เสียงหัวเราะจากด้านในดังขึ้น ลอยผ่านเรือนหลังเล็กดังมาถึงด้านนอก
ท่านชายฉินสิบสามเงี่ยหูฟัง
รถม้าเป็นของตระกูลโจว แต่เสียงนี้กลับไม่ใช่เสียงของนายทใหญ่โจวหรือเสียงของท่านชายโจวหก
ประตูเรือนเปิดไว้ เห็นชัดว่าแขกที่มาเป็นบุรุษ
ท่านชายฉินสิบสามลงจากรถแล้วเดินเข้ามา
“วันนั้นข้าเห็นคนผู้หนึ่งอยู่ที่ถนนเหมือนเจ้ามากๆ… ข้ายังนึกว่าตัวเองตาฝาด ที่แท้ก็เป็นเจ้าจริงๆ…”
“พวกท่านมากันนานแล้วหรือ เหตุใดเพิ่งจะมาหานายหญิงยามนี้”
ที่หน้าประตูห้องมีสาวใช้สองคนกำลังหัวเราะพูดคุยกันอยู่ ด้านข้างมีบ่าวรับใช้หน้าตาไม่คุ้นนั่งอยู่อีกสองคน
สำเนียงการพูดของพวกเขาล้วนเป็นสำเนียงเจียงโจว จังหวะในการพูดทั้งเร็วและหนักแน่น เพียงแต่ท่านชายฉินสิบสามเป็นชายหนุ่มว่างงาน จึงเคยศึกษาเรื่องภาษาถิ่นแต่ละภาคมาบ้าง ดังนั้นเวลาฟังจึงไม่ลำบากมากนัก
“ห้องหับนี้ก็ไม่เลวทีเดียว ตระกูลโจวให้นายหญิงอยู่หรือ”
“เป็นของนายหญิงน่ะ…”
“ของนายหญิงหรือ”
บ่าวรับใช้เพิ่งจะเอ่ยถามแต่กลับเห็นจินเกอร์ลุกพรวดขึ้น
“ท่านชายฉิน” เขารีบเดินเข้าไปเอ่ยทัก
บ่าวรับใช้สองสามคนที่นั่งอยู่หน้าประตูก็รีบลุกขึ้นมองไปทางท่านชายผู้นั้น
“อยู่กันครบเลยหรือ” ท่านชายฉินสิบสามยิ้มพลางชี้ไปยังด้านในแล้วเอ่ยถามขึ้น
จินเกอร์ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่เขาบอกว่าอยู่กันครบนั้นหมายถึงผู้ใด ฟังดูแล้วเหมือนว่าท่านชายฉินสิบสามจะรู้ว่าใครอยู่อย่างไรอย่างนั้น เขาจึงพยักหน้ารับอย่างงุนงง
ท่านชายฉินสิบสามก้าวเข้าไปด้านในพลางเห็นคนทั้งสามนั่งกันอยู่ในห้องโถง
“สองคนนั้นมาที่นี่ได้อย่างไร” เขาถามอย่างตะลึง
“นางเรียกให้เข้ามา” ท่านชายโจวหกตอบเสียงไม่สบอารมณ์ เอ่ยจบก็รีบหันมามองพลางขมวดคิ้ว “แล้วเจ้ามาได้อย่างไร”
“ข้าผ่านมาทางนี้พอดี” ท่านชายฉินสิบสามตอบ “จึงแวะมาพูดคุยกับแม่นางเฉิงเล็กน้อย”
“ทั้งๆ ที่ตนเองเป็นคนพูดจาโป้ปดที่สุดในโลก แต่กลับหลอกตัวเองจนเชื่อว่าไม่เคยหลอกลวงผู้ใด” ท่านชายโจวหกส่งเสียงเย้ยหยัน
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะ
“ตัวเองยังไม่เชื่อ แล้วจะทำให้ผู้อื่นเชื่อได้อย่างไรกัน” เขายิ้มกล่าว
เมื่อมีคนเพิ่มมาในเรือน คนที่อยู่ในห้องโถงที่เปิดเอาไว้ก็มองเห็นเช่นกัน
ท่านชายเฉิงสี่รู้จักชายหนุ่มผู้มาเยือนคนนี้เพราะเป็นคนเดียวกับที่เห็นที่บ้านตระกูลโจวในคราแรก น่าจะเป็นบุตรชายของตระกูลโจว
