เมื่อท่านชายโจวหกกลับมาถึงบ้าน นายใหญ่โจวก็กำลังให้คนขังท่านชายเฉิงสี่และท่านชายหวังสิบเจ็ดเอาไว้
“นายใหญ่โจว ท่านจะทำอะไร” ท่านชายหวังสิบเจ็ดร้องตะโกน พลางมองบ่าวไพร่ตระกูลโจวสายตาดุร้ายดุจเสือ ที่กำลังล้อมเขาเข้ามา
เหมือนกับบ้านตระกูลขุนนางฝ่ายบู๊ทั่วไป ที่บ่าวไพร่ในเรือนมักจะมาจากเหล่าทหารคนสนิท เทียบกับบ่าวไพร่บ้านอื่นแล้วที่นี่โหดเหี้ยมกว่ามาก
“ไม่เรียกท่านลุงแล้วหรือ” นายใหญ่โจวลูบเครายิ้มถาม “พวกเจ้าเป็นลูกหลานของข้า มาถึงเมืองหลวงทั้งที ข้าย่อมต้องต้อนรับให้ดี มีอันใดไม่ถูกต้องหรือ”
“ท่านลุง ข้ามาร่ำเรียนนะขอรับ” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ยอย่างลนลาน “ข้าไม่อาจอยู่ที่บ้านท่านต่อได้”
“เรียนอะไรหรือ” นายใหญ่โจวส่งเสียงเย้ยหยันพลางเอ่ย “บ้านข้าก็เรียนได้ พวกเจ้าฟังคำข้าแล้วอยู่ที่นี่เสียดีๆ”
“นายใหญ่โจว ท่านกล้ากักขังข้า คนที่บ้านข้าไม่ปล่อยท่านไว้เป็นแน่” ท่านชายหวังสิบเจ็ดตะโกนขึ้น
“เจ้ากล้าทำชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของลูกสาวตระกูลข้าเสียหาย ข้าต่างหากที่จะไม่ไว้ชีวิตเจ้า!” นายใหญ่โจวส่งเสียงเฮอะอีกครั้ง “เจ้าวางใจได้ ไม่ต้องให้คนที่บ้านเจ้ามาหาข้า ข้าจะไปหาพวกเขาเอง!”
“ข้าไม่ได้ทำนางเสียหาย ที่บ้านเป็นคนจัดการให้ต่างหาก ออกทะเบียนสมรสมาแล้วด้วย!” ท่านชายหวังสิบเจ็ดตะโกนบอก “ท่านต่างหากที่ทำข้าเสียหาย!”
“หยุดพูดจาเหลวไหล ลากพวกเขาออกไป” นายใหญ่โจวโบกมือ คร้านจะพูดจาไร้สาระกับพวกเขาต่อ
บรรดาลูกหลานล้วนเป็นคนเจียงโจว อย่าว่าแต่จับมัดไว้เลย ตีสักครั้งจะเป็นอะไรไป
เหมือนดั่งสำนวนที่ว่าบัณฑิตพบทหาร มีเหตุผลก็ใช้ไม่ได้[1]ไม่มีผิดเพี้ยน!
มองบ่าวไพร่ที่กำลังกรูเข้ามาหน้าตาถมึงทึง ท่านชายหวังสิบเจ็ดพลันป้องหัวหมอบลง
“ตระกูลโจวโหดร้ายป่าเถื่อนจริงๆ ด้วย!” ขณะนั้นเองเขาก็ตะโกนออกมา “ชายสี่เจ้าไม่ได้หลอกข้า”
พอคำนี้หลุดออกไป บ่าวสองคนที่กำลังโถมเข้าใส่เขาอย่างโหดเหี้ยมก็จับท่านชายเฉิงสี่ที่ดูอ่อนโยนไม่ต้องใช้กำลังจัดการมากดไว้กับพื้น
นึกไม่ถึงว่าจะกล้าเอ่ยปากบอกเรื่องนินทาลับหลังกันเช่นนี้!
