คู่หมั้น!

ฮูหยินโจวเบิกตาโพลงราวกับเห็นผี

“คนที่มาเป็นผู้ใดกัน” นางถามขึ้นอีก

“คนหนึ่งคือท่านชายเฉิงสี่ ส่วนอีกคนบอกว่าเป็นคู่หมั้นของแม่นางเฉิงเจ้าค่ะ…” แม่นมทวนคำอีกรอบ

ฮูหยินโจวนั่งคุกเข่าอย่างเหม่อลอย

เป็นคู่หมั้นจริงๆ หรือ

“หญิงเช่นนี้ก็มีคนเอาด้วยหรือ” นางกล่าว

แต่ก่อนนางเป็นเพียงหญิงสติไม่ดีผู้หนึ่ง มายามนี้นางเป็นดาวหายนะ เหตุใดถึงอยากตบแต่งนางเข้าเรือนกัน

“เหตุใดถึงอยากตบแต่งนางเข้าเรือนอย่างนั้นหรือ” นายใหญ่โจวส่งเสียงเฮอะออกมาคำหนึ่ง “แน่นอนว่าย่อมเพื่อเสพสุขความมั่งคั่งร่ำรวยและยศศักดิ์น่ะสิ เจียวเจียวร์ของเราเป็นคนเช่นไรเจ้าก็รู้!”

เป็นคนเช่นไรน่ะหรือ

ผู้ใดขวางทางนาง ยั่วโมโหทำให้นางไม่พอใจ ผู้นั้นได้ชะตาขาดตระกูลล่มสลาย…

ดูนางสิ สติไม่ดีมาตั้งแต่เกิดทว่ากลับเดินทางมาเมืองหลวงเพียงลำพัง ภายในระยะเวลาไม่นานก็มีร้านที่มีชื่อเสียงถึงสามร้านมาไว้ในมือ ส่วนมืออีกข้างก็กุมชะตาชีวิตของผู้คนไว้มากมาย

ลงมืออย่างเหี้ยมโหด ทว่าปุถุชนทั่วไปกลับเห็นว่านางมีจิตโพธิสัตว์ช่วยดับทุกข์ชาวโลก

ทำอย่างแรกได้ลงคอก็ไม่แปลกอันใด เพราะคนชั่วในโลกนี้มีมากมาย แต่แปลกที่พอทำอันแรกแล้วกลับได้ชื่อเสียงเป็นอย่างหลังนี่สิ

ช่างน่ากลัวยิ่งนัก…

ฮูหยินโจวยื่นมือลูบอกพลางบ่นอุบอิบ

“บนโลกนี้มีเงินที่ไหนที่อยู่ดีๆ ก็หล่นมาจากฟ้าบ้าง สิ่งใดบ้างกะเทาะเปลือกออกแล้วไม่น่ากลัว เหตุใดสตรีอย่างเจ้าเริ่มจะเลอะเลือนขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้” นายใหญ่โจวถลึงตาเอ่ยพลางมองไปทางแม่นม “มาแค่พวกเขาสองคนหรือ”

“เจ้าค่ะ มาแค่สองคน” แม่นมตอบ

นายใหญ่โจวขมวดคิ้วเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

“นายท่าน เอาจริงหรือ” ฮูหยินโจวเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามขึ้น

“ที่จริงแล้วก่อนที่ข้าจะกลับมา ตระกูลเฉิงก็พูดเรื่องการแต่งงานจริงๆ ตอนที่ข้ากำลังคิดว่าจะไถ่ถามให้รู้ความ ก็ได้รับจดหมายจากเจ้าเสียก่อน จึงได้รีบร้อนกลับมาเช่นนี้” นายใหญ่โจวเอ่ย

ไถ่ถามให้รู้ความอย่างนั้นหรือ

ฮูหยินโจวมองดูสามีของตน นอกจากความหมายตามตัวอักษรแล้ว นางพลันเข้าใจความหมายอีกอย่างหนึ่งที่แฝงอยู่ภายใน

“คิดไม่ถึงว่าตระกูลเฉิงจะเอาตนเป็นใหญ่เช่นนี้!” นายใหญ่โจวเอ่ยอย่างโมโห “เห็นหัวผู้เป็นลุงแท้ๆ อย่างข้าบ้างหรือไม่”

