เจ้าว่าข้าเป็นอย่างไรล่ะ
คำพูดของท่านชายฉินสิบสามที่โพล่งออกมา ทำเขานิ่งชะงักไป แต่ก็เพียงแค่ตกใจเท่านั้น ไม่ได้รู้สึกอับอายอะไร
“เจ้าว่าตระกูลข้าเป็นเช่นไร” เขาเอ่ยถามอีกครั้ง
“ฉินสิบสาม เหลวไหลอะไรของเจ้า!”
ท่านชายโจวหกตะโกนขึ้นอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป พลางย่างเท้าเข้ามา
ท่านชายฉินสิบสามหันไปมองเขา
“ข้าไม่ได้เหลวไหล” เขาบอก “เจ้าเห็นว่าอย่างไรล่ะ”
ท่านชายโจวหกมองเขาไม่รู้จะเอ่ยคำใด
“หรือจะเป็นคนตระกูลอื่นก็ได้นะ เจ้ายังมีผู้ใดที่รู้สึกว่าเหมาะสมอีกหรือไม่” ท่านชายฉินสิบสามถามขึ้นอีก
ชายชาตรีเช่นเขา ไหนเลยจะเคยไปสนใจเรื่องเหล่านี้ แถมเขายังไม่ใช่แม่สื่อแม่ชัก! คงจะมีแต่ผีเท่านั้นที่รู้ว่าที่ใดยังมีตระกูลที่เหมาะสมอยู่อีก
ท่านชายโจวหกนิ่งเงียบแล้วนั่งลงอย่างหัวเสีย
“เรื่องนี้จะว่ารีบร้อนก็ใช่ จะว่าไม่รีบก็ไม่เชิง” ท่านชายฉินสิบสามไม่สนใจท่านชายโจวหก เขาพูดกับเฉิงเจียวเหนียงต่อว่า “ไม่ต้องกลัวเรื่องที่ทางบ้านเจ้ารีบจดทะเบียนสมรสกับตระกูลหวัง ข้าจะรีบให้ท่านแม่ไปขอเจ้า เพียงแค่เอ่ยขอเจ้า บ้านเจ้าต้องไตร่ตรองดูแน่ เช่นนี้แล้วก็จะพักเรื่องการแต่งงานกับตระกูลหวังไว้ก่อน พวกเขาก็จะมีเวลามาเลือกสรรอย่างละเอียดอีกที”
“เจ้าแค่พูดมันก็ง่ายน่ะสิ” ท่านชายโจวหกกล่าวเสียงอู้อี้ “ท่านแม่เจ้าจะยอมหรือ”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ” ท่านชายฉินสิบสามมองเขาแล้วย้อนถาม
แม้จะไม่เคยพูดคุยกันมาก่อน แต่เท่าที่เคยพบหน้าอยู่สองสามหน ท่านแม่ของท่านชายฉินสิบสามนิสัยเช่นเดียวกับฉินสิบสาม! ในเมื่อฉินสิบสามกล้าพูดเช่นนี้ ท่านแม่ของเขาย่อมต้องกล้าทำแน่นอน
ท่านชายโจวหกส่งเสียงฮัดฮัด
“ยามนี้ก็เจ้าให้ท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าหาแม่สื่อมา ตั้งใจเลือกเสียหน่อย เมืองหลวงกว้างใหญ่เพียงนี้ ตระกูลดีๆ ล้วนมีมากมาย” ท่านชายฉินสิบสามกล่าว ยิ่งพูดก็ยิ่งอารมณ์ดีมากขึ้นเรื่อยๆ
เขารู้สึกว่าความคิดนี้ช่างยอดเยี่ยมนัก!
สาวใช้กับปั้นฉินหายตกใจแล้ว พวกนางมองหน้ากันอย่างสงสัย
ยามนี้ท่านชายทั้งสองกำลังวางแผนเรื่องการแต่งงานของนายหญิงอย่างนั้นหรือ…
แม้มองแล้วจะดูน่าขัน แต่เมื่อไตร่ตรองให้ถี่ถ้วยแล้วกลับแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด
“นอกจากตระกูลเจ้าแล้ว ยังมีตระกูลอื่นที่ดีด้วยหรือ” ท่านชายโจวหกเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ท่านแม่เจ้าไปสู่ขอ หากตระกูลเฉิงตอบตกลงขึ้นมาเจ้าจะทำอย่างไร”
“ตอบตกลงก็ตกลงสิ” ท่านชายฉินสิบสามบอก
กล่าวจบ ทั้งคู่ก็สบตากัน
“แม่นางเฉิง เจ้าว่าข้าเป็นอย่างไร” ท่านชายฉินสิบสามมองไปยังเฉิงเจียวเหนียงแล้วถามอีกครั้ง
เฉิงเจียวเหนียงที่เอาแต่เงียบมาโดยตลอด ยามนี้เห็นเขามองมาจึงได้ส่งยิ้มบางให้
“เจ้าไม่ผ่าน” นางเอ่ย
ฮ่าๆ!