“เจ้าคนเหลวไหลนี่ ข้าเคยพูดเมื่อใดกัน…” ท่านชายเฉิงสี่แก้ต่าง ยังไม่ทันเอ่ยจบก็ถูกบ่าวไพร่ปิดปากเอาไว้ ทั้งร่างถูกพลิกกลิ้งไปมาจนหมวกที่สวมอยู่ตกลงพื้น ผมเผ้ายุ่งเหยิงไปหมด
ขณะที่กำลังชุลมุนวุ่นวายอยู่นั้น ท่านชายโจวหกก็เดินจ้ำเข้ามาจากด้านนอก เขาเพียงแต่มองท่าทางจนตรอกของทั้งคู่ ทว่าไม่ได้เอ่ยห้ามแต่อย่างใด ก่อนจะรีบจ้ำอ้าวไปหานายใหญ่โจว กระซิบเสียงเบาข้างหู
“จะพบจริงๆ หรือ ตอนนี้น่ะหรือ” นายใหญ่โจวถามอย่างตกใจ
ท่านชายโจวหกพยักหน้า
“นางเพิ่งบอกเมื่อครู่” เขาเอ่ย
รวดเร็วเสียจริง นายใหญ่โจวลูบเครา เขานึกว่าเฉิงเจียวเหนียงจะมาถามเรื่องนี้ด้วยตัวนางเองเสียอีก เหตุใดต้องรอให้ถึงคราวตัวเองและตระกูลเฉิงก่อเรื่องกันวุ่นวายถึงเพียงนี้ ซ้ำเขาก็ได้เตรียมการเอาไว้หมดแล้วเช่นนี้ด้วย
คิดไม่ถึงว่านางจะอยากเจอคู่หมั้นที่คนตระกูลเฉิงจัดหาให้ตอนนี้ เช่นนั้นก็เจอเสีย เขาได้แสดงจุดยืนชัดเจนไปแล้ว ที่เหลือก็ทำตามที่หลานสาวของเขาคนนี้ต้องการก็พอ
“น้องสาวข้าพักอยู่ที่นี่หรือ”
ท่านชายเฉิงสี่เลิกม่านรถขึ้นมองออกไปด้านนอกพลางเอ่ยถาม
“อย่าไปฟังเขาพูดจาเหลวไหล พวกเขาต้องพาเราออกไปฆ่าแล้วทำลายศพไม่ให้เหลือร่องรอยเป็นแน่” ท่านชายหวังสิบเจ็ดตะโกนบอก
ท่านชายโจวหกไม่สนใจเขา ตรงเข้าไปเคาะประตู
“ท่านชายหก ท่านมาอีกแล้ว” จินเกอร์เปิดประตูพลางเอ่ย ยังไม่ทันจะตอบคำใดก็ได้ยินเสียงหัวเราะฮาขึ้นมา
“จินเกอร์!”