“เช่นนั้นเราก็ไม่ต้องตอบรับ รีบไล่ออกไป” ฮูหยินโจวเอ่ย “เดี๋ยวเจียวเจียวร์จะไม่พอใจเอา”

หากไม่พอใจแล้วโทษตระกูลเฉิงก็แล้วไป เกรงว่าจะมาลงที่พวกเขา เช่นนั้นได้แย่แน่

“ท่านพ่อ”

ท่านชายโจวหกเดินเข้ามาจากด้านนอกเอ่ยเรียกขึ้น

“ในเมื่อพวกเขามาหาถึงบ้านได้ ก็คงมีที่พึ่งจึงไม่เกรงกลัวเช่นนี้ หากไล่พวกเขาออกไป แล้วพวกเขาเอาไปพูดเหลวไหลก็จะไม่ดีต่อน้องสาว”

“นั่นเพราะตระกูลเฉิงไม่ดีต่อนางต่างหาก” ฮูหยินเอ่ย

“ท่านแม่” ท่านชายโจวหกคุกเข่าลงกล่าว “ตระกูลเฉิงไม่ดีต่อนาง นั่นก็เป็นพ่อแม่ของนาง คนเป็นลูกจะไม่ฟังคำพ่อแม่ได้อย่างไร นางจะทำอันใดได้”

ฮูหยินโจวหัวเราะ

“นางจะทำอันใดได้หรือ คนเก่งกาจเช่นนาง เหตุใดเราจะต้องลำบากคิดแทน…” นางกล่าว

ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกนายใหญ่โจวขัดขึ้น…

“เชิญพวกเขาเข้ามา”นายใหญ่โจวนั่งหลังตรงเอ่ยขึ้น

“นายท่าน!” ฮูหยินโจวขึ้นเสียงด้วยความไม่เข้าใจ

“นางไม่ได้ตัวคนเดียว นางยังมีญาติพี่น้อง เรื่องเช่นนี้ คนเป็นลูกเช่นนางจะตัดสินใจเองไม่ได้ เราต้องเข้าไปจัดการให้นาง” นายใหญ่โจวกล่าว

“ต่อให้เราไม่เข้าไปยุ่ง นางก็รับมือได้” ฮูหยินโจวเอ่ยเสียงเบา

“ก็ใช่น่ะสิ” นายใหญ่โจวถลึงตามองนาง

แค่แสร้งเป็นวางท่าเสียหน่อยก็ได้ลาภปาก แถมยังไม่ต้องลงแรงอะไร เหตุใดถึงจะไม่ทำเล่า

ผู้หญิงช่างโง่เขลานัก!

แน่นอนว่าคนที่ไม่โง่ก็มีอยู่ อย่างเช่นหลานสาวของเขา ผู้ถ่อมตนไม่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง

“เชิญ!” นายใหญ่โจวผายมือแล้วเอ่ยขึ้น

“บ้านนี้ตกแต่งได้ไม่เลว”

ท่านชายหวังสิบเจ็ดเดินไปพลางมองไปพลาง

“ดูๆ แล้วฐานะไม่ได้ยากจนนี่นา เหตุใดจึงไปโวยวายเรื่องสินเดิมกับบ้านเจ้าได้ไม่หยุดไม่หย่อนเช่นนั้นเล่า”

สีหน้าของบ่าวรับใช้ที่นำทางค่อยๆ ปรากฏความไม่พอใจ

ท่านชายเฉิงสี่หน้าแดงถลึงตามองเขา

“หยุดพูดเพ้อเจ้อได้แล้ว” เขากระซิบปรามพลางรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมา จึงมองกลับด้วยหางตา

ริมทางเดินมีชายหนุ่มสองคนยืนอยู่ คนหนึ่งสูงโปร่ง ท่างทางอ่อนโยนดุจหยกงาม อีกคนสง่าผ่าเผยและห้าวหาญ

ท่านชายเฉิงสี่หันมองอย่างอดไม่ได้ ก็เห็นทั้งสองกำลังมองมาที่พวกเขาอยู่เช่นกัน คงเป็นคุณชายของตระกูลโจวกระมัง

เขาคิดพลางเดินไปด้านในโดยไม่หยุดฝีเท้า และยังคงรู้สึกถึงสายตาที่จ้องอยู่ด้านหลังที่ยังไม่ละไปไหน

