบเจอคนเช่นนี้บ่อยครั้ง สีหน้าดูถูกเหยียดหยามเผยออกมาอย่างไม่มีปกปิด

พวกเขาพูดคุยกันจนข้ามสะพานไป เดินไปอีกสักพักก็มาหยุดที่หน้าห้องโถงห้องหนึ่ง

“ท่านพี่ ท่านชายเฉิงและท่านชายหวังมาแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ย

“รีบเชิญเข้ามา”

หญิงสาวในห้องเอ่ยขึ้น

เพียงแค่ได้ยินเสียงท่านชายหวังสิบเจ็ดก็อ่อนระทวย จนต้องเอื้อมมือไปจับแขนท่านชายเฉิงสี่เพื่อช่วยพยุง

ประตูห้องถูกเปิดออก

“เชิญท่านชายเจ้าค่ะ” ชุนหลิงเอ่ยพลางยิ้ม

ท่านชายหวังสิบเจ็ดเดินสั้นก้าวยาวก้าวเข้าไป ท่านชายเฉิงสี่ก็เดินตามไปเช่นกัน

ภายในห้องมีหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งอยู่ ใบหน้าผัดแป้งบางเบา ทว่างดงามไม่มีผู้ใดเปรียบ นางสวมชุดสีสันสดใสที่นางคณิกาจากกองสังคีตมักจะสวมใส่ ด้านหน้าเผยให้เห็นเนื้อเนินอก ทว่ากลับไม่ได้ดูประเจิดประเจ้อแต่อย่างใด

“ข้าจูเหิงคารวะท่านชายทั้งสองเจ้าค่ะ” นางก้มหัวคำนับ

“ที่แท้แม่นางนามว่าเหิงนี่เอง” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยพลางนั่งลงด้วยร่างอ่อนปวกเปียก

“ท่านชายเห็นว่าอย่างไรเจ้าคะ” แม่นางจูเงยหน้ามองเขา สีหน้านั่นดูตื่นตระหนกและดีใจในขณะเดียวกัน ทั้งยังแฝงไปด้วยความงุนงง ราวกับเด็กน้อยที่ถูกชื่นชมมิปาน

ท่านชายหวังสิบเจ็ดรู้สึกถึงเพียงหัวใจที่เต้นระรัว ในหัวสมองสับสนวุ่นวายไปหมด ถามว่าเห็นว่าอย่างไรน่ะหรือ หากถามตามตอนมีสติเขาก็เองก็ไม่รู้จะตอบกลับเช่นไร ก็แค่คำพูดป้อยอที่พูดจนติดปากก็เท่านั้น

ทว่าต่อหน้าหญิงงามเช่นนี้ เขาจะเสียกิริยาไม่ได้เด็ดขาด ใช้สติที่เหลืออยู่สะกิดท่านชายเฉิงสี่

“เห็นว่าอย่างไรหรือ” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว

แม้จะเป็นเพียงการขยับไหวเพียงน้อยนิด ทว่าไม่อาจรอดพ้นสายตาของคนในห้องไปได้

แม่นางจูหันไปมองท่านชายเฉิงสี่

“ข้าแค่ล้อเล่นเจ้าค่ะ นายท่านอย่าได้หัวเราะเยาะข้าเลย” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

ท่านชายเฉิงสี่หน้าแดงยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“ไม่ใช่เช่นนั้น ไม่ใช่เช่นนั้น แม่นางนามว่าเหิง ช่างเหมาะสมนัก” เขารีบเอ่ยขึ้น

“ขอบคุณท่านชายที่ชมเจ้าค่ะ” แม่นางจูเอ่ยพลางยิ้ม “กลอนบทนั้นท่าน…”

“ท่านพี่ เป็นของท่านชายเฉิงเจ้าค่ะ” ชุนหลิงตอบ

“ท่านชายเฉิงเป็นคนแต่งหรือเจ้าคะ” แม่นางจูเอ่ยด้วยรอยยิ้มพลางหยิบกระดาษบนโต๊ะขึ้นมา สายตาทอประกายความชื่นชม “ท่านชายแต่งกลอนได้ไพเราะนัก”

ทั่วร่างของท่านชายเฉิงสี่เหมือนมีอะไรมาทิ่มแทงจนนั่งไม่ติดที่ ใช่ว่าไม่เคยมีผู้ใดชมเขามาก่อน ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าควรตอบสนองเช่นไร แต่พอสาวงามเอ่ยชมตนด้วยสายตาตื่นเต้นเช่นนี้ ในใจก็เหมือนมีแมวนับไม่ถ้วนกำลังตะเกียดตะกายไปมาไม่หยุด…