เขาตกใจยกใหญ่ มองตามเสียงไปก็เห็นบ่าวรับใช้รูปร่างซูบผอม เบิกตาโพรงยื่นมือชี้มาทางเขาอยู่ข้างรถ
“ลิ่วจิ่วร์” จินเกอร์ขยี้ตามองแล้วตะโกนเรียก
“ไอ้หยา เป็นจินเกอร์จริงๆ ด้วย” บ่าวรับใช้ตื่นเต้นดีใจ สายตามองดูเขาอย่างไม่เชื่อ “เจ้ายังไม่ตายนี่นา”
จินเกอร์ส่งเสียงถุยคำหนึ่ง
“เจ้าน่ะสิที่ตาย!” เขาเอ่ย
“แม่กับพี่สาวเจ้าร้องไห้อยู่ที่เรือนทุกวัน…” บ่าวรับใช้บอก
“ร้องไห้อะไรกัน ข้าสบายดี” จินเกอร์ส่งเสียงเฮอะพลางมองเขา “เจ้ามาได้อย่างไร”
“ข้ากับท่านชายสี่มาเมืองหลวงแล้ว!” บ่าวรับใช้เอ่ยพลางยกมือชี้ไปทางด้านหลัง
ท่านชายเฉิงสี่กระโดดลงรถด้วยความตื่นเต้นยินดี
“น้องสาวอยู่ที่นี่จริงๆ หรือเนี่ย” เขาเอ่ย
ประตูถูกเปิดออก ท่านชายโจวหกก้าวเข้าไป ร่างผอมบางของหญิงสาวผู้หนึ่งก็เหลียวมองตามมา
“ท่านชายสี่นี่เอง” สาวใช้เอ่ยพลางแย้มยิ้มคำนับ
หญิงตรงหน้าคือคนเดียวกับสาวใช้ที่กำลังอ่านหนังสืออย่างสงบนิ่งบนรถม้าอันแสนวุ่นวายในภาพความทรงจำของเขา
เขาถอนหายใจ ที่แท้ก็อยู่ที่นี่นี่เอง
“น้องสบายดีหรือไม่” เขาเดินไปหาแล้วเอ่ยถาม
“นายหญิงสบายดีเจ้าค่ะ” สาวใช้คำนับอีกครั้งแล้วอมยิ้มเอ่ย “เชิญท่านชายสี่เจ้าค่ะ”
ท่านชายเฉิงสี่กำลังจะยกเท้าย่างเข้าไป เสียงตะโกนก็ดังขึ้นจากในรถด้านหลัง
“รอเดี๋ยว”
ท่านชายเฉิงสี่เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่ายังมีคนมาด้วยอีกคน เขารีบหันหลังมอง
“เจ้าจะทำอะไรอีก” เขากระซิบถาม “รีบลงจากรถเสีย ไม่เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องพบนางแล้ว”
“จะไม่พบนางได้อย่างไร!” ท่านชายหวังสิบเจ็ดแง้มม่านเปิดออกเป็นช่องเล็กๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้ามาเมืองหลวงไม่ใช่เพื่อจะเจอนางหรอกหรือ”
ยังดีที่เจ้ายังนึกได้ว่ามาเมืองหลวงเพื่อเจอนาง! เสียเวลาอยู่ที่หอเต๋อเซิ่งได้เสียตั้งนาน!
ท่านชายเฉิงสี่ถลึงตามองเขาอย่างเสียอารมณ์
“รีบลงมา!” เขาบอก
ท่านชายหวังสิบเจ็ดกลับหลบถอยไปด้านหลัง
“เจ้าไปยืมของที่ใช้ล้างหน้าหวีผมมาให้ข้าที” เขาเอ่ย
“เจ้าจะทำอะไรแปลกๆ อีก” ท่านชายเฉิงสี่ขมวดคิ้วกระซิบเอ่ย
“ท่านลุงเล่นงานเสียดูไม่ได้เช่นนี้ ข้าจะไปเจอคนงามได้อย่างไร” ท่านชายหวังสิบเจ็ดกระซิบกลับไป
ท่านชายเฉิงสี่กัดฟันมองเขา แต่ในเมื่อเลือกคนผู้นี้ไปแล้ว แต่งตัวให้ดีสักหน่อยให้น้องสาวเห็นแล้วรู้สึกชอบขึ้นมาบ้างก็ดี
