มื้อกลางวันผ่านไป ในที่สุดสวีเม่าซิวและพวกพ้องก็กลับออกมา พวกเขาต่างถอนหายใจกันถ้วนหน้า
“นายใหญ่ต่งช่างเกรงใจเกินไปแล้ว นี่เรียกมอบของขวัญหรือ นี่มันวิวาทกันชัดๆ” สวีปั้งฉุยเอ่ยขึ้นพลางจัดเสื้อผ้าที่โดนฉุดกระชากจนยับย่นเมื่อครู่ให้เข้าที่เข้าทาง
“นายใหญ่ต่งดีกับพวกเราแค่ไหน ไม่ต้องพูดก็รู้” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยอย่างทอดถอนใจ
“โดยเฉพาะกับพี่สาม” พี่น้องคนหนึ่งกล่าวเสริมขึ้น “ก่อนจะไปยังรั้งพี่สามไว้ เห็นได้ว่าอาลัยอาวรณ์อยู่ไม่น้อย”
ทุกคนพากันหัวเราะยกใหญ่
สวีเม่าซิวถลึงตาดุด้วยใบหน้าอันเคร่งขรึม
“หยุดพูดเหลวไหลกันได้แล้ว” เขาดุขึ้น “ยามนี้ไม่ใช่เวลามาล้อเล่นบ้าบอ”
บรรดาพี่น้องต่างเบะปาก
“พี่สามช่างหัวโบราณนัก”
“ไม่ใช่หัวโบราณ คืออันนั้นน่ะ อะไรนะ ดูถูกใช่หรือไม่”
“ดูถูกยังต้องใช้ตำรามาอ้างหรือ พวกข้าไม่เรียนหนังสือก็รู้”
“พี่สามปณิธานสูงส่งนัก ไม่ยอมเป็นเขยที่แต่งเข้าเรือนไปเพื่อเสวยสุข…”
“แต่ข้าว่าแม่นางต่งไม่ใช่แบบที่พี่สามชอบ… พี่สามน่ะชอบหญิงงามดุจหยกที่หลุดออกมาจากนิยายต่างหาก…”
คำพูดหยอกล้อยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
สวีเม่าซิวขำเสียจนน้ำตาเล็ด
“หยุดพูดเหลวไหลกันเสียที!” เขาตะโกนขึ้น
เหล่าพี่น้องพูดคุยหยอกล้อกันจนเดินมาถึงถนนใหญ่
“ว่าแต่ เรื่องเร่งด่วนที่สุดของเราได้พูดไปแล้วหรือยัง” ฟ่านเจียงหลินพลันชะงักฝีเท้าเอ่ยขึ้น
ทุกคนต่างหยุดเดินตาม
“เรื่องเร่งด่วนที่สุดคือเรื่องใด” สวีปั้งฉุยถามอย่างงุนงง
“คือเรื่องที่วันหน้าเราจะไม่ไปมาหาสู่กันอีก” พี่น้องคนหนึ่งตบๆ ศีรษะนึกขึ้นมาได้
สวีเม่าซิวกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง
“ระ…เรื่องนั้น พูดไม่ออกจริงๆ” เขาเอ่ยขึ้น
นายใหญ่ต่งมีเมตตาทั้งยังน้ำใจงามเช่นนั้น แถมคู่รักข้าวใหม่ปลามันก็ยังนั่งอยู่ด้วยอีก เรื่องที่ว่าวันหน้าพวกเขาไม่ไปเยี่ยมมาเยียนอีก ไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไรจริงๆ
เหล่าชายหนุ่มต่างทึ้งหัวตัวเองอยู่กลางทางแยก
“พี่เจียงหลิน”
เสียงเรียกดังขึ้นมาจากด้านหลัง
ทุกคนหันไปเห็นเซี่ยงชีที่เดินตามมาอย่างเร่งรีบ
“ท่านพ่อยังไม่วางใจ จึงให้ข้านำเงินมาให้พวกพี่” เขากล่าวพลางหยิบตั๋วเงินออกมายื่นให้
ฟ่านเจียงหลินรีบโบกมือปฏิเสธ
“พวกข้าบอกไปแล้ว ยามนี้ไม่ได้ขาดเงิน” เขาเอ่ย
