ยามท้องฟ้าเริ่มสว่าง ผู้คนก็เริ่มมายืนออเต็มหน้าประตูเมืองทางใต้แล้ว นอกจากคนยังมีฝูงสัตว์มากมายที่พากันส่งเสียงร้องไม่หยุด อากาศยามฤดูร้อนไม่เป็นที่น่าอภิรมย์สักเท่าไหร่นัก
“เซี่ยงชี!”
เสียงตะโกนเรียกดังก้องพร้อมกับเสียงฝีเท้าของม้าที่ควบเข้ามา ทหารเวรยามประจำประตูเมืองทิศใต้ก็ควบม้าพากันออกมาเช่นกัน
เหล่าชายหนุ่มที่พูดคุยหัวเราะกันอยู่ปากประตูก็รีบวิ่งออกมาในทันใด
“ใต้เท้าเจิ้งมาแล้วหรือขอรับ” เขาเอ่ยพลางพยักหน้าโค้งคำนับ
ชายร่างผอมบนม้าขมวดคิ้วแล้วยกแส้ม้าชี้มาที่เขา
“เหตุใดถึงไม่ปัดกวาดตรงนี้ให้เรียบร้อย” เขาเอ่ย
เซี่ยงชีไม่กล้าเอ่ยคำใด ก่อนจะรีบขานรับแล้วหันหลังไปเรียกคนอื่น
“เจ้าก็ทำเองสิ ประตูเมืองเล็กแค่นี้ ยังต้องให้ทุกคนมาลงแรงอีกหรือ” นายทวารเจิ้งยกนิ้วชี้ไปที่เหล่าทหาร “ตอนออกไปเก็บภาษีเก็บส่วยเห็นวิ่งเสนอหน้ากันดีนัก งานของประตูเมืองมีตั้งมากมายไม่ยักจะเห็นพวกเจ้า เจ้าพวกคนเลี้ยงเสียข้าวสุก!”
แต่ละคนถูกด่าจนหน้าชาไปหมด ก่อนจะพากันวิ่งวุ่นขึ้นไปบนประตูเมือง
ชายผู้นั้นถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด พลางมองดูเซี่ยงชีที่คว้าไม้กวาดออกมาทำความสะอาด
“เจ้าพวกขี้เกียจสันหลังยาว!” ชายหนุ่มสถบด่าก่อนสะบัดแซ่ม้าแล้วหันหลังกลับไป
พอเห็นว่าเขาไปแล้ว เหล่าทหารชั้นผู้น้อยก็กลับมารวมตัวอีกครั้ง
“ไปโมโหใครที่ไหนมาอีกละเนี่ย”
“ต้องเป็นเพราะถูกแม่นางหอชิงไล่ตะเพิดมาอีกแน่…”
ทุกคนพูดคุยหยอกล้อกันเพื่อคลายอารมณ์ ทว่าพอมองไปก็เห็นชายหนุ่มยังคงกวาดพื้นไม่หยุด
“เซี่ยงชี ไม่ต้องกวาดแล้ว เดี๋ยวเข้าไปข้างในก็มีทั้งขี้ทั้งเยี่ยว ใครจะไปกวาดไหวกัน” พวกเขาพากันตะโกน
ชายหนุ่มดูเหมือนจะไม่ได้ยิน คงยังกวาดต่อไปด้วยความหงุดหงิด
“เจ้าเซี่ยงชีก็เหมือนกัน จะมาทรมานตัวเองอยู่ที่นี่เพื่อเหตุใดกัน”
“นั่นน่ะสิ พ่อตาอุตส่าห์ออกเงินให้แท้ๆ ประตูเมืองมีตั้งมากมาย เหตุใดถึงต้องมาทนทุกข์อยู่ประตูเมืองทิศใต้ด้วย…”
“นั่นสิ พ่อตาตำแหน่งใหญ่โตถึงขนาดนั้น จะมาเป็นขุนนางต๊อกต๋อยทำไมกัน นอนเสวยสุขอยู่ที่บ้านไม่ดีกว่าหรือ…”
“พ่อตาที่ไหนกัน ท่านพ่อต่างหาก…”
“เช่นนั้นก็ยิ่งดีเลย สายตรงยิ่งกว่าพ่อตา”
พวงเขาพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เซี่ยงชีที่อยู่ห่างออกไปเหมือนจะไม่ได้ยิน ทว่าน้ำหนักการกวาดกลับแรงขึ้นเรื่อยๆ จังหวะก็เร็วขึ้นเช่นกัน หน้าประตูเมืองฝุ่นตลบไปหมด จนผู้คนที่รอออกนอกประตูเมืองจำต้องอุดจมูกวิ่งหลบกันอุตหลุด
แม้ขุนนางชั้นผู้น้อยจะไม่มีค่าอันใดในสายตาของตระกูลขุนนาง แต่ชาวเมืองเหล่านี้ก็ไม่มีค่าอันใดในสายตาของขุนนางชั้นผู้น้อยเช่นกัน
ถึงทุกคนจะอุดจมูกวิ่งหนีไป แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปากบ่น ทำได้เพียงจ้องมองเซี่ยงชีที่กวาดฝุ่นมาทางพวกตนด้วยสายตาหงุดหงิด เก็บกลั้นความโกรธและกลืนคำด่าลงคอไป
ไม่นานประตูเมืองก็เปิดออก ผู้คนหลั่งไหลเข้าออกเมืองมากมาย ทว่าที่นำหน้าเข้ามากลับเป็นฝูงสัตว์ไม่ใช่ฝูงคน
เซี่ยงชียังคงกวาดต่อไปด้วยความหงุดหงิด เหล่าสัตว์ที่ถูกไล่ต้อนเข้ามาก่อนส่งเสียงร้องโหวกเหวกวุ่นวาย บนพื้นเต็มไปด้วยก้อนมูลมากมาย เหล่าชาวเมืองพากันเดินหลบเลี่ยง ฝูงสัตว์แตกตื่นส่งเสียงร้องวิ่งหนีอย่างอลหม่าน เซี่ยงชีเองก็เผลอเหยียบไปเช่นกัน จนเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนเป็นรอยด่าง
“โธ่เว้ย!” ในที่สุดเซี่ยงชีก็หุนหันขึ้นมา “โมโหคนยังไม่พอ ยังต้องมาโมโหสัตว์อีก!”
เขาเขวี้ยงไม้กวาดในมือลงพื้นอย่างแรง ก่อนจะเดินจากไปอย่างหงุดหงิด
ยามฟ้าสว่าง เซี่ยงชีเดินเข้ามาในประตูเรือน เหล่าบ่าวในเรือนที่เห็นเขาบ้างก็คำนับให้อย่างขอไปที บ้างก็แสร้งทำเป็นไม่เห็น เซี่ยงชีเองก็เห็นจนชินชาจึงไม่ได้ใส่ใจ ก่อนจะสะบัดเกี๊ยะไม้เดินมุ่งหน้าไปยังเรือน แล้วเข้าประตูไป
“เหตุใดเจ้าถึงเพิ่งกลับมา”
เสียงของหญิงสาวดังออกมาจากในห้อง
“ก็กลับมายามนี้ตลอดมิใช่หรือ” เซี่ยงชีเอ่ย สีหน้าแฝงไปด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดเจ้าถึง…”
“วันนี้จะเหมือนเคยได้อย่างไร วันนี้พวกพี่ใหญ่สวีจะมาเยี่ยมนะ” หญิงสาวเอ่ยขัดเขาแล้วเดินออกมาจากห้อง
นางสวมเสื้อผ้าชุดใหม่สีสันสดใส ปักปิ่นผีเสื้อทั้งยังใส่ต่างหูไข่มุก ผัดแป้งเขียนคิ้วแต่งหน้า ในแววตาเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
เพียงแต่พอเห็นเซี่ยงชี รอยยิ้มบนในหน้านั้นก็จางหายไป
“เหตุใดเจ้าถึงตัวเหม็นหึ่งเช่นนี้” นางขมวดคิ้วเอ่ยพลางชี้นิ้วมาที่เขา “ใครให้เจ้าเข้าเรือนมาในสภาพนี้กัน รีบออกไปล้างตัวเดี๋ยวนี้!”