ท่านชายโจวหกก้มหน้ามุมปากยกยิ้มแล้วรีบหุบลง
ท่านชายฉินสิบสามนิ่งชะงักไป
“เพราะเหตุใด” เขาถาม “เป็นข้าที่ไม่ผ่าน หรือตระกูลข้าที่ไม่ผ่าน”
เป็นข้าที่สู้เจ้าหวังสิบเจ็ดนั่นไม่ได้ หรือเป็นตระกูลข้าที่สู้ตระกูลหวังไม่ได้กัน
การเปรียบเทียบเช่นนี้ ท่านชายฉินสิบสามไม่เคยคิดจะทำเลยสักครั้ง แต่ไหนแต่ไรมาเขาแข่งแค่เพียงกับตนเอง
“พอได้แล้ว” ท่านชายโจวหกกระซิบบอก “ถามอะไรของเจ้ากัน!”
ถามหญิงสาวผู้หนึ่งว่าเรามาแต่งงานกันดีหรือไม่อย่างนั้นหรือ
พอหญิงสาวตอบว่าไม่ได้ ยังจะถามต่ออีกว่าเหตุใดจึงไม่ได้
เรื่องเช่นนี้ ท่านชายฉินสิบสามคิดว่าชาตินี้คงไม่เกิดขึ้นกับตัวเขาเอง
แต่งงานกับคนเช่นไร ก็เป็นเรื่องที่ท่านชายอย่างเขาไม่เคยคิดคำนึงเช่นกัน
เรื่องเช่นนี้ให้ท่านพ่อท่านแม่เป็นคนจัดการก็สิ้นเรื่องแล้ว สิ่งที่เขาต้องเรียนรู้มีเพียงแค่ทำความเข้าใจความสัมพันธ์ของคนในบ้านพ่อตา รวมถึงพิธีเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวของตัวเองยามเข้าเรือนหอ แล้วก็ทำความรู้จักกับภรรยาเขาเพียงเท่านั้น
แต่ยามนี้เขากำลังทำอะไรน่ะหรือ กำลังขอหญิงสาวผู้นี้แต่งงานหรือ
ท่านชายฉินสิบสามตะลึงไม่น้อย
อันที่จริงแล้วถึงถามออกไป ก็เห็นจะเป็นอะไรนี่…
เขายิ้มบางอีกครา มองหญิงสาวตรงหน้า
สีหน้าของนางยังคงนิ่งเฉยดังเดิม นั่งนิ่งต่อหน้าผู้คนราวกับบนโลกนี้ไม่มีเรื่องใดที่สามารถทำนางให้ตกใจจนหน้าถอดสีได้
นางพูดไม่เก่ง แต่ล้วนรู้แจ้งในทุกเรื่อง ดูแล้วเหมือนจะเป็นคนแปลกประหลาด ทว่าไร้เดียงสาและตรงไปตรงมาที่สุด
นางรักษาขาที่พิการของเขาให้หาย เขากับนางร่วมมือกันเปิดโปงขุนนางบุ๋นที่มีประวัติมายาวนานผู้หนึ่งด้วยกัน
เขาพูดอะไร นางล้วนเข้าใจ
นางคิดอะไรก็ไม่ต้องให้เขาคาดเดา
หากต้องใช้ชีวิตจนแก่เฒ่าผมหงอกขาวไปกับคนผู้นี้…
“ข้าพูดจริงๆ นะ” เขาเอ่ยทว่ารอยยิ้มเริ่มจางหาย ก่อนจะพูดอย่างจริงจังว่า “แม่นางเห็นเช่นไร”
สาวใช้และปั้นฉินสบตากันอีกครั้งหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตะลึง นี่เขา…กำลังขอนายหญิงแต่งงานหรือ
แม้ยามนี้ได้ยินว่างานชมดอกไม้และงานเทศกาลกลอนกวีจะมีคุณชายคุณหนูแอบถูกใจกันเงียบๆ แต่คนเขาก็ไม่ได้ถามออกมาซึ่งๆ หน้ากันเช่นนี้กระมัง
นะ…นี่มันเรื่องอะไรกัน!
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาแล้วยิ้มบาง
“เจ้า ไม่ผ่าน” นางบอกอีกครั้ง
ครั้งนี้ท่านชายโจวหกไม่ได้ยิ้มออกมาอีก แต่มีสีหน้าที่ซับซ้อนขึ้น
“แม่นาง จะไม่ไตร่ตรองดูอีกหน่อยหรือ” ท่านชายฉินสิบสามแย้มยิ้มพลางถามขึ้น
“ไม่ต้องไตร่ตรองหรอก” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
“เหตุใดจึงไม่ไตร่ตรองดูเล่า” ท่านชายฉินสิบสามถามขึ้นอีก
ซักไซ้ไล่เรียงเช่นนี้ก็เริ่มจะละลาบละล้วงเกินไปแล้ว!
