ประตูเรือนของเฉิงเจียวเหนียงปิดลง ท่านชายโจวหกที่จูงม้าอยู่ก็หันหน้ากลับไปมอง
“ไปเถิด” ท่านชายฉินสิบสามนั่งอยู่บนรถม้าเรียบร้อยแล้วเอ่ยบอกเขา “อย่าห่วงไปเลย นางไม่เป็นไรหรอก”
“ใครเป็นห่วงกัน” ท่านชายโจวหกส่งเสียงเย้ยหยัยแล้วมองเขา “แล้วเจ้าวิ่งแจ้นมานี่เพื่อการใด”
“ข้าไม่ได้เป็นห่วง” ท่านชายฉินสิบสามยิ้มตอบ “แต่ข้าไม่วางใจ”
ยิ้มกล่าวจบก็กระตุกแส้ม้า
ท่านชายฉิบสิบสามเข้ามาบ้านครานี้กลับไม่บังเอิญเจอท่านแม่ระหว่างทางเหมือนเช่นเคย แต่กลับโดนเรียกให้ไปพบเลยต่างหาก
นางให้หมอที่ไม่รู้ว่าไปหามาจากไหนมาตรวจดูรอบหนึ่ง ฟังคำกำชับว่าควรกินอะไรควรเลี่ยงอะไรอย่างรำคาญ ก่อนจะดื่มชาหมดไปอีกถ้วย
ท่านชายฉินสิบสามมองไปยังท่านแม่
ฮูหยินฉินยังคงยิ้มตาหยีทั้งยังจ้องมองมาที่เขา
“ท่านแม่ มองพอหรือยัง” เขาวางถ้วยชาแล้วเอ่ยถาม
“ยังไม่พอ” ฮูหยินฉินยิ้มตอบ
“มองมาสิบหกปีแล้ว ยังไม่พออีกหรือ” ท่านชายฉินสิบสามส่งเสียงฮึดฮัดแล้วเอ่ยขึ้น “หากเอ่ยคำนี้มาเอาอกเอาใจท่านพ่อยังพอทำเนา หากเป็นผู้อื่นคงไม่มีใครเชื่อ”
ฮูหยินฉินหัวเราะเล็กน้อย
“สิบหกปีแล้ว เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นท่าทางไม่พอใจของเจ้าเช่นนี้ มองเท่าใดก็คงไม่พอแน่นอน” นางยิ้มกล่าว
“ข้าไม่พอใจที่ไหนกัน” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยพลางยิ้มบาง
ฮูหยินฉินยื่นมือไปชี้หน้าผาก คิ้ว และหน้าอกของเขา…
“ตรงนี้ ตรงนี้ ตรงนี้…” นางยิ้มบอก
ท่านชายฉินสิบสามลุกขึ้น
“ท่านแม่พอได้แล้ว” เขากล่าวพลางขมวดคิ้ว น้ำเสียงสูงขึ้นเล็กน้อย “ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ!”
ภายในห้องพลันเงียบลง
นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนเห็นท่านชายฉินสิบสามพูดจาเช่นนี้ ฮูหยินฉินตาเบิกกว้างเล็กน้อย มือที่ยกขึ้นพลันชะงักกลางอากาศ บรรดาสาวใช้ต่างมองไปยังเขาอย่างตกใจ
“ชายสิบสามของเราโมโหเป็นแล้วหรือ” ฮูหยินฉินพลันหัวเราะออกมา นางโบกพัดพลางเอ่ยขึ้น
บรรยากาศภายในห้องจึงกลับมาเป็นเช่นเดิม
ท่านชายฉินสิบสามพ่นลมหายใจออกมา
“เมื่อก่อนข้าไม่เหมือนคนปกติ จึงแกล้งทำเหมือนคนปกติก็เท่านั้น ยามนี้ข้าปกติแล้ว ยังต้องแสร้งทำอะไรอีก” เขาส่งเสียงฮึดฮัดพลางสะบัดแขนเสื้อ “ไม่พอใจก็ย่อมระบายอารมณ์เป็นธรรมดา”
ฮูหยินฉินปิดปากหัวเราะ
“ใช่น่ะสิ ยามที่จนใจก็กลายเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ คนที่จนใจก็ต้องตามน้ำไปกับเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน ชายสิบสามของเราฉลาดเสียจริง” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มพลางยื่นมือออกไป “มา มา ให้แม่ดูท่านชายสิบสามที่ปกติชัดๆ เสียหน่อย ยังดูไม่พอเลย”
