ยามนภาทอแสง วิชาภาคเช้าของเหล่าองค์ชายภายในวังก็สิ้นสุดลง จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่หมดความอดทนมาตั้งนานแล้วเดินออกไปเป็นคนแรก
“ท่านพี่รอข้าด้วย” องค์ชายรองรีบลุกตามออกไปติดๆ
องค์ชายใหญ่ที่ถือตำราอยู่ในมือนั้น เผยสีหน้าเหยียดหยามขึ้นมา ก่อนจะก้มหน้าอ่านตำราต่อ
“ท่านพี่ ท่านจะไปที่ใดหรือ” องค์ชายรองตะโกนถาม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหยุดฝีเท้าแล้วหันไปส่งเสียงชู่ให้เขาเงียบ
“ฝ่าบาทอย่าเอ็ดไป” เขายิ้มกล่าวพลางลูบหัว “ข้าไม่ค่อยสบาย จะกลับไปพักสักครู่”
พอพูดจบ องค์ชายรองโบกมือไปมาด้วยสีหน้าที่ตกใจ แล้วมองขันทีที่อยู่ด้านข้าง
“พวกเจ้า ไม่ว่าใครก็ห้ามพูดทั้งนั้น” เขาเอ่ยพลางทำท่าข่มขู่
เหล่าขันทีต่างก้มหน้าขานรับ แน่นอนว่าเชื่อหรือไม่เชื่อฟังนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อเห็นองค์ชายรองก้าวไปด้านหน้าก็มีขันทีสองคนมายืนขวางไว้
“ฝ่าบาท ฮองเฮารออยู่พะย่ะค่ะ” พวกเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
องค์ชายรองเริ่มรำคาญขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะเดินอ้อมพวกเขาไปอย่างโมโห
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะออกมายกใหญ่
“ฝ่าบาทรีบไปเถิดพะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยพลางส่งสายตาให้องค์ชายรอง “ข้าพักสักครู่ก็หายแล้ว”
ไม่รอให้องค์ชายรองคัดค้าน เหล่าขันทีก็เกลี้ยกล่อมแล้วคะยั้นคะยอพาตัวเขาออกไป
“ฝ่าบาท ทำอะไรของท่านน่ะขอรับ”
รอให้รอบข้างไร้ผู้คน ขันทีของจิ้นอันจวิ้นอ๋องจึงได้เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ฝ่าบาทสบายดี เหตุใดจึงบอกว่าไม่สบายเล่า”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยกมือขึ้นลูบอก
“ข้าไม่สบายอยู่หน่อยๆ เจ็บคอน่ะ” เขาเอ่ยแล้วค่อยๆ ก้าวเดินออกไป
พอกลับถึงตำหนักของตน ทางไทเฮาก็ส่งคนมาจริงๆ เสียด้วย หนำซ้ำผู้ที่ติดตามมานั้นยังมีหมอหลวงมาด้วยอีกคน
หมอหลวงลงมือตรวจอาการอย่างตั้งใจ
“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพียงแค่ร้อนในเท่านั้นพะย่ะค่ะ” หมอหลวงกล่าวพลางออกใบสั่งยาให้เล็กน้อย
“ฮองเฮาบอกว่าฝ่าบาทดูตำราหนักเกินไป ระยะนี้ให้งดเข้าเรียนเสียก่อนเถิด” ขันทีฟังหมอหลวงบอกอย่างตั้งใจ ก่อนเอ่ยด้วยความกังวลว่า “ฝ่าบาทไม่ต้องไปขอบพระทัยนางด้วยตนเอง รักษาตัวให้ดีก่อนเถิดพะย่ะค่ะ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องค้อมกายขอบพระทัยในความเมตตาขององค์ไทเฮา
ขันทีเอ่ยด้วยความห่วงใยไม่กี่คำก็ขอตัวลาเหมือนดังที่ผ่านมาเช่นเคย
ขันทีที่ทูลลาออกไปหยุดฝีเท้าลงแล้วหันมองประตูตำหนักที่ปิดสนิทอีกคราหนึ่ง
เขายังจำครั้งแรกที่เด็กคนนี้ไม่สบายได้
จากอ้อมอกพ่อแม่มาอยู่ในวัง บรรดาสตรีชั้นสูงในวังที่ตั้งครรภ์ ก็มักจะชอบยื้อแย่งรั้งให้เขาอยู่ข้างกาย แต่เด็กอย่างไรก็เป็นเด็ก ที่มักจะเจ็บป่วยอยู่บ่อยๆ