ท่านชายโจวหกยืนอยู่ในเรือนสักพักแล้ว ก็เห็นสาวใช้อมยิ้มเดินกลับมา
“พวกเขาต้องการอะไรอีก” เขาได้ยินก็ขมวดคิ้วถามขึ้น
“ท่านชายสี่บอกว่าจะแต่งองค์สักครู่ เกรงว่าจะนายหญิงเจอแล้วจะตกใจเอา” สาวใช้ตอบ
“ช่างเป็นคนอัปลักษณ์ที่ทำตัวแปลกประหลาดนัก!” ท่านชายโจวหกเอ่ยด้วยความโมโหแล้วย่างเท้าเดินออกข้างนอกไป
“ไม่เป็นไร” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้น “นี่ไม่เรียกว่าแปลกประหลาดอะไร”
ท่านชายโจวหกชักฝีเท้าหันกลับมามองนาง
สาวใช้เข้าใจ ปั้นฉินหยิบหวีและข้าวของสำหรับล้างหน้าออกไปให้พวกเขา ไม่นานมาทั้งคู่จึงเดินเข้ามา
“เชิญท่านชายสี่เจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ย
ท่านชายเฉิงสี่สูดหายใจลึกก่อนก้าวเข้าไปในเรือน
หญิงงามนางหนึ่งยืนขึ้นบนระเบียงทางเดินแล้วหันมามอง
คืนคนงามบนโขดหินข้างสระบัวที่เหลือบมองมาวันนั้น
หญิงงามค้อมตัวคำนับ
ท่านชายเฉิงสี่ได้สติขึ้นก็รีบรับคำนับ ทว่าถูกคนด้านหลังผลักจนโซเซ
“ข้าชายสิบเจ็ดแห่งตระกูลหวังคำนับแม่นาง”
ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยเสียงกังวานพลางประสานมือคำนับ ท่าทางชำนาญคล่องแคล่วเกินจริงจนดอกไม้ที่เสียบอยู่บนศีรษะสั่นไหว
เขาเอ่ยพลางเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวตรงหน้า
“ที่แท้ก็เป็นหญิงงาม” เขาเอ่ย ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า สีหน้าเต็มไปด้วยความชื่นชม “ซ้ำยังงดงามราวกับภาพวาด”
สตรีบนโลกนี้จะเจ้าเนื้อย่างอวี้หวน หรือผอมบางอย่างเยี่ยนเฟย[2]ก็ล้วนแต่งามในแบบของตน ทว่าต่างกับหญิงงามเหล่านั้นที่สวยสดและฉลาดหลักแหลมดั่งสายน้ำ มีคนงามประเภทหนึ่งที่สงบเสงี่ยมเงียบขรึม ยืนอยู่ที่ใดก็ไม่พูด ไม่ขยับ ไม่ยิ้มแย้มเหมือนกับรูปภาพอย่างไรอย่างนั้น
เพราะเป็นคนงามที่ไม่เคลื่อนไหวดั่งอยู่ในรูปภาพ ดังนั้นจึงถูกหยอกเย้าว่างามดั่งภาพวาด
ท่านชายเฉิงสี่ถลึงตามองเขา
“น้องสาว นี่คือท่านชายสิบเจ็ดบ้านท่านลุงข้าเอง” เขาเอ่ยแนะนำอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เฉิงเจียวเหนียงคำนับอีกครั้งหนึ่ง
“เชิญ” นางเอ่ย
พอเอ่ยออกไป ท่านชายหวังสิบเจ็ดก็ส่งเสียงสงสัยพลางขมวดคิ้วตะลึง
“เหตุใดน้ำเสียงถึงไม่รื่นหูเช่นนี้” เขาเอ่ย
พอเขาเอ่ยคำนั้นออกมา ท่านชายเฉิงสี่ ท่านชายโจวหกและเหล่าสาวใช้ก็ต่างมองไปที่เขา