เซี่ยงชียิ้ม
“ต่อให้พวกพี่มีเงิน ท่านพ่อก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี” เขากล่าว “อีกอย่าง ช่วยงานที่ร้านอาหารจะได้เงินมาสักเท่าใดกันเชียว ในเมื่อพวกพี่ไม่ยอมมาช่วยงานกิจการของครอบครัว อย่างไรท่านพ่อก็ไม่วางใจ พวกพี่รับเงินพวกนี้ไว้เถอะ ที่เมืองหลวงน่ะมีเงินเท่าใดก็ไม่พอหรอก”
พูดถึงตรงนี้เขาก็รู้สึกละอายใจขึ้นมาอยู่ไม่น้อย
“เงินนี้เป็นของท่านพ่อ ไม่ใช่เบี้ยน้อยหอยน้อยอย่างที่ข้าให้พวกพี่ พวกพี่รับไว้เถิด ข้าไม่มีวิธีอื่นที่จะช่วยเหลือพวกพี่แล้ว ทำได้แค่เกลี้ยกล่อมให้พวกพี่รับเงินไป แล้วก็ขอบคุณที่พวกพี่ไม่เปิดโปงเรื่องคราก่อนออกมา…”
เขาพูดจบในใจก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“พี่เจียงหลิน พวกพี่คงจะโกรธแค้นข้าใช่หรือไม่”
“เปล่า” สวีเม่าซิวเอ่ยตอบแล้วยิ้มบางๆ “ต้องขอบคุณเจ้าด้วยซ้ำ”
หากตอนนั้นเซี่ยงชีใจกว้างพอให้พวกเขาพักอยู่ด้วย คืนนั้นพวกเขาคงไม่ได้เจอจินเกอร์ หากไม่เจอจินเกอร์ก็คงจะไม่ได้พบน้องสาวแล้ว
แน่นอนว่าจุดประสงค์ที่พวกเขามาเมืองหลวงก็เพื่อตามหาแม่นางเฉิง แต่เมืองหลวงช่างกว้างใหญ่ หากจะตามหาละก็คงเป็นงานใหญ่น่าดู
แต่ทว่าก็โชคดีนัก พอเข้าเมืองหลวงมาก็เจอน้องสาวเลย ซ้ำยังจับพลัดจับผลูได้ช่วยเหลือน้องสาวอีกต่างหาก
และเพราะการช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ นี้ จึงได้ตอบแทนนางซึ่งเป็นผู้มีพระคุณของพวกเขา อีกทั้งนางก็ไว้ใจพวกเขาอย่างไม่มีความลังเลใดๆ…
‘ที่พึ่งพิง’ คำๆ นี้แม้จะใช้กับนางแล้วรู้สึกแปลกประหลาดอยู่บ้าง เพราะนางเก่งกาจถึงเพียงนั้น… แต่ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เขารู้สึกได้ถึงการพึ่งพิงของนางอยู่หน่อยๆ… หรือเขาจะรู้สึกไปเองนะ
อย่างไรเสีย ชีวิตในทุกวันนี้ ก็เหมือนภาพลวงตาสำหรับเขาอยู่แล้ว
ทันใดนั้นก็พลันมีมือยื่นมาเขย่าตัวเขา
“พี่สาม พี่สาม”
สวีเม่าซิวได้สติขึ้นมา เห็นบรรดาพี่น้องและเซี่ยงชีต่างจ้องมองมาที่ตน
“ยิ้มเหม่อลอยอะไรของพี่น่ะ” สวีปั้งฉุยเอ่ยถาม
สวีเม่าซิวกระแอมอย่างเก้อเขิน
“พี่สาม พี่คงจะโกรธแค้นข้าล่ะสิ” เซี่ยงชีก้มหน้าหัวเราะเย้ยหยันกับตัวเองแล้วพูดขึ้นว่า “หากไม่ใช่เพราะข้า ในยามนี้พี่คง…”
“น้องเซี่ยง” สวีเม่าซิวขัดเขาขึ้น ส่ายหน้าเอ่ยขึ้น “ข้าไม่เคยโกรธเลย ชีวิตข้าตอนนี้ดีมาก อีกทั้งวันนั้นข้าก็บอกไปแล้ว วันนี้ก็ยังคงยืนยันคำเดิม ว่าข้าไม่เห็นด้วย”