“เหตุใดข้าถึงตัวเหม็นหึ่งเช่นนี้หรือ พวกเจ้าไม่รู้หรืออย่างไร” เชี่ยงชีเอ่ยน้ำเสียงหงุดหงิด “ก็เพราะพวกเจ้าให้ข้าไปอยู่ที่ประตูเมืองทิศใต้ไม่ใช่หรือ”
เขาพูดออกมาทว่าไม่กล้าขึ้นเสียงดังสักเท่าไหร่ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาแล้วเดินออกไป
“รีบอาบน้ำล่ะ เจ้าออกไปแล้วก็คอยต้อนรับพวกพี่ใหญ่สวีด้วยล่ะ จะได้ไม่ต้องเสียแรงตามหาเจ้าอีก” หญิงสาวตะโกนไล่หลัง”
เซี่ยงชีเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาว หน้าเขียวปัด แววตาขุ่นเคืองอย่างปิดไม่มิด
หญิงสาวยกกระจกขึ้นมาส่องปิ่นปักผม ไม่ได้เห็นสีหน้านั้นแม้แต่นิด
เซี่ยงชีหลบสายตาก้มหน้าแล้วเดินออกไป
ในยามนั้นสวีเม่าชิวและพรรคพวกก็ออกจากเรือนมาแล้ว ขณะที่กำลังเดินข้ามสะพาน ก็ได้ยินเสียงหญิงสาวหัวเราะตะโกนเรียกท่านชาย
ฤดูร้อนเช่นนี้ ในแม่น้ำเต็มไปด้วยเรือท่องเที่ยวที่ตกแต่งอย่างสวยงามมากมาย มีทั้งนางคณิกาที่คอยพูดคุยหยอกล้อปรนนิบัติแขก และมีทั้งเหล่าลูกสาวของตระกูลต่างๆ มาล่องเรือคลายร้อน
เดิมทีสวีเม่าซิวและพรรคพวกไม่ได้ใส่ใจกับเสียงนั้น แต่พอได้ยินเสียงคุ้นหูจึงรีบเหลียวหลังไปมอง แล้วก็ต้องตกใจอย่างอดไม่ได้
“นายหญิง ดูสิเจ้าคะ ใช่พวกท่านชายจริงๆ ด้วย” สาวใช้เอ่ยร้องพลางโบกมือให้เหล่าชายหนุ่มเจ็ดแปดคนบนสะพาน
“น้องสาวนี่เอง”
สวีเม่าซิวและพี่น้องขยับเข้ามาใกล้ราวสะพานพลางชะโงกออกมามอง
หญิงสาวสามคนบนเรือลำน้อยก็แหงนหน้ามองพวกเขาเช่นกัน
“น้องสาวจะไปที่ใดหรือ” สวีเม่าซิวเอ่ยถาม พอถามจบสายตาก็เบนไปหาชายหนุ่มที่อยู่ท้ายเรือ
ท่านชายฉินสิบสามโบกมือทักทายพวกเขา
“พวกเราจะไปล่องเรือเลี้ยงฉลองเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม พลางหรี่ตามองสวี่เม่าซิวและพวกพ้อง สายตายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “วันนี้พวกท่านชายสวมเสื้อผ้าชุดใหม่เสียด้วย จะไปงานเลี้ยงฉลองเหมือนกันหรือเจ้าคะ”
ได้ยินนางพูดดังนั้น เหล่าชายหนุ่มก็ประหม่าขึ้นมา ก่อนจะยกแขนขึ้นมาจัดแจงเสื้อผ้าของตนเอง
“ข้าบอกแล้วว่าไม่ต้องสวมชุดใหม่ ไม่ได้ไปดูตัวเสียหน่อย” สวีปั้งฉุยเอ่ยกระซิบ
กระแสน้ำไหลเชี่ยว เฉิงเจียวเหนียงยิ้มพลางคำนับให้แก่พวกเขา นางยกมือขึ้นโบกไปมา ไม่นานเรือลำน้อยก็แล่นผ่านสะพานโค้งไป
“ท่านชายต้องไปพบกับสหายเก่าแน่เลย” สาวใช้เอ่ยหัวเราะแล้วหันหลังกลับไปมอง
สวีเม่าซิวและเหล่าพี่น้องแม้จะหันหลังกลับไปแล้วแต่ก็ยังส่งพวกนางด้วยสายตา
“เส้นทางนี้มีสะพานโค้งอีกห้าแห่ง สะพานที่ใหญ่ที่สุดตั้งอยู่นอกเมือง” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย พลางเดินเข้ามา แต่เพราะเรือนั้นโคลงเคลง บ่าวรับใช้ถึงต้องคอยพยุงไว้
“แต่ก่อนแม่นางออกบ้านก็นั่งแต่รถม้า วันนี้มาชมทิวทัศน์ทางน้ำกัน” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“แตกต่างกันนัก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย สายตามองไปที่สะพานโค้ง