“มิบังอาจ มิบังอาจ” เขาเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก

สายตาของแม่นางจูหันไปทางท่านชายหวังสิบเจ็ด

“ท่านนี้คือท่านชายหวังเจ้าค่ะ” ชุนหลิงเอ่ยแนะนำ

พอได้ยินชื่อตัวเอง ท่านชายหวังสิบเจ็ดที่เอาแต่จ้องมองใบหน้างามอย่างเหม่อลอยก็ได้สติขึ้นมา

“เอ่อ ข้าเอง ข้าเอง” เขารีบเอ่ย

สองสาวใช้ที่นั่งอยู่ด้านหลังหัวเราะคิกคัก

แม่นางจูไม่ยิ้ม ทว่ามองท่านชายหวังด้วยสายตาจริงจัง

“ชุนหลิงบอกว่า ท่านชายอยากพบข้า กลอนบทนี้เป็นกลอนท่านให้ท่านชายเฉิงแต่งให้ แต่ข้าสงสัยว่า เหตุใดท่านชายถึงไม่ลงชื่อตนเอง แต่กลับลงชื่อท่านชายเฉิง” นางกระพริบดวงตากลมโตพลางเอ่ยถาม

“เฮ้อ ก็ข้าไม่ได้เป็นคนเขียน เหตุใดถึงต้องลงชื่อข้าด้วยเล่า อีกอย่างของแบบนี้ใช่ว่าจะเอามาเป็นของตัวเองได้ แม้จะได้เจอแม่นางเพราะกลอนบทนี้ ถึงเวลานั้นก็คงปิดบังแม่นางไม่ได้อยู่ดี” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยพลางหัวเราะ “ข้าก็คือข้า ไม่ต้องแสร้งเป็นผู้ใด”

“นายท่านช่างเป็นคนตรงไปตรงมายิ่งนัก!” แม่นางจูมองเขา สีหน้าดูตกใจแต่ก็แฝงไปด้วยความชื่นชม แววตาเปี่ยมไปด้วยความนับถือ

ได้อยู่ต่อหน้าหญิงงามเช่นนี้ ทั้งยังถูกจ้องมองด้วยสายตาแบบนั้น ท่านชายหวังสิบเจ็ดรู้สึกเหมือนฝันว่าตนอยู่ในภพเทพเซียน ร่างกายล่องลอยไปอย่างไร้ทิศทาง

สองสาวใช้ลุกขึ้นไปยกน้ำชาและอาหารมาเข้า ขณะกำลังปิดประตูลงหนึ่งในนั้นหลุดหัวเราะออกมา

“คนบ้านนอกสองคนนี้มาจากที่ใดกัน น่าขายหน้านัก ชมเชยเพียงไม่กี่คำก็เหมือนจะเสียสติไปแล้ว…” นางเอ่ยกระซิบ “ท่านพี่ก็เหมือนกัน เหตุใดถึงต้องชื่นชมเขาถึงขนาดนั้นด้วย”

“ท่านพี่ไม่ได้ทำเพื่อเยินยอพวกเขาเสียหน่อย ท่านพี่พูดจากใจจริง” อีกคนเองก็กดเสียงให้เบาลง ก่อนจะเหลียวเข้ามามองในห้อง “นางทำเพื่อเอาใจชุนหลิงต่างหาก ก่อนที่ชุนหลิงจะมาติดตามท่านพี่ นางก็เคยทั้งทุกข์ทั้งสุขยามอยู่ที่บ้านเกิด ท่านพี่ก็เลยอยากให้นางดีใจต่างหาก ไม่เช่นนั้นคงไม่ยอมพบใครที่ไหนก็ไม่รู้เช่นนี้หรอก”

“ท่านพี่ช่างจริงใจแท้” สาวใช้คนหนึ่งเอ่ยอย่างตัดพ้อ “ชุนหลิงเองก็โชคดีเหมือนกัน ช่วยเหลือท่านพี่ ท่านพี่ถึงได้จำบุญคุณนางไม่เคนลืม”

“พวกเราเองก็โชคดีเหมือนกัน” อีกคนเอ่ยพลางยิ้ม

ทั้งสองหัวเราะคิกคักพลางซอยเท้าถี่รัวไปตามทางเดิน

เสียงผีผาดังขึ้นมาจากด้านหลัง จังหวะดนตรีค่อนข้างเร็ว เสียงติงตังพาให้คนได้ฟังแสนเพลิดเพลิน

…………………….