ท่านชายฉินสิบสามไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จึงสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป
เขาผลักบ่าวรับใช้ที่กำลังจะมาช่วยพยุงออกไปแล้วค่อยๆ เดินเองไปตลอดทาง รอยยิ้มบนใบหน้าพลันจางหายไป
“ความจริงแล้วแค่คิดมากเกินไปสินะ” เขาพูดกับตัวเองแล้วส่ายหน้ายิ้มๆ
ครั้งใดที่ไม่เป็นเช่นนี้บ้าง ไม่ว่าจะโมโห หรือกังวลใจล้วนเป็นผู้อื่นทั้งสิ้น ส่วนคนต้นเรื่องอย่างนางทำเพียงยืนชมความสนุกเท่านั้น ใครเป็นผู้แสดง ใครเป็นผู้ชมการแสดงอยู่กันแน่
สำหรับหญิงอื่นนั้น บ้านสามีเป็นเช่นไร สามีเป็นเช่นไรล้วนเป็นเรื่องสำคัญในชีวิต แต่สำหรับหญิงผู้นี้แล้ว เรื่องสำคัญของชีวิต นางล้วนแต่ควบคุมได้ด้วยกำมือของตนเองทั้งนั้น นับประสาอะไรกับเรื่องแต่งงาน
เกิดมามีชะตาชีวิตเช่นนั้น เจ็บไข้ได้ป่วยมาตั้งแต่เด็ก หนำซ้ำพ่อแม่ทอดทิ้ง นางก็ยังมีวันคืนที่ดีได้
ยามที่จนใจก็กลายเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ คนที่จนใจก็ต้องตามน้ำไปกับเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้…
ท่านชายฉินสิบสามหยุดฝีเท้าลง
ไม่ว่าจะเจอกับสถานการณ์เช่นไร นางล้วนทำชีวิตตัวเองให้สงบสุขได้
เพียงแต่ เพราะเหตุใด ในใจเขาจึงรู้สึกเจ็บปวดเช่นนี้
“ท่านชายขอรับ”
บ่าวรับใช้ข้างกายเห็นเขายืนนิ่งไม่ขยับอยู่นาน นึกว่าคงจะเดินจนเหนื่อยแล้วจึงเข้ามาพยุง
ท่านชายฉินสิบสามพลันหันกายกลับ
บ่าวรับใช้ตกใจมองท่านชายของตน
“ไม่ควร” ฉินสิบสามกล่าว
“ท่านชายขอรับ อะไรคือไม่ควรหรือ” บ่าวรับใช้ถามอย่างไม่เข้าใจ
“ใช่แล้ว ไม่ควร” ฉินสิบสามกล่าวแล้วเดินออกไปด้านนอก
ฝีเท้าของเขาเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อนที่เดินได้ไม่คล่องแคล่วอย่างมาก บ่าวรับใช้ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจึงได้รีบเดินตามไป
ขณะเดียวกันนั้น ท่านชายโจวหกก็ข้ามธรณีประตูเข้ามา
“เป็นอย่างไรบ้าง”
นายใหญ่โจวที่รอจนจนหงุดหงิดรีบถามขึ้น
ท่านชายโจวหกส่งเสียงอืมเพียงคำเดียว
“อืมหมายความว่าอย่างไรเล่า” นายใหญ่โจวถามด้วยความไม่เข้าใจ
“ก็คือ ไม่เลว ไม่เป็นไรแล้ว” ท่านชายโจวหกเอ่ยเสียงไม่สบอารมณ์พลางก้มหน้าแล้วขอตัวลา
นายใหญ่โจวเรียกเขาเอาไว้
“เดี๋ยว เดี๋ยว รอก่อน” เขาเอ่ยเรียก กวักมือให้ลูกชายเดินมาหา “มาพูดให้ข้าฟังก่อน ไม่เลวคืออะไร”
ท่านชายโจวหกนั่งลงอย่างอารมณ์ไม่ดี
“นางพอใจดี ไม่มีอะไร” เขาบอก