เซี่ยงชีแย้มยิ้ม
“เงินนี่ก็เอาคืนไปเถอะ” สวีเม่าซิวกล่าวพลางตบบ่าเขา “ยามนี้พวกข้าไม่ขาดเงินจริงๆ”
ฟ่านเจียงหลินและคนอื่นๆ ต่างพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“เอาล่ะ พวกข้าต้องไปแล้ว” สวีเม่าซิวเอ่ยขึ้น “พวกเรายุ่งๆ คงจะไม่ได้มาบ่อยๆ แล้ว ฝากเจ้าขอโทษนายใหญ่ต่งแทนพวกข้าด้วย”
เซี่ยงชีมองพวกเขาเดินออกไปไกลบนถนนใหญ่สายนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆ แข็งค้าง
พูดเสียสวยหรูว่าคงไม่ได้มาบ่อยๆ ไม่ได้มาบ่อยๆ เช่นนั้นเหตุใดพวกเจ้าไม่ไสหัวออกจากเมืองหลวงไปเสีย! เหตุใดยังต้องมาให้เขาเห็นอีก! คนที่เขาไม่อยากเจอที่สุด คนที่เขาเกลียดชังที่สุดบนโลกนี้เหตุใดต้องคอยมาปรากฏให้เห็นดั่งเงาตามตัวเช่นนี้ด้วย
คราก่อนก็แอบมาหาเขาแบบลับๆ ล่อๆ ก็นึกว่ายังคิดแค้นใจเรื่องในอดีต ที่ไหนได้ ที่ไม่ยอมพบนายใหญ่ต่งก็เพื่อปูทางไว้ในอนาคตให้มั่นคงนี่เอง
หากเทียบการมาเยี่ยมเพราะอีกคนเรียกหากับการบังเอิญเจอ อย่างหลังคงดูตื่นเต้นกว่าสินะ
เล่นตัวดีนัก!
ทหารยาจกกลุ่มนี้ไปประจำอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือมาคราหนึ่ง ไม่ได้เรียนรู้สิ่งใดมาเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเรียนรู้กลอุบายของเหล่าสตรีมา ดูท่าแล้วที่ไปคลุกคลีกับนางโลมในค่ายก็ไม่เปล่าประโยชน์
เซี่ยงชีก้มหน้ามองตั๋วเงินในมือแล้วค่อยๆ กำเอาไว้
“เงินพวกนี้คงไม่อยู่ในสายตาพวกเจ้า” เขาเบะปากกล่าว “เงินแค่นี้ช่างมันปะไร”
ท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น ภายในเรือนหลังของเรือนนางฟ้ามีคนยืนอยู่สองสามคน
เงินกำหนึ่งถูกหยิบขึ้นมา จากนั้นก็ใส่ลงไปในหีบจนเกิดเสียงกระทบกัน
“เรื่องขึ้นทะเบียนกับทางการเป็นอย่างไรบ้าง” สวีเม่าซิวเอ่ยถามขึ้น
“ไม่มีปัญหาขอรับ” ผู้ดูแลอู๋ตอบพลางดีดลูกคิดไปด้วย
เหล่าพี่น้องต่างวุ่นวายกับการปิดฝาหีบที่เต็มไปด้วยเงินจำนวนมากอยู่ภายในเรือน
“หีบสองหีบนี้เป็นของเรือนไท่ผิง ส่วนพวกนี้เป็นค่าเต้าหู้ของเรือนไท่ผิง…” ผู้ดูแลอู๋แจกแจงบอกแต่ละหีบ “ไม่มีของเรือนนางฟ้า…แต่…คาดว่าพอถึงสิ้นปีก็น่าจะมีแล้ว”
ทุกคนต่างหัวเราะกันขึ้น
“เอาล่ะ เอาล่ะ ไปได้แล้ว” ฟ่านเจียงหลินบอก