“คนไหนล่ะเนี่ย” ท่านชายฉินสิบสามดึงสายตากลับมาเอ่ยถามขึ้น

ท่านชายโจวหกส่ายหน้า

แม้เขาจะเคยมาบ้านตระกูลโจวมาก่อน แต่ก็ไม่เคยได้พบหน้ากับคุณชายตระกูลโจวเลย จึงย่อมไม่รู้ว่าคนไหน

“จะคนไหนก็ช่าง ไม่เห็นจะต้องสนใจ” เขากล่าว

จะถามไปเพื่อเหตุอันใดกัน ไม่ว่าคนไหนจะเป็นพี่ชายหรือเป็นคู่หมั้น หากพวกเขาบอกว่าคนไหนเป็นใคร แล้วจะเป็นจริงดังนั้นหรือไร

ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นคนไหนก็ล้วนแต่อัปลักษณ์ทั้งนั้น!

เขาพูดจบก็ย่างเท้าเดินต่อไป ท่านชายฉินสิบสามรีบเดินตามไป

“เจ้ากลับบ้านไปเถิด” ท่านชายโจวหกกล่าวขึ้นหน้าประตู

“ทำไมเล่า” ฉินสิบสามยิ้มถาม“ โจวหก ข้าขอเตือนเจ้า เจ้าหาข้ออ้างไปพบนางได้ก็จะสลัดข้าทิ้งแล้วอย่างนั้นหรือ”

“เพราะนี่เป็นเรื่องของบ้านข้า” ท่านชายโจวหกมองเขาพลางส่งเสียงเฮอะ อีกทั้งยังเน้นย้ำคำว่า ‘บ้านข้า’ อย่างหนักแน่น เขาไม่รอให้ท่านชายฉินสิบสามตอบก็เดินจ้ำอ้าวจากไป

ท่านชายเฉิงสี่และท่านชายหวังสิบเจ็ดย่างก้าวเข้าสู่ห้องโถง หลังจากคำนับถามไถ่สารทุกข์สุขดิบแล้วก็นั่งลง

“ท่านลุงขอรับ” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ยพลางแนะนำตัวขึ้น “ข้าคือท่านชายสี่แห่งตระกูลเฉิง นายรองเฉิงเป็นอาของข้าเอง”

“ท่านลุงขอรับ ข้าคือท่านชายสิบเจ็ดแห่งตระกูลหวัง” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยต่อ “นายรองเฉิงเป็นพ่อตาข้า”

พรวด เสียงนายใหญ่โจวพ่นน้ำชาดังขึ้น

“อย่าเพิ่งเรียก เรียกอะไรซี่ซั้ว!” นายใหญ่โจวกล่าวพลางวางจอกชาลงแล้วถลึงตามองชายหนุ่มตรงหน้า “ผู้ใดให้เจ้าเรียกว่าข้าว่าท่านลุงกัน”

ท่านชายหวังสิบเจ็ดยิ้มขำ

“ท่านลุงขอรับ ท่านคงจะรู้จักข้าอยู่แล้ว ก่อนที่ท่านจะจากเจียงโจวมา ไม่ใช่ว่าท่านเห็นดีเห็นงามด้วยแล้วหรือ” เขากล่าว “ข้าคือหลานชายของฮูหยินใหญ่เฉิงเองขอรับ”

“ข้าบอกตอนไหนกัน ทางบ้านข้าเกิดเรื่องจึงได้รีบกลับ บอกไปแล้วว่าเรื่องนี้ค่อยว่ากันใหม่ เหตุใดมาบอกว่าข้าตกลงแล้ว เรื่องแต่งงานยังไม่ถือว่าตกลง” นายใหญ่โจวกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ท่านชายหวังสิบเจ็ดหัวเราะ

“ท่านลุงขอรับ พ่อตาข้าบอกว่า ท่านกลัวตระกูลเราจะฮุบเอาสินเดิมของเจียวเหนียงใช่ไหมขอรับ เรื่องนี้ท่านวางใจได้เลย ตระกูลของข้าไม่สนหรอก สินเดิมพวกนั้นพวกเราไม่เอาแล้ว” เขากล่าว “คืนคนให้ข้า ข้าจะคืนสินเดิมให้พวกท่าน พอใจหรือไม่”