“น่าเสียดายจริง น่าเสียดายจริง” ท่านชายหวังสิบเจ็ดสีหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง เดินเข้าไปมองเฉิงเจียวเหนียงใกล้พลางส่ายหน้าไปมา “เช่นนั้นก็ช่างมันเถิด คนงามดั่งภาพวาดเดิมทีก็เอามาแขวนประดับเพื่อชื่นชมอยู่แล้ว ภายหน้าเจ้าก็พูดให้น้อยๆ หน่อยแล้วกัน”
สาวใช้ถลึงตามองคุณชายผู้นี้
“ไม่ใช่คนสติไม่ดีหรอกกระมัง” นางหันไปกระซิบถาม
ปั้นฉินที่อยู่ข้างๆ สีหน้าสับสน
ท่านชานโจวหกกลับหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ ก่อนจะมองไปยังเฉิงเจียวเหนียง
หญิงผู้นี้แหละปากคอเราะร้ายที่สุด…
“หุบปาก!” ท่านชายเฉิงสี่ตะโกนสั่งด้วยสีหน้าแดงก่ำ มองเฉิงเจียวเหนียงด้วยสีหน้าอยู่ไม่สุข “น้องสาว เขา… เขาแค่ล้อเล่นน่ะ…”
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบางแล้วพยักหน้า
“ก็ดี” นางเอ่ย
ดีหรือ
ดีอย่างไรกัน
คนในเรือนล้วนนิ่งชะงักไป ยกเว้นท่านชายหวังสิบเจ็ด
“ไม่เลว ไม่เลว” เขาหัวเราะเอ่ย “เชื่อฟังก็ดี ต่อไปเจ้าต้องเชื่อฟังข้า ข้ารับรองว่าเจ้าจะมีชีวิตที่ดีแน่นอน”
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบางอีกคราหนึ่ง
“ได้” นางพยักหน้าพลางเดินลงบันไดมา มองไปยังท่านชายหวังสิบเจ็ด
นางมองอย่างตั้งอกตั้งใจ ทั้งบนล่างซ้ายขวา สายตาค่อยๆ สำรวจแล้วมองผ่านไป
ไอ้อัปลักษณ์นี่มีอะไรน่ามองกัน!
ท่านชายโจวหกมองไปด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
อายุเพียงสิบหกสิบเจ็ด อ่อนกว่าเขาตั้งเยอะ รูปร่างก็ผอมบางไม่ล่ำสันเท่าเขา
ตานิดจมูกหน่อย ไม่มีชีวิตชีวาเท่าเขา
ทาแป้งเสียหน้าวอกอย่างกับผีอย่างไรอย่างนั้น! ซ้ำยังทาปากอีกต่างหาก
แม้นี่จะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร บุรุษชั้นสูงในเมืองหลวงก็แต่งตัวกันเช่นนี้มากมาย แต่คนผู้นี้แต่งออกมาได้น่าขยะแขยงนัก
ดูดีตรงไหนกัน ดูมากๆ เข้าก็อยากจะอ้วก!
ถูกแม่นางน้อยประเมินเช่นนี้ สำหรับท่านชายหวังสิบเจ็ดแล้วเป็นเรื่องธรรมดาไม่แปลกอะไร ซ้ำยังคิดว่าเป็นเรื่องน่ายินดีอีกด้วย
เขารีบกางแขนออกแล้วหมุนตัวไปมา
“เป็นอย่างไร” เขาเอ่ยถามอย่างภาคภูมิใจ
ท่านชายโจวหกร้องถุยอยู่ในใจ ก่อนจะหันไปมองเฉิงเจียวเหนียง
“ไม่เลว” เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้ายิ้มบาง “หากแต่ข้ามีคำถามอยากจะถามเจ้าสองสามข้อ”
ดูสิ เริ่มแล้วสินะ…
ท่านชายโจวหกมองท่านชายหวังสิบเจ็ดด้วยสีหน้าสะใจ
อีกเดี๋ยวเจ้าได้โดนด่าจนแทบร้องไห้ไม่ทันแน่…