ขณะนั้นนายใหญ่โจวไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เป็นฮูหยินโจวที่รู้ใจ
“หา นางถูกใจท่านชายตระกูลหวังผู้นั้นหรือ” นางถามอย่างตกใจ
“เจ้าจะบอกว่าเจียวเจียวร์เห็นด้วยกับการแต่งงานครานี้หรือ” ในที่สุดนายใหญ่โจวก็มีตอบกลับ เบิกตาโพลงเอ่ยถาม
ใครจะรู้ว่านางถูกใจตรงไหนเข้า…
ท่านชายโจวหกตอบอืมเพียงคำเดียวเช่นเคย
นายใหญ่โจวสีหน้าตกตะลึง ยกมือลูบเคราไม่รู้จะเอ่ยคำใดดี
“ตระกูลหวังผู้นั้นดีเพียงนี้เลยหรือ” เขาพึมพำกับตัวเอง
“ในเมื่อนางถูกใจ เช่นนั้นพวกเราก็ไม่ต้องไปยุ่งแล้ว” ฮูหยินโจวเปรมปรีเป็นอย่างมาก เหมือนยกภูเขาออกจากอก “ข้าว่าท่านชายตระกูลหวังผู้นั้นหน้าตาก็ไม่เลว ดูๆ แล้วเหมือนสติจะไม่ค่อยดีนัก ซ้ำคนที่บ้านน่าจะตามใจเขาน่าดู คนเช่นนี้ เจียวเจียวร์ควบคุมได้ง่าย ถ้าควบคุมเขาได้ล่ะก็ ไม่แน่ว่าอาจจะควบคุมได้ทั้งตระกูลหวัง…” พูดไปหัวเราะไป
“เรื่องแต่งงานครานี้ช่างเหมาะสมยิ่งนัก เจียวเจียวร์ฉลาดเช่นนี้จะไม่เห็นด้วยได้อย่างไร”
เรื่องดีที่สุดอย่างยิ่งก็คือตระกูลหวังอยู่ทางใต้ นางจะได้รีบจากจิงเฉิงไปเสียที
“ช่างน่าเสียดายจริงๆ” นายใหญ่โจวลูบเคราขมวดคิ้วกล่าว
“เสียดายอะไรเจ้าคะ ลูกหลานกำลังจะแต่งงานแท้ๆ” ฮูหยินโจวเอ่ยขึ้น
“ความสามารถเช่นนี้ จะแต่งออกไปให้คนอื่นหรือ” นายใหญ่โจวขมวดคิ้ว สายตาหยุดมองไปยังท่านชายโจวหกโดยไม่รู้ตัว
ท่านชายโจวหกร่างกายเกร็งอย่างแรง กำมือที่วางอยู่บนหัวเข่าไว้แน่น หัวใจพลันเต้นรัว
ฮูหยินโจวมองตามสายตานั้นไปก็ตกใจยกใหญ่ ยกมือขึ้นตบที่แขนนายใหญ่โจว
“เรื่องนี้ช่วยไม่ได้จริงๆ เจียวเจียวร์นางถูกใจไปแล้ว” นางกล่าว
“เหตุใดถึงไม่ถูกใจเจ้ากัน” นายใหญ่โจวที่มองท่านชายโจวหกอยู่ก็อดถามขึ้นไม่ได้ พลางจ้องมองเขา “ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเด็กหนุ่มตระกูลหวังผู้นั้นนี่นา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตระกูลเรา ไม่ว่าอย่างไรก็ดีกว่าตระกูลหวังอยู่แล้ว แล้วเหตุใดจึงไม่ถูกใจเจ้ากัน”
ท่านชายโจวหกลุกขึ้นด้วยใบหน้าแดงก่ำ แล้วหันหลังเดินออกไป
“ท่านพูดอะไรของท่านน่ะ! ชายหกของเราย่อมดีกว่าคนอื่นอยู่แล้ว แต่เจียวเจียวร์ไม่ถูกใจจะให้ทำอย่างไร” ฮูหยินโจวรีบกล่าว ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มนั้นเริ่มจะกังวลขึ้นมา “ท่านอย่ามาซี้ซั้วจับคู่ให้เช่นนี้ นางถูกใจท่านชายตระกูลหวังไปแล้ว ท่านก็อย่าได้พูดจาเหลวไหลอะไรอีก นางจะได้ไม่ลำบากใจ ต่อให้ชายหกของเราดีสักเพียงไหน นางก็ไม่ถูกใจชายหกของเราหรอก ไม่ถูกใจก็คือไม่ถูกใจ อยู่ด้วยกันมานานเพียงนี้ ถ้าจะถูกใจก็คงถูกใจไปนานแล้ว…”