ไม่นานรถที่บรรจุเงินทั้งคันก็ถูกลากออกไป แล้วเปลี่ยนมาเป็นตั๋วเงินบางๆ พับหนึ่งกลับมาแทน
“นี่ของผู้ดูแล นี่ของเราเหล่าพี่น้อง นี่ของน้องสาว ส่วนนี่เป็นของท่านชายหัน…” สวีเม่าซิวแบ่งตั๋วเงินให้ทีละคน
ผู้ดูแลอู๋รับมาอย่างไม่เกรงใจด้วยรอยยิ้มสบายอกสบายใจไร้กังวล
ด้านสวีปั้งฉุยและคนอื่นๆ ก็เตรียมรับด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“ข้ามีเงินกับเขาแล้ว…” สวีปั้งฉุยเอ่ยอย่างมีความสุขพลางยกมือถูๆ ที่อกแล้วยื่นออกไป
ฟ่านเจียงหลินชักเงินที่ยื่นให้เก็บกลับไป
“ข้าเก็บไว้เองจะดีกว่า” เขากล่าว “ให้พวกเจ้าไปก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้ทำอะไรกันบ้าง”
เหล่าพี่น้องต่างร้องโหยหวนคร่ำครวญแล้วทยอยกันมาล้อมฟ่านเจียงหลินช่วงชิงกันไปมา
ผู้ดูแลอู๋ลูบเคราเดินออกมาด้วยรอยยิ้ม เห็นหลี่ต้าเสานั่งเล่นเหอเถา[1]อยู่ที่ระเบียงทางเดินภายในเรือน
“พริบตาเดียวก็จะครึ่งปีเสียแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น “ช่างเร็วจริงๆ”
“นั่นน่ะสิ” หลี่ต้าเสากล่าว “แต่สิ่งได้กลับมาก็นับว่าไม่น้อยเลย”
“หมายถึงเจ้าหรืออะไร” ผู้ดูแลอู๋ยิ้มถามพลางนั่งไขว่ห้างลงข้างๆ เขา
หลี่ต้าเสาหัวเราะไม่กล่าวคำใด
“เสียใจหรือไม่” ผู้ดูแลอู๋เอ่ยถาม
หลี่ต้าเสาไม่ค่อยเข้าใจ
ผู้ดูแลอู๋หยิบตั๋วเงินของตนออกมาโบกไปมาตรงหน้าอีกฝ่ายพลางยักคิ้วหลิ่วตา
“เดิมทีเป็นของเจ้า เพียงแต่ยามนี้กลายเป็นของนายท่านหันแล้ว” เขายิ้มกล่าว
ยามฤดูร้อนเช่นนี้ ทั้งสองนั่งอยู่ในเรือนจึงนึกไปถึงเรื่องเมื่อฤดูหนาวคราวก่อนขึ้นอย่างอดไม่ได้ ภายในร้านอาหารที่รอการซ่อมแซม ชายฉกรรจ์สองสามคนหน้าตาโหดเหี้ยมเยี่ยงโจรป่ายื่นหนังสือสัญญามาให้พวกเขา
“จะให้เจ้าเสียแรงเปล่าก็คงไม่ได้… นอกจากดูแลเรื่องกินดื่มแล้ว เราจะให้ส่วนแบ่งกับเจ้าเพิ่มด้วย”
หลี่ต้าเสายิ้มออกมา ดึงสายตากลับมาจากเงินของผู้ดูแลอู๋
“ผิดแล้ว นั่นเดิมทีไม่ใช่ของข้า” เขากล่าวพลางหยิบมีดข้างตัวขึ้นมา มือซ้ายอีกข้างเด็ดดอกไม้มาดอกหนึ่ง “นี่ต่างหากที่เป็นของข้า”
ผู้ดูแลอู๋หัวเราะยกใหญ่ ยื่นมือตบๆ ที่บ่าเขา
“แต่ว่าหากไม่มีข้า คนแก่หนังเหนียวเช่นเจ้าก็คงจะยังกินๆ นอนๆ รอความตายอยู่ที่บ้านกระมัง เจ้าควรจะรับเงินนี่ไปแล้วขอบคุณข้าเสียจึงจะถูก”
“ไอ้หยา ข้าแก่หนังเหนียวเช่นนี้ เจ้ายังมากังวลเรื่องเงินบำนาญของข้าอยู่อีก ช่างใจดำเสียจริง!”