“เชิญแม่นางถาม” ท่านชายหวังสิบเจ็ดยิ้มเอ่ย
“ปีนี้เจ้าอายุเท่าใดแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงถามขึ้น “เป็นคนที่ไหน ครอบครัวมีใครบ้าง ทำอาชีพอะไร”
คน ณ ที่นั้นต่างพากันชะงักไปอีกรอบ ท่านชายเฉิงสี่ที่เดิมทีรู้สึกละอายอยู่เล็กน้อยก็มองน้องสาวอย่างตะลึงงัน
นี่กำลังถามซักประวัติเรื่องในครอบครัวอยู่หรือ
ท่านชายหวังสิบเจ็ดหัวเราะออกมายกใหญ่
“แม่นาง เช่นนั้นเรานั่งคุยกันอย่างละเอียดดีหรือไม่” เขาเอ่ยพลางผายมือเชิญ “แม้ว่าเรื่องเหล่านี้ท่านพ่อตาจะทราบดีอยู่แล้ว แต่ในเมื่อเจ้าอยากจะรู้ ข้าก็จะบอกให้เจ้าฟัง”
เอ่ยถึงตรงนี้ก็ยักคิ้วหลิ่วตาส่งให้เฉิงเจียวเหนียง
“เรื่องครอบครัวข้า เจ้าอยากจะรู้เรื่องใดข้าก็จะเล่าเรื่องนั้น”
เฉิงเจียวเหนียงค้อมหัวคำนับเล็กน้อยแล้วหันไป
“เชิญท่านชายเจ้าค่ะ” นางเอ่ยขึ้น
คนในเรือนเหม่อมองทั้งคู่เดินเข้าไปกลางห้องโถง
หมายความว่าอย่างไร
นี่ เอาจริงหรือ
สาวใช้นิ่งตะลึงงัน
“นี่นายหญิงยอมรับการแต่งงานแล้วหรือ” นางมองแล้วเอ่ยถามปั้นฉินขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ปั้นฉินก็ตกตะลึงเช่นกัน แต่ก็ได้สติคืนมาในทันใด
“ข้าไปรินชาก่อนนะ” นางบอกแล้วรีบเดินจากไป
รินชา…
สาวใช้ร้องอ๋อขึ้นมา
“ข้าต้องชงชา” นางเอ่ยขึ้นแล้วเดินตามไป
ท่านชายเฉิงสี่เดินตามไปตั้งนานแล้ว ในเรือนจึงเหลือเพียงท่านชายโจวหกผู้เดียว
เขามองที่ห้องโถง สามคนนั้นต่างจับจองที่นั่งกันเรียบร้อย ไอ้คนอัปลักษณ์นั่นดวงตาลอกแลกมองไปทั่ว เหตุใดหญิงผู้นี้ยังทำสีหน้าเรียบเฉยได้อีก
ด่าเขาสิ! เย้ยหยันเขาสิ! หยิบธนูที่แขวนไว้บนผนังมายิงเขาสิ!
“ท่านชายเชิญดื่มชาเจ้าค่ะ”
ใช่ ดื่มชา! ให้เขาดื่มชา! จากนั้นก็ยั่วโมโหเขา!
ท่านชายโจวหกยืนอยู่ในเรือน มองไปยังห้องโถงพลางกำหมัดแน่นด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน
…………………………………….
[1] บัณฑิตพบทหาร มีเหตุผลก็ใช้ไม่ได้บัณฑิตใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา ทหารใช้กำลังในการแก้ปัญหา ว่ากันด้วยกำลังบัณฑิตย่อมสู้ทหารไม่ได้ อธิบายเหตุผลไปก็ไม่ฟังและไม่ได้ผล
[2] เจ้าเนื้อย่างอวี้หวน ผอมบางอย่างเยี่ยนเฟย หยางอวี้หวน (ชื่อจริงของหยางกุ้ยเฟย) งามอย่างคนเจ้าเนื้อ จ้าวเฟยเยี่ยน (หญิงงามสมัยราชวงศ์ฮั่น) งามแบบสะโอดสะอง มีนัยยะว่า ผู้หญิงไม่ว่าจะอ้วนจะผอมล้วนแต่งามในแบบของตน