ท่าทางลูกหลานตระกูลโจวก็ใช้ว่าจะไม่มาเหลียวแลน้องสาวสติไม่สมประกอบผู้นี้
แม้จะให้นางพักอยู่อีกที่เหมือนคนอื่นๆ ในครอบครัว แต่เรือนนี้ดีกว่าอารามวัดเต๋ามากนัก
อีกทั้งการตกแต่งภายในเรือนนี้ก็ไม่ต่างจากบ้านตระกูลโจวเท่าใดนัก
“เช่นนี้ข้าก็ไม่มีอะไรจะถามอีกแล้ว”
เสียงหญิงเอ่ยขึ้น
ท่านชายเฉิงสี่รีบดึงสายตากลับมามองยังนาง
“ท่านพี่ตั้งใจมาหาข้าหรือ” นางกล่าวถาม
ท่านชายเฉิงสี่รีบส่ายหน้า
“มะ…ไม่ใช่” เขาตอบอย่างอับอายเล็กน้อย “ข้ามาร่ำเรียนที่สำนักของท่านอาจารย์เจียงโจว”
“ส่วนข้าตั้งใจมาหาแม่นาง” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยขึ้น
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้ายิ้มบาง
“ข้าทราบแล้ว” นางบอก
ท่านชายเฉิงสี่เพิ่งนึกอะไรขึ้นได้จึงหยิบถุงเงินออกมาจากตัว
“น้องสาวยังขาดเหลืออะไรอีกหรือไม่ เงินนี่เจ้าก็รับไว้ใช้จ่ายเถอะ” เขาเอ่ยใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ “แม้จะไม่มากนัก รออีกสองสามวันทางบ้านส่งมาแล้วข้าจะให้น้องสาวเพิ่มอีก”
“อย่าได้กังวล รอรับกลับไปบ้านแล้ว เงินของบ้านเราก็เหมือนของเจ้า เจ้าอยากใช้อย่างไรก็ตามใจเจ้า” ท่านชายหวังสิบเจ็ดกล่าวเสริมขึ้นอีกครั้ง
ทั้งสองคงเป็นคนบ้าจริงๆ ด้วยสินะ…
สาวใช้ที่นั่งอยู่ตรงประตูกับปั้นฉินต่างก้มหน้าลง
“ปั้นฉิน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยเรียก
สาวใช้รีบลุกขึ้นไปหา
“ขอบคุณท่านพี่มาก” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
สาวใช้พลันเข้าใจ นางเข้าไปรับถุงเงินที่ท่านชายเฉิงสี่ส่งมาเอาไว้ ก่อนส่งยิ้มมองหน้าเขาอย่างอดไม่ได้
“ท่านชายช่างโชคดีจริงๆ” นางกระซิบเอ่ย
ท่านชายโชคดีหรือ ควรจะเป็นน้องสาวที่ได้รับความใส่ใจจากพี่ชายช่างโชคดีไม่ใช่หรือ
ท่านชายเฉิงสี่ไม่เข้าใจ มองดูสาวใช้ถือถุงเงินถอยกลับไป
“เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเวลาร่ำเรียนของท่านพี่แล้ว” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
“ไม่รบกวน ไม่รบกวน” ท่านชายหวังสิบเจ็ดยิ้มเอ่ย
ท่านชายเฉิงสี่ถลึงตามองเขาคราหนึ่ง แล้วลุกขึ้นก่อน
“ข้าพักอยู่ที่สำนักนอกเมือง เจ้าถามทางว่าสำนักท่านอาจารย์เจียงโจวก็ได้” เขากล่าว
“ข้าพักอยู่ที่หอจุ้ยอวิ๋น” ท่านชายหวังสิบเจ็ดบอก