“สินเดิมของนางข้าไม่อยากได้ พวกเจ้าใครอยากได้ก็เอาไปเถอะ” ฮูหยินโจวรีบกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าหวาดกลัว

ท่านชายหวังสิบเจ็ดตกใจเล็กน้อย ท่านแม่กับท่านป้าเคยบอกว่าตระกูลโจวขี้โลภไม่ใช่หรือ มีจิตใจละโมบคิดอยากได้สินสอดทองหมั้น

“สินเดิมเหล่านั้นมีค่าไม่น้อยเลยนะขอรับ” เขาอดพูดไม่ได้

จะมีค่าเท่าชีวิตอีกหรือ เด็กโง่!

ฮูหยินโจวและนายใหญ่โจวมองมาที่เขาพลางส่ายหน้า

ตระกูลเฉิงไปหาคนโง่เช่นนี้มาจากที่ใดกัน!

ขณะนั้นท่านชายโจวหกที่ยืนอยู่หน้าสะพานอวี้ไต้ เขาสูดหายใจลึกพลางยกมือขึ้นเคาะประตู

บ่าวคนหนึ่งแอบดูอยู่ตรงรอยแยกระหว่างประตู

“เจ้าอีกแล้ว!”

“เจ้ามาทำอะไร”

เสียงซักถามจ้อกแจ้กน่ารำคาญของสาวใช้และบ่าวไพร่ดังขึ้นภายในเรือน

หญิงสาวที่นั่งตัวตรงอยู่บนระเบียงทางเดินหันมามองอย่างไร้อารมณ์

ทุกอย่างเหมือนเช่นดังก่อน

“คนของตระกูลเฉิงมา” ท่านชายโจวหกเอ่ย

“ผู้ใด” สาวใช้ถามอย่างตกใจ

“พี่ชายคนหนึ่งของเจ้า แล้วก็…” ท่านชายโจวหกมองเฉิงเจียวเหนียงพลางตอบ “คู่หมั้น”

ปั้นฉินที่กำลังดื่มชาอยู่พอได้ยินเข้า ก็แทบทำจานรองหลุดมือร่วงลงพื้น

“คู่หมั้นหรือ” สาวใช้เอ่ยเสียงหลงพลางมองเฉิงเจียวเหนียง

เฉิงเจียวเหนียงยังคงไร้อารมณ์ดังเดิม

“เช่นนั้นหรือ” นางเอ่ยแล้วยิ้มบาง “เชิญเข้ามาพบข้าที”

ท่านชายโจวหกตะลึง ปั้นฉินก็นิ่งอึ้งไปแล้ว

“เจ้าจะพบเขาหรือ” ท่านชายโจวหกถามขึ้นพลางก้าวเข้ามาหาก้าวหนึ่ง

“คู่หมั้นข้าทั้งคน ข้าย่อมอยากพบเสียหน่อย” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวราวกับว่าที่เขาถามมานั้นประหลาดนัก

ท่านชายโจวหกมองนาง

เอาจริงหรือ

เจ้าจะจัดการเองหรือ

ความจริงไม่ต้องก็ได้ ให้พวกข้าจัดการก็สิ้นเรื่องแล้ว

เจ้าจะพบเขาเพื่ออะไร

คนตระกูลเฉิงมีอะไรดีกัน

หากเจ้าอยากแต่ง ก็ใช่ว่าจะคัดสรรคนดีๆ มาให้ไม่ได้…เลวร้ายที่สุด อย่างเจ้าฉินสิบสามก็ไม่เลว

หากเจ้าอยากแต่งกับเขา แต่เขาไม่ยิมยอม ข้าก็ไม่เอาเขาไว้แน่

แต่เขาไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน ไม่แน่อาจจะอยากแต่งด้วยจนตัวสั่นก็ได้…

เจ้าไม่พูดไม่จา เจ้าไม่กล่าวคำใด เจ้าไม่พูดแล้วใครจะรู้ว่าเจ้าคิดจะทำอะไร!

ท่านชายโจวหกมองนางด้วยใจร้อนรน อารมณ์แปรปรวนไปมา ก่อนยังมือทึ้งหัวตัวเอง

“ได้” ในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้น แล้วเดินจ้ำออกไป

เจ้าต้องการอย่างไร ข้าก็จะจัดการให้ดังนั้น

………………………….