ท่านชายโจวหกเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเพื่อสลัดเสียงพูดคุยของพ่อแม่ แต่เสียงนั้นกลับดังขึ้นดั่งเงาตามตัว
นางไม่ถูกใจชายหกของเรา…
ไม่ถูกใจก็คือไม่ถูกใจ…
อยู่ด้วยกันมานานเพียงนี้ ถ้าจะถูกใจก็คงถูกใจไปนานแล้ว…
ก็คือไม่ถูกใจ…
ชายหนุ่มออกตัววิ่ง แม่นางน้อยสองคนที่เดินเข้ามาต้องรีบหลบ เพราะอีกนิดก็จะชนพวกนางล้มแล้ว
“น้องหกทำอะไรของเขานะ” แม่นางน้อยบ่นขึ้น แล้วหันกลับไปมองน้องชายที่กำลังวิ่งออกไปอย่างเอาเป็นเอาตาย “ถูกคนตีเอาหรือ สีหน้าท่าทางเหมือนคนจะร้องไห้”
“ผู้ใดจะมาตีเขาได้…” แม่นางอีกคนกล่าว
ยังไม่ทันกล่าวจบก็เห็นท่านชายโจวหกที่วิ่งผ่านไปนั้นวิ่งกลับมา
“ชายหก!”
แม่นางน้อยทั้งสองหลบไม่ทันจึงโดนชนล้ม พอยืนมั่นคงแล้วก็ตะโกนเรียกอย่างโมโห
ท่านชายโจวหกวิ่งจากไปจนไม่เห็นเงาแล้ว
“ต้องไปหาเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับใครเป็นแน่ เจ้าดูท่าทางงุ่นง่านนั่นสิ!”
ด้านหน้าสะพานอวี้ไต้ ท่านชายโจวหกไม่รอให้ม้าหยุดนิ่งดีก็กระโดดลงมา กำลังจะเข้าประตูไปก็เห็นรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตู
รถม้าของท่านฉินสิบสาม…
เจ้าหมอนี่ยังจะมาทำอะไรอีก!
ประตูเปิดแง้มไว้ครึ่งหนึ่ง บ่าวรับใช้ที่นั่งอยู่หน้าประตูห้องก็กำลังพูดคุยกันเจี๊ยวจ๊าว
“เหตุใดจึงมาอีกแล้ว…เห็นที่นี่เป็นบ้านตัวเองแล้วหรือ”
เขายังทันจะไม่ตอบก็มีคนเดินเข้ามา
“เจ้า…” จินเกอร์เบิกตาโต
ท่านชายโจวหกถลึงตามองเขา ก่อนจะเดินตรงไปด้านใน สายตาก็เห็นเฉิงเจียวเหนียงกับท่านชายฉินสิบสามนั่งตรงข้ามกันอยู่ในห้องโถง
“ที่ข้าอยากจะบอกก็คือ หวังว่าเจ้าจะไม่ยินยอมเห็นด้วยกับการแต่งงานครานี้” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย
“นี่คือสิ่งที่ท่านอยากบอกหรือ” เฉิงเจียวเหนียงมองเขาพลางยิ้มบางถาม
ท่านชายฉินสิบสามก็แย้มยิ้ม
“ใช่ สะ…สิ่งที่ข้าอยากจะบอก คือเรื่องส่วนตัวของแม่นางที่ข้าเคยถาม” เขาพยักหน้าตอบ “ข้ารู้ดี การแต่งงานครานี้สำหรับแม่นางแล้วไม่นับว่าเป็นเรื่องยากอะไร คำสั่งของบิดามารดาและคำพูดของแม่สื่อล้วนเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เหมือนกับเรื่องที่แม่นางเกิดมาก็สติไม่ดี เหมือนกับเรื่องแม่นางมีตระกูลเฉิงเป็นครอบครัวอย่างช่วยไม่ได้เช่นนี้”
ท่านชายโจวหกหยุดฝีเท้าอยู่ในเรือนมองเข้าไปด้านใน