“คราวก่อนก็ตั้งใจว่าจะชวนแม่นางมาเที่ยวด้วยกัน” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยพลางยิ้ม “นึกไม่ถึงเลยว่าแม่นางยอมรักษาให้ข้าเร็วถึงเพียงนี้ ข้าเลยหมดโอกาสเอาใจแม่นางเลย”
เฉิงเจียวเหนียงหันมายิ้มบางให้แก่เขา
“เพราะท่านชายให้ความร่วมมือก็เลยรักษาได้เร็ว” นางเอ่ย
ท่านชายฉินสิบสามชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะยกใหญ่
ริมฝั่งแม่น้ำ ผู้คนที่เดินสัญจรบนถนนถูกไล่ต้อน หลบหลีกทางให้ฝูงม้า
“หยุดรถ”
เสียงดังกึกก้องดังขึ้นมาจากในรถ
รถและม้าที่ถูกฝึกปรือมาอย่างดีจอดลงในทันใด เหล่าองค์รักษ์ซ้ายขวาหน้าหลังก็พร้อมตั้งรับอยู่เสมอ
ชาวเมืองบนถนนที่ถูกต้อนออกไปยังคงพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน เสียงตะโกนจากร้านค้ายังคงดังไม่ขาดสาย
ยามนี้ริมน้ำไร้ผู้คนสัญจรไปมา ม่านรถถูกแหวกออก ใบหน้าของชายหนุ่มก็ปรากฏขึ้น
จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองเรือลำน้อยที่ล่องมาตามน้ำ ยิ่งเรือเคลื่อนเข้ามาใกล้ก็ยิ่งเห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ บนเรือลำน้อยนั้นมีหญิงสาวและชายหนุ่มยืนเคียงข้างกัน ทั้งสองยิ้มให้กัน ทว่าพริบตาเดียวก็แล่นจากไป
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเหลียวหลังมองตามอย่างอดไม่ได้
“องค์ชายขอรับ” องค์รักษ์ที่ติดตามมากับรถเอ่ยถาม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเบนสายตากลับมาก่อนจะโบกมือ
ขบวนรถเดินหน้าต่อไป ม่านมุกที่ขยับไหวตามแรงลมเผยให้เห็นใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่มด้านในอยู่รำไร
หากเรียกว่าล่องเรือฉลองก็ยอมต้องอยู่บนเรือเป็นแน่น สายลมพัดผ่านแม่น้ำเย็นสบาย เสียงเครื่องสายก็ฟังดูไพเราะกว่าเคยเป็นเท่าตัว
“เป็นอย่างไรบ้าง”
ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยถาม มองดูเฉิงเจียวเหนียงที่กำลังวางชามและตะเกียบลงตรงหน้า
“ไม่เลว” เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าเอ่ยชม
ท่านชายฉินสิบสามมองดูเหล้าเบื้องหน้านางที่ไม่ถูกแตะต้องเลยแม้แต่นิด
”แม่นางป่วยอยู่จึงไม่ดื่มอย่างนั้นหรือ” เขาถาม
“ไม่ใช่” เฉิงเจียวเหนียงตอบ ก้มหน้ามองจอกเหล้าในมือ น้ำสีใสเย็นสดชื่น กลิ่นหอมอ่อนลอยเตะจมูก “เหล้านี้รสชาติไม่ดี”
นางคณิกาที่ดีดฉินอยู่ด้านข้างเผลอยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“แม่นาง เหล้าร้านเราเป็นของขึ้นชื่อประจำเมืองหลวงเชียวนะเจ้าคะ” นางเอ่ย “นายหญิงอาจจะไม่คุ้นชินรสชาติ”
ท่านชายฉินสิบสามสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก ก่อนจะเหล่ตามองนางคณิกา
นางคณิการีบก้มหน้าขอโทษขอโพยในทันใด เหล่าหญิงสาวที่ติดตามมาสบตากันแล้วลอบยิ้มออกมา
ท่านชายผู้นี้ช่างเอาอกเอาใจยิ่งนัก พูดนิดพูดหน่อยแค่นี้ก็มิได้เชียวหรือ
“ใช่ ไม่คุ้นชินจริงๆ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางพยักหน้าแล้วลุกยืนขึ้น