เสียงหัวเราะดังขึ้นภายในเรือน
ขณะเดียวกัน ท่านชายเฉิงสี่ที่เดินถอนใจออกมาจากหอเต๋อเซิ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองอย่างอดไม่ได้
“ดูเอาเถิด เจ้าก็อาลัยอาวรณ์ด้วยล่ะสิ” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยขึ้น ดวงตาบวมเป่ง อ้าปากหาววอดแล้วเอ่ยขึ้นอีกว่า “ไม่เป็นไร อย่าได้กังวล รอที่บ้านส่งเงินมา ข้าจะพาเจ้าไป”
ท่านชายเฉิงสี่ถลึงตามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์
“เจ้ารีบไปหาน้องสาวข้าแล้วก็รีบกลับไปเสียเถอะ!” เขากล่าว
ทั้งคู่เพิ่งจะเดินไปไม่กี่ก้าวก็ถูกเสียงของหญิงสาวเรียกเอาไว้
“ชุนหลิง”
ท่านชายเฉิงสี่อมยิ้มมองเด็กสาวที่วิ่งมาหาพลางเอ่ยเรียก
“ท่านชาย พวกท่านพักอยู่ที่ใดหรือ” ชุนหลิงเอ่ยถาม
ท่านชายเฉิงสี่บอกโรงเตี๊ยมแก่นาง
“ชุนหลิง เจ้าไม่ต้องการให้พวกเราช่วยไถ่ตัวเจ้าจริงๆ หรือ” ท่านชายเฉิงสี่กล่าวถาม “แม้เจ้าจะไม่เหลือครอบครัวแล้ว แต่เจ้าอยู่ที่บ้านข้าได้นะ ก็ดีกว่า…ก็ดีกว่าอยู่ที่นี่…”
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่ดีอันใด เขาพึ่งจะใช้เวลาอยู่ที่นี่ได้เจ็ดแปดวัน แม้จะถูกท่านชายหวังสิบเจ็ดทำให้เดือดร้อนอย่างจนใจ แต่เขาก็ได้ท่องกลอนคลอเสียงดีดฉินไปกับแม่นางจู อีกทั้งยังได้เห็นนางใจเต้นหน้าแดง…
เขาคลุกคลีอยู่ในสถานที่อโคจรแห่งนี้ แต่กลับทำท่าทางสูงส่ง บอกว่าที่นี่ไม่ดี ช่าง…เสียจริง
เขาบ่นอุบอิบแต่สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวคำใดออกมา
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” ชุนหลิงส่ายหน้ายิ้ม มองท่านชายเฉิงสี่ด้วยความตื่นเต้นไม่น้อย “ท่านพี่จูดีต่อข้ามากเจ้าค่ะ ข้าได้ให้คำสัตย์ไว้ว่าจะติดตามนางไปชั่วชีวิต”
นางพูดไปยิ้มไป
“ยิ่งไปกว่านั้น หากข้าไป แล้วพวกท่านคิดอยากจะพบแม่นางจูอีกก็คงจะไม่ง่ายเช่นนั้นแล้วกระมัง” นางเอ่ย
ท่านชายหวังสิบเจ็ดหัวเราะยกใหญ่
“ดี ดี เด็กดี” เขายิ้มกล่าว “ชาตินี้ข้าก็คงไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร้ความยุติธรรมแล้ว”
ชุนหลิงยิ้มแย้ม เลื่อนสายตาไปหยุดที่ท่านชายเฉิงสี่อีกครั้ง
“ท่านชายจะอยู่ที่เมืองหลวงอีกนานหรือไม่เจ้าคะ ก่อนจะไปต้องบอกชุนหลิงเสียก่อนนะเจ้าคะ” นางกล่าวอย่างอาลัยเล็กน้อย
แววตาน่าสงสารคู่นี้ทำเอาท่านชายเฉิงสี่รีบพยักหน้ารับในทันใด
“ข้ายังต้องอยู่เรียนไปอีกสักระยะ พอสิบเจ็ดไปพบน้องสาวแล้วข้าก็จะไป” เขาเอ่ย
ดวงตาชุนหลิงเป็นประกายวาบ
“น้องสาวของท่านชายก็อยู่ที่เมืองหลวงหรือเจ้าคะ ไม่ใช่คนเจียงโจวหรอกหรือ หรือว่าก็มาเล่าเรียนเช่นกัน” นางทั้งมึนงงและแปลกใจกระพริบตาปริบๆ เอ่ยถามไป
“ไม่ใช่ ไม่ใช่” ท่านชายเฉิงสิบเจ็ดแย่งตอบแล้วดันท่านชายสี่เฉิงไปอีกด้าน หัวเราะคิกคักแล้วเอ่ยขึ้นว่า “น้องสาวเขาอยู่ที่บ้านท่านตานางน่ะ”
“ดีเสียจริง แต่ชุนหลิงไม่มีญาติให้ไปหาแล้ว” ชุนหลิงก้มหน้าเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย
“ดีอะไรกันล่ะ” ท่านชายหวังสิบเจ็ดไม่เคยเห็นนางท่าทางเช่นนี้มาก่อนจึงรีบกล่าว “นางเป็นคนบ้า ถูกที่บ้านไล่ออกมาจึงต้องไปอยู่บ้านท่านตา ไม่มีอะไรให้น่าอิจฉาสักนิด”
คนบ้า
ชุนหลิงเงยหน้าขึ้นมา
คนบ้า! ฮ่า! ฮ่า! คนบ้า!
คนบ้าแห่งตระกูลเฉิง!
…………………………………………
[1] เหอเถา ลูกวอลนัท