“อีกไม่นานเขาก็จะกลับบ้านแล้ว” ท่านชายเฉิงสี่ขัดขึ้น
“จะรีบร้อนอะไร” ท่านชายหวังสิบเจ็ดกล่าวพลางส่ายหน้า “หากจะกลับข้าก็จะกลับไปพร้อมเจียวเหนียง”
“เช่นนั้นเจ้าก็รีบให้คนที่บ้านมารับนางกลับเสีย!” ท่านชายเฉิงสี่ยื่นมือไปดึงเขาให้ลุกขึ้นแล้วกระซิบบอก
อ้อ จริงด้วย เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าที่บ้านให้เขาส่งจดหมายไปบอกว่าพอใจหรือไม่ด้วยนี่นา หากไม่ตอบจดหมายไปล่ะก็ การแต่งงานครั้งนี้ก็จะยืดเยื้อออกไปอีก
ท่านชายหวังสิบเจ็ดนึกเรื่องด่วนขึ้นมาได้ ก็รีบลุกขึ้นอย่างเร็วรี่
“น้องเจียวเหนียงรอก่อน อีกไม่นานที่บ้านข้าก็จะมารับเจ้ากลับไปแล้ว” เขาเอ่ยบอก
เฉิงเจียวเหนียงอมยิ้มพยักหน้า แล้วลุกขึ้นส่งแขก
ท่านชายโจวหกและท่านชายฉินสิบสามเห็นทั้งคู่เดินออกมาจากห้องโถงก็หยุดบทสนทนาลง
แม้จะไม่ได้แนะนำตัวต่อกัน แต่ยามที่ท่านชายเฉิงสี่เดินผ่านพวกเขาไปก็ยังผงกหัวคำนับให้
ท่านชายโจวหกไม่สนใจ ท่านชายฉินสิบสามยิ้มพลางรับคำนับ
“ไม่ทราบว่าเป็นท่านใดหรือ” จู่ๆ เขาก็พลันเอ่ยถามขึ้น
คำถามนี้ถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่ท่านชายเฉิงสี่และท่านชายหวังสิบเจ็ดต่างเข้าใจว่าเขาถามเรื่องอะไร
ท่านชายหวังสิบเจ็ดกระแอมขึ้นเบาๆ พลางยืดอกหลังตรง แย้มยิ้มให้ท่านชายฉินสิบสาม
“รู้สึกอย่างไร พอใจหรือไม่” ท่านชายฉินสิบสามอมยิ้มถามด้วยความสนใจ
ท่านชายหวังสิบเจ็ดแย้มยิ้ม
“พอใจ พอใจ” เขายิ้มกล่าว
“รีบไปกันเถอะ” ท่านชายโจวหกบอกเสียงขรึม
ช่างเป็นบุตรมังกรเก้าคนล้วนแตกต่างกัน[1]เสียจริง ก็เหมือนกับคุณชายตระกูลโจว คนนี้มองดูอ่อนโยนอ้อนแอ้นราวหยก คนนี้หน้าตาดุร้ายน่ากลัว
ท่านชายเฉิงสี่และท่านชายหวังสิบเจ็ดนึกไปถึงเรื่องที่พวกเขาถูกเล่นงานจนหมดสภาพโดยบ่าวไพร่ตระกูลโจวจึงไม่อยากล่าวอะไรมาก อย่างไรเสียก็ได้เจอน้องหญิงแล้ว ความปรารถนาในใจของแต่ละคนก็ได้สมดั่งหวัง ส่วนตระกูลโจวก็ไม่ต้องลากเอามามีส่วนร่วมด้วยหรอก จึงรีบก้าวเดินออกไป
ท่านชายโจวหกเดินก้าวไปยังห้องโถง ท่านชายฉินสิบสามลังเลครู่หนึ่งจึงรีบก้าวตามไป
สาวใช้กำลังเก็บจอกชาอยู่ เฉิงเจียวเหนียงก็เดินออกมา
“เจ้า คิดไว้ว่าจะทำอย่างไร” ท่านชายโจวหกเอ่ยถาม
“คิดไว้ว่าจะทำอะไรกัน” เฉิงเจียวเหนียงถามกลับ
ท่านชายโจวหกถลึงตากำลังจะกล่าวคำก็โดนท่านชายฉินสิบสามเอ่ยขัดขึ้นก่อน
“แม่นางรู้สึกว่าอย่างไร” เขาอมยิ้มถาม