เด็กน้อยที่ป่วยอยู่ก็ทำเอาบรรดาสตรีชั้นสูงเหล่านั้นหวาดกลัว กลัวว่าตัวเองจะติดไข้ ต่างพากันหลบหลีกไป
ยามลูกท่านหลานเธอในวังป่วยไข้ ไทเฮาย่อมกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็รับสั่งให้คนขังเด็กคนนี้เอาไว้ที่ตำหนักข้างๆ
เด็กอายุห้าขวบจะไปเข้าใจอะไร พ่อแม่ก็ทิ้งตนไปแล้ว หนำซ้ำมาถูกจับขังกะทันหันเช่นนี้ สำหรับเด็กแล้ว คงเหมือนกับฟ้าทั้งผืนถล่มทลายลงมา
เขาจำได้แม่นว่าขณะที่ปิดประตูลง เด็กคนนั้นก็ร้องไห้เสียงดังอย่างหวาดกลัว มือที่เกาะประตูไว้ถูกหนีบจนแดงไปหมด
ขันทีทอดถอนใจ ข้างหูยังคงได้ยินเสียงร้องดังก้อง
เพียงแต่ นี่ก็ผ่านมาแล้ว ต่อมาจึงได้ค่อยๆ ชินชา ร้องไห้น้อยลงเรื่อยๆ หลังจากนั้นก็รู้ประสาขึ้นมาก พอร่างกายเริ่มป่วยเขาก็จะเริ่มกักตัวอยู่ในตำหนักรอจนร่างกายดีขึ้น ซ้ำยังให้ความสำคัญในการฝึกฝนร่างกายเป็นอย่างมาก หากร่างกายแข็งแรงก็จะไม่ป่วยอีก แล้วก็จะไม่ถูกขัง…
พริบตาเดียวก็โตถึงเพียงนี้แล้ว ไม่ใช่เด็กน้อยที่พอป่วยก็ถูกทำให้เสียขวัญคนนั้นอีกต่อไปแล้ว
ผ่านไปสักพักก็คงถึงเวลาออกจากวังไปปกครองดินแดนแล้ว
ขันทีพยักหน้าแล้วเดินจากไป
ภายในตำหนัก ขันทีนั่งคุกเข่ามองจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่กำลังย่างแผ่นชาอยู่
“เอาล่ะ เจ้าออกไปเถิด” เขาโบกมือพลางอมยิ้มเอ่ยขึ้น
“ยาลูกกลอนพวกนี้…” ขันทีกล่าวถาม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องโยนยาลูกกลอนเข้าเตาไฟ แล้วโบกมืออีกครั้ง
“เช่นนั้นฝ่าบาทก็แกล้งป่วยหรือ” ขันทีถามขึ้น
“ไม่ใช่เสียหน่อย ข้าป่วยจริงๆ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องกล่าว
ขันทีรีบลุกขึ้น
“เช่นนั้นบ่าวจะไปเชิญหมอหลวงมา” เขาเอ่ยเสียงแผ่วเบาอย่างตื่นตระหนก
ภายในวังแห่งนี้ ยาเดียวที่จิ้นอันจวิ้นอ๋องจะเสวยได้ก็คือยาที่หมอหลวงหลี่เป็นผู้ออกใบสั่งยาให้เท่านั้น
“ไม่ต้อง” จิ้นอันจวิ้นอ๋องกล่าวพลางหยิบชาขึ้นมาโบกไปมาตรงหน้าเขา “ข้ามียานี้แล้ว”
นั่นคือสิ่งใดกัน
ขันทีเดินเข้ามาสองสามก้าว แผ่นชาอย่างนั้นรึ
“แต่ว่าฝ่าบาท…” เขาเอ่ยอย่างไม่ค่อยเห็นด้วยนัก
“วางใจเถิด มีสิ่งนี้ก็พอแล้ว” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มกล่าว “มีสิ่งนี้ ก็ไม่กลัวแล้ว”
ไม่กลัวว่าจะมีใครรู้ว่าตนป่วย ไม่กลัวว่าตนจะป่วย แล้วก็ไม่กลัวว่าจะถูกขังไว้อย่างเดียวดาย
มียาของเทพเซียนเช่นนี้ จะต้องกลัวอะไรอีก
กินแล้วตนก็จะเป็นเทพเซียนเช่นกัน
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะออกมา
ขันทีที่เดินไปถึงหน้าประตูแล้วถึงกับตกใจ พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นชายหนุ่มกำลังเคาะแผ่นชา แล้ววางบนตะแกรงเพื่อย่าง
ย่างชา มีอะไรน่าขำนักหรือ
ขันทีขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้า แต่ว่าไม่ต้องกังวล ยามนี้ฝ่าบาทไม่ใช่เด็กน้อย ที่แค่คำว่าป่วยคำเดียวจากขันทีก็ต้องแอบตกใจอย่างเงียบๆ ผู้นั้นแล้ว
ยามนี้เขาได้ขันทีคนสนิทในวังที่หูตาว่องไว มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ นอกวังมีเหยี่ยวข่าวที่ถูกเลือกมาอย่างดีเป็นสิบปี อาศัยผู้ติดตามจำนวนเล็กน้อยที่ไม่สะดุดตาพวกนี้ เขาก็น่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่ต้องการได้
เป้าหมายของเขาเรียบง่ายนัก นั่นคือมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยให้ถึงวันที่จะได้ออกไปจากเมืองหลวง เมืองที่คนครึ่งหนึ่งอยากให้เขามีชีวิตต่อ อีกครึ่งหนึ่งอยากให้เขาตายจากไป มีชีวิตอย่างสงบสุขให้ถึงยามที่เขาจะได้ปกครองดินแดนอย่างราบรื่น
ส่วนภายหน้ายังไม่ได้คิดไว้ ความจริงแล้วมนุษย์เราไม่จำเป็นต้องคิดไปไกลถึงเพียงนั้นมิใช่หรือ
ขันทีลากประตูมากั้นเพื่อสายตา
“เจ้าไม่ออกไปหรือ”
ท่านชายฉินสิบสามมองท่านชายโจวหกแล้วเอ่ยถามขึ้น
ท่านชายโจวหกผมเผ้าเปียกชุ่ม เขาหยิบผ้าเช็ดมือมาเช็ดอย่างลวกๆ พลางนั่งลงด้านหน้าโต๊ะยาว
“ข้าอยากจะอ่านตำราพิชัยสงครามอีกสักหน่อย” เขาตอบ
ท่านชายฉินสิบสามมองดูเขา
“โจวหก เจ้าทำเช่นนี้สนุกหรือไร” เขาเอ่ยถาม
“ข้าทำอันใดอีก เมื่อก่อนข้าไม่ขยัน ตอนนี้ข้าจะลับหอกยามจวนตัว[1]บ้างไม่ได้หรือไร” ท่านชายโจวหกกล่าวเสียงอู้อี้
ท่านชายฉินสิบสามยืดเหยียดกายเดินออกไป
ภายในห้องพลันเงียบลง ท่านชายโจวหกมองตำราที่อยู่ในมือที่ยังไม่ได้เปิดออกด้วยซ้ำ เขากำตำราไว้แน่นแล้วโยนลงบนโต๊ะ
“รู้สึกอึดอัดใช่หรือไม่”
เสียงของท่านชายฉินสิบสามลอยมาจากหน้าประตู เจ้าของเสียงชะโงกตัวเข้ามาจากด้านนอก
ท่านชายโจวหกกระโดดตัวโยน
“ฉินสิบสาม! เจ้าทำเช่นนี้สนุกนักหรือ” เขาถลึงตาตะโกนเสียงดัง
ท่านชายฉินสิบสามอมยิ้มพลางค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้
“ก็สนุกดีนะ” เขาเอ่ยขึ้น “แข้งขาดีขึ้นก็สนุกขึ้นมาก ไม่เช่นนั้นข้าคงจะไม่รู้ว่าไปแอบแล้วกระโดดออกมาให้คนตกใจเล่นจะสนุกขนาดนี้”
ท่านชายโจวหกส่งเสียงถุย แล้วก้าวเดินออกไปด้านนอก
“พอได้แล้ว เลิกหงุดหงิดเสียที” ท่านฉินสิบสามกล่าว “ยามนี้ไม่เหมือนก่อนแล้ว เจ้าไปคราหนึ่งก็ใช้เวลาไปเป็นสามปีห้าปี พอกลับมาก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่หยุดยั้งไม่ได้ เช่นนั้นก็มีความสุขกับปัจจุบันกันเสียหน่อยเถอะ”
ท่านชายโจวหกหยุดฝีเท้าอยู่นอกประตู
“ก็ไม่เห็นมีเรื่องใดให้กังวลนี้ วุ่นวายกันมาก็นานแล้ว ยามเจ้าจะไปก็นั่งดื่มสุรากันเสียหน่อยเถิด” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยต่อ “หรือว่าก่อนไปเจ้าจะไม่อยากเจอนางจริงๆ”
ท่านชายโจวหกไม่ตอบทั้งยังไม่ได้หันกลับมา
“ข้าไปพบนางมาแล้ว ซ้ำยังเชิญนางแทนเจ้าด้วย เจ้าลองเดาดูว่านางพูดว่าอะไร” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย
ใครจะสนใจว่านางพูดอะไร!