“ที่นี่ยังมีทั้งดนตรีทั้งเต้นระบำอีกนะ” ท่านชายฉินสิบสามรีบเอ่ยขึ้น “ยังมีเวลาอยู่ แม่นางจะไม่ฟังสักเพลงหรือ”
เฉิงเจียวเหนียงที่ลุกขึ้นยืนเป็นที่เรียบร้อยแล้วคำนับให้กับเขาด้วยรอยยิ้ม
“เช่นนั้นก็เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกัน” นางเอ่ย “คราวนี้ไม่ใช่เลี้ยงเหล้าหรือ”
ท่านชายฉินสามยิ้มแล้วลุกขึ้นยืนเช่นกัน จากนั้นก็เดินตามนางไป
“ชายหกจะไปแล้ว” เขาเอ่ยขึ้นในทันใด
เฉิงเจียวเหนียงขานรับเพียงคำเดียว
โถงทางเดินของเรือนั้นคับแคบนัก หากพวกเขาเดินตามหลังกันก็ยังพอเดินได้ หากแต่ไม่มีที่เพียงพอให้บ่าวรับใช้เข้ามาพยุง แต่ก็ยังดีที่เฉิงเจียวเหนียงเดินไม่เร็วสักเท่าไหร่
“เขาจะไปทางตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงขานรับเช่นเดิม
ทั้งสองเดินออกมาจากเรือ ก็มีเรือลำน้อยมาจอดรอแล้ว เหล่าหญิงสาวยื่นมือออกไปประคองเฉิงเจียวเหนียง
“เฉิงเจียวเหนียง” ท่านชายฉินสิบสามตะโกนเรียก
เฉิงเจียวเหนียงที่เหยียบขึ้นกาบเรือแล้วเหลียวกลับมามอง
“เขาจะขอเลี้ยงเหล้าฉลองกับเจ้าได้หรือไม่” ท่านชายฉินสิบสามถาม
“ข้าไม่รู้ ข้าไม่ใช่เขา” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางส่ายหน้า
ท่านชายฉินสิบสามเห็นนางก็หุบยิ้มลง ก่อนจะหัวเราะลั่นออกมา
เรือลำน้อยแล่นห่างออกไป เหล่าหญิงสาวคำนับให้อีกครั้ง ท่านชายฉินสิบสามก็คำนับกลับในทันที ก่อนจะมองเรือลำน้อยเคลื่อนไปจนลับสายตา
“ชายสิบสาม”
น้ำเสียงอันแสนคุ้นเคยดังขึ้น ท่านชายฉิบสามที่กำลังยืนนิ่งเหม่อลอยจึงเงยหน้าขึ้นมอง เขาเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตนเองเดินเข้ามาในลานบ้านแล้ว จากนั้นก็เห็นท่านแม่ยืนอยู่ที่หน้าประตูเรือน โบกพัดกลมอันเล็กพลางมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้ม
“บังเอิญจริงที่ได้พบเจ้า” ฮูหยินฉินเอ่ยพลางหัวเราะ “เจ้าไปเที่ยวมาหรือ”
“ท่านแม่ ยังไม่เบื่อเล่นละครฉากบังเอิญเจอเช่นนี้อีกหรือขอรับ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยด้วยรอยยิ้ม สีหน้าจนใจ “ท่านอยากจะถามข้าว่าไปเที่ยวสนุกไหม ใช่หรือไม่ขอรับ”
ฮูหยินฉินหัวเราะคิกคัก ยกพัดขึ้นมาป้องปาก
“โธ่ ชายสิบสามฉลาดหลักแหลมนัก โดนจับได้อีกแล้วหรือนี่” นางเอ่ยหยอกล้อกับแม่นมข้างกาย
“ใช่เจ้าค่ะฮูหยิน แม้แต่คนโง่อย่างพวกข้ายังมองออก นับประสาอะไรกับท่านชายสิบสามล่ะเจ้าคะ” เหล่าแม่นมเอ่ยพลางยิ้ม
ฮูหยินฉินยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม
พอท่านชายฉินสิบสามเห็นท่านแม่ยิ้ม เขาเองก็ยิ้มบางตาม
ไม่เหมือนแต่ก่อน ยามนี้รอยยิ้มของท่านแม่นั้นสดใสกว่าเคย
ไม่ผิดแน่ เปลี่ยนไป ทุกอย่างเปลี่ยนไป เรื่องเช่นนี้ก็คงช่วยไม่ได้สินะ
“ไปเที่ยวกับแม่นางน้อย เป็นอย่างไรบ้างล่ะ” ฮูหยินฉินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“ดีมากขอรับ” ท่านชายฉินสิบสามตอบก่อนรอยยิ้มจะหายไป แล้วก้าวเดินไปข้างหน้า
ทว่าเขากลับหยุดฝีเท้าลงแล้วแหงนหน้ามองฟ้า เหตุใดงานเลี้ยงฉลองมื้อเที่ยงนี้ถึงได้จบลงเร็วเหลือเกินนะ
……………………