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ก็ไม่เลว” นางตอบ
“อะไรที่ไม่เลว” ท่านชายโจวหกเดินไปหาก้าวหนึ่ง เอ่ยถามพลางขมวดคิ้ว
“คนๆ นี้น่ะสิ” เฉิงเจียวเหนียงตอบ ยกมือขึ้นชี้ไปด้านนอกประตู
“ที่ใดกันที่ไม่เลวน่ะ” ท่านชายโจวหกขึ้นเสียงที่เจือความโมโห
“ชาติตระกูลก็ไม่เลว เขาเองก็ไม่เลว” เฉิงเจียวเหนียงตอบ “ล้วนไม่เลว”
ท่านชายโจวหกกัดฟันถลึงตามองนาง
“เจ้าพูดจริงหรือ” เขาเอ่ยถาม
“แต่งงานเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ที่ควรจะเป็น มีอะไรต้องล้อเล่นกัน” เฉิงเจียวเหนียงยิ้มกล่าว “ข้าก็ไม่ใช่คนชอบโกหก”
“คะ…คนแบบเขา ตระกูลแบบนั้น จะ…เจ้า…” ท่านชายโจวหกเดินเข้าหาอีกก้าว ยกมือชี้ไปด้านนอกอย่างหมดคำพูด “มีดีตรงไหน เฉิงเจียวเหนียง เจ้าเองก็รู้ดีเจ้าไม่ใช่คนสติไม่ดี แต่คนอื่นยังมามองว่าเจ้าเป็นคนสติไม่ดี! กล้าแต่งกับคนสติไม่ดีแบบนั้น นับว่าเป็นคนดีที่ไหนกัน ใครจะรู้ว่าพวกเขามีแผนการอะไรซ่อนอยู่! เจ้าแต่งเข้าไปจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร”
สาวใช้ที่ฟังคำว่ากล่าวของท่านชายโจวหกจบก็หยุดฝีเท้าแล้วประคองชาส่งให้ใหม่
คนเช่นนั้น ตระกูลเช่นนั้น จะมีวันคืนที่ดีอะไรได้?
“ยังไม่ทันได้ลองใช้ชีวิตด้วยกันดูสักนิด จะรู้ได้อย่างไรว่าดีหรือไม่” นางบ่นอุบอิบ
ขณะเดียวกันนั้นเสียงหญิงสาวในห้องก็ดังขึ้น
“ยังไม่ทันได้ลองใช้ชีวิตด้วยกันดูสักนิด จะรู้ได้อย่างไรว่าดีหรือไม่”
เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้น ถลกกระโปรงก้าวเดินพลางหันหน้ามายิ้มบางให้ท่านชายโจวหก
นางกำลังยิ้ม รอยยิ้มยามนี้ของนางไม่ได้แปลกประหลาด ตรงกันข้ามกลับงดงามยิ่ง
แต่ทว่าท่านชายโจวหกกลับรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เขาพลันนึกถึงท่าทางที่หญิงผู้นี้จ้องมองท่านชายหวังสิบเจ็ดขึ้นมา รวมทั้งเรื่องที่นางซักถาม ยามนี้เหตุใดจึงรู้สึกเหมือนว่ากำลังส่งลูกแกะอวบอ้วนเข้าปากเสือต่างหาก
ก็แค่เจ้าหวังสิบเจ็ด
ก็แค่ตระกูลหวัง
เพียงแค่นางต้องการ นางก็สามารถทำให้ตระกูลหวังเปลี่ยนแซ่มาเป็นตระกูลเฉิงได้
น่าสงสารหรือ น่ากังวลหรือ ไม่สบายใจหรือ น่าเป็นห่วงหรือ
ผู้ใดกันแน่ที่ควรจะเป็นเช่นนั้น
เด็กบ้าแห่งเจียงโจวผู้นี้หรือ
เป็นตระกูลหวังที่นึกว่าตนเอาเปรียบได้อย่างไม่สนใจอะไรนั่นต่างหาก!
………………………