ท่านชายโจวหกส่งเสียงเฮอะเบาๆ อยู่ในใจ
“นางบอกว่า ‘ข้าไม่รู้ ข้าไม่ใช่เขา’ ท่านชายฉินสิบสามกล่าว เขาพูดพลางเดินไปหยุดอยู่ข้างกายท่านชายโจวหกยกแขนขึ้นกระทุ้ง “นี่ เจ้าบอกคำตอบรับของเจ้ามา ข้าจะไปบอกนางให้อย่างดีเอง”
ข้าไม่รู้ ข้าไม่ใช่เขาอย่างนั้นหรือ…
ถุย ร้ายกาจนัก นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าใครอยากพบนาง!
“ข้ามีทั้งปากและขา ไม่ต้องลำบากเจ้าหรอก” ท่านชายโจวหกกล่าวพลางหันไปถลึงตาใส่เขา
“ข้าเกรงว่าเจ้าจะกลัว ให้ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าไม่ดีหรือ” ท่านชายฉินสิบสามยิ้มกล่าว
ท่านชายโจวหกส่งเสียงเย้ยหยัน
“ไม่ต้องกลัว นางไม่โกรธข้าหรอก” เขากล่าว
ท่านชายฉินสิบสามส่งเสียงถุยคำหนึ่ง
“มาคิดดูแล้วพอแข้งขาข้าหายดีแล้ว มลทินในชาตินี้ก็เหมือนถูกทำลายไปจนสิ้น” เขาเอ่ย
ขณะที่ทั้งคู่กำลังประชดแดกดันกันอยู่นั้น บ่าวรับใช้ก็วิ่งเข้ามาจากด้านนอกอย่างรีบร้อน
“ท่านชาย ท่านชาย” บ่าวผู้นั้นตะโกนเรียก
ท่านชายโจวหกขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางมองบ่าวคนนี้
“นี่คือบ่าวรับใช้ที่เจ้าให้เฝ้าประตูหรือ” ท่านฉินสิบสามเอ่ยถามพลางมองบ่าวคนนั้น “แม่นางเจียวเหนียงเป็นอะไรอีก ยามนี้เวลามาหาถึงบ้าน พ่อแม่เจ้าก็ไม่ไล่ตะเพิดแล้ว หรือว่าจะมาหาเจ้าด้วยตัวเอง”
“นางเป็นคนเช่นนั้นหรือ” ท่านชายโจวหกเอ่ยถาม ใจกลับเต้นตุบๆ อย่างอดไม่ได้
“นางไม่ใช่คนเช่นนั้น” ท่านฉินสิบสามยิ้มตอบ
ท่านชายโจวหกถลึงตามองเขา
ขณะที่พวกเขากำลังหยอกล้อกันนั้น บ่าวคนนั้นก็ยืนนิ่งอยู่หน้าระเบียง
“ท่านชายขอรับ ด้านนอกมีคนมา” บ่าวเอ่ยขึ้นพลางยกมือขึ้นชี้ไปยังด้านนอก
“แม่นางเจียวเหนียงมาหรือ” ท่านฉินสิบสามรีบแย่งเอ่ยถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม
แน่นอนว่าไม่ใช่…
ท่านชายโจวหกกำมือ แต่กลับเห็นบ่าวคนนั้นพยักหน้า เขาพลันตกตะลึงในทันใด
ทว่าบ่าวรับใช้กลับส่ายหน้าขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่ใช่แม่นางเจียวเหนียงขอรับ แต่เป็นคนของแม่นางเจียวเหนียง คนผู้นั้นบอกว่า ปะ…เป็นคู่หมั้นของแม่นางเจียวเหนียงขอรับ”
คู่หมั้น!
ท่านฉินสิบสามและท่านชายโจวหกสบตากันอย่างตกตะลึง
………………………………….
[1] ลับหอกยามจวนตัว เตรียมการเมื่อเรื่องจวนตัวแล้ว