“เจ้าดูเรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ทั้งสิ้น หากเปลี่ยนไปเป็นคนอื่นให้มาใช้ชีวิตเช่นนี้ย่อมลำบากเป็นแน่ แต่แม่นางยังคงมีชีวิตที่ดี” ท่านชายฉินสิบสามกล่าว “ดังนั้นแล้ว การแต่งงานครั้งนี้ สำหรับแม่นางคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อีกทั้ง ข้ายังเชื่อว่าแม่นางไม่ได้ถูกบังคับอย่างจำใจให้ยอมรับ และเชื่อว่าแม่นางแต่งออกไปแล้วจะมีชีวิตที่ดีได้แน่นอน”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว” นางกล่าว
“แต่ว่า ข้ากลับไม่อยากให้เจ้าตอบตกลง” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงมองดูเขา ท่านชายฉินสิบสามกลับเงียบไปครู่หนึ่ง
“แม่นาง เหตุใดต้องเจอแต่เรื่องที่ไม่สามารถตัดสินใจเองได้เช่นนี้” เขากล่าวขึ้น “เหตุใดแม่นางต้องต่อสู้เพื่อความราบรื่นในเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้เช่นนี้ด้วย เหตุใดจึงไม่อาจประสบกับเรื่องไร้กังวลและผ่านมันไปอย่างราบรื่นบ้าง”
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบาง
“นี่คงเป็นโชคชะตากระมัง” นางกล่าว
“แม่นางเชื่อเรื่องโชคชะตาด้วยหรือ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยถาม
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“เชื่อ” นางตอบ
“ข้าก็เชื่อ” ท่านชายฉินสิบสามพยักหน้าเอ่ย
ดังนั้นคนที่ต่างเชื่อในเรื่องโชคชะตายังจะมีเรื่องให้พูดคุยอะไรอีก
สาวใช้ที่อยู่ตรงระเบียงทางเดิน ปั้นฉินและท่านชายโจวหกที่อยู่ในเรือนล้วนขมวดคิ้วมองมา จนลืมว่าต้องรายงานว่ามีแขกมาเยือน
“ในเมื่อแม่นางเองก็คิดเรื่องแต่งงานแล้ว โดยไม่สนว่าคนผู้นั้นจะเชื่อเรื่องโชคชะตาเช่นกันหรือไม่” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย “เช่นนั้นนอกจากตระกูลหวังแล้ว ตระกูลอื่นก็สามารถขอแม่นางแต่งงานได้ ส่วนสุดท้ายแล้วจะเป็นตระกูลใด ก็ให้เป็นเรื่องของโชคชะตาเถิด”
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาแล้วแย้มยิ้มอีกครา
“แล้วมีตระกูลอื่นอีกหรือ” นางถามขึ้น
“ข้าคิดอย่างรีบร้อนจึงยังไม่ได้ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนดี” ท่านชายฉินสิบสามกล่าวแล้วชะงักไปครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วเขาก็เป็นญาติฝั่งท่านตาตระกูลโจวของเจ้า ลูกพี่ลูกน้องฝ่ายแม่ที่สนิทชิดเชื้อเป็นอย่างมาก ช่างเหมาะสมเป็นที่สุด…”
ท่านชายโจวหกที่อยู่ในเรือนกำมือแน่น
“แต่ว่า ท่านชายโจวหกเจ้าไม่ถูกใจ…” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย
ท่านชายโจวหกถลึงตาหน้าแดงก่ำ ถุย ไม่ถูกใจข้าแล้วจะถูกใจเจ้าหรือไร
“เช่นนั้น เจ้าคิดว่าข้าเป็นอย่างไร” ท่านชายฉินสิบสามถามขึ้น
เจ้าหมอนี่น่าไม่อายเสียจริง!
ท่านชายโจวหกสำลักจนตาเบิกโพรง
ที่พล่ามมาเสียยืดยาวนี่ก็เพื่อประโยคสุดท้ายนี้กระมัง
…………………….