“เจ้าสิบสาม!” ท่านชายโจวหกกระซิบปราม
“ท่านชายเจ้าคะ” สาวใช้ที่นั่งอยู่นอกระเบียงเอ่ยขึ้น “นายหญิงของเรามีกฎในการรักษา”
ท่านชายฉินสิบสามและท่านชายโจวหกเหลียวไปมองฟังสาวใช้พูด
“ข้อแรก ไม่ไปรักษาถึงที่ ข้อสอง รักษาแต่คนที่ใกล้จะตาย ส่วนข้อสาม…” สาวใช้กล่าว “ไม่แต่งกับคนที่เคยรักษาให้”
ไม่แต่งกับคนที่เคยรักษาให้
ท่านชายฉินสิบสามตะลึงค้าง
ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้นี่เอง…
“เป็นอย่างนี้นี่เอง” ท่านชานฉินสิบสามยิ้มแล้วพยักหน้ากล่าวว่า “เช่นนั้นข้าก็เข้าใจแล้ว”
เขาหันไปมองทางท่านชายโจวหก
“พวกเราจำข้อนี้เอาไว้ เวลาเลือกเจ้าบ่าวให้นาง สกุลเฉิน สกุลถงพวกนั้นล้วนตัดออกไปให้หมด” เขาเอ่ย
ปล่อยผ่านไปเช่นนี้…
ราวกับการซักไซ้เมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ท่านชายโจวหกมองเขาด้วยสีหน้าซับซ้อน
ประตูเรือนถูกปิดลง บดบังเงาร่างของหญิงสาวที่ยืนส่งอยู่บนระเบียงจนมิด ท่านชายโจวหกดึงสายตากลับมา ก้มหน้าก้าวเดินไป ท่านชายฉินสิบสามเองก็เดินตามหลังมาอย่างช้าๆ
“ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรีบขัดขวางการหมั้นระหว่างตระกูลเฉิงและตระกูลหวังก่อน” เขาเอ่ยพลางครุ่นคิดอย่างจริงจัง “ตระกูลเจ้าก็ดี ตระกูลข้าก็ดี ไม่บังคับว่าจะเป็นใครที่ไป หรืออาจจะไปด้วยกันทั้งคู่ก็ได้”
“ไม่ใช่ว่านางไม่ถูกใจหรอกหรือ” ท่านชายโจวหกหันหน้ามาส่งเสียงเย้ยหยัน
“ข้าเชื่อเรื่องโชคชะตา” ท่านชายฉินสิบสามมองเขาเช่นกัน แต่กลับตอบไม่ตรงคำถาม “ข้าเชื่อว่าแม่นางเฉิงจะโชคดี ดังนั้นตระกูลหวังไม่ใช่โชคของนางอย่างแน่นอน หรือเจ้าเชื่อว่าตระกูลหวังจะเป็นโชคชะตาของนาง”
ตระกูลหวัง…
นับจากนี้ไป ไม่มีเฉิงเจียวเหนียงอีกต่อไปแล้ว จะมีก็แต่หวังเจียวเหนียง…
นามสกุลที่อยู่หน้าชื่อของนางถูกแทนที่ด้วยนามสกุลของชายอื่น…
ไม่เชื่อ…
ท่านชายโจวหกกำหมัดแน่น
ไม่เชื่อ!
…
“ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพ…”
แม่ทัพหลิวที่ยังเมาค้างไม่ได้สติถูกตะโกนเรียกเสียจนเริ่มจะอารมณ์เสีย
“เรียกหาที่ตายหรือ!” เขาหันไปตะคอก
ขุนนางชั้นผู้น้อยคนหนึ่งหอบจดหมายราชการปึกหนึ่งเดินเข้ามาใกล้อย่างขลาดกลัว
“นี่เป็นรายชื่อของขโมยขโจรที่พึ่งออกมาขอรับ” เขากล่าวขึ้น
ทหารม้าที่ตรวจตราบ้านเมือง นอกจากจะลาดตะเวนตรวจดูตามท้องถนนในยามค่ำคืนแล้ว ยังมีหน้าที่ดับเพลิง จับโจรผู้ร้ายและอื่นๆ อีกด้วย
แม่ทัพหลิวถุยออกมาคำหนึ่ง
“อ่าน” เขาสั่งอย่างอารมณ์เสียพลางเอนกายลงนอน พาดขาทั้งสองข้างไว้บนโต๊ะยาว
ขุนนางแกะจดหมายเปิดออกแล้วเริ่มอ่านอย่างเยิ่นเย้อ
อ่านไปได้ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงกรนของแม่ทัพหลิวดังขึ้นเบาๆ
ขุนนางผู้นั้นแค่นยิ้มออกมา
แม่ทัพหลิวผู้นี้ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยม เกิดที่ไท่โจวในตระกูลใหญ่สกุลหลิวผู้ห้าวหาญ ฝึกฝนเป็นอย่างดี นิสัยกล้าหาญ แต่มักจะขี้โมโหอยู่บ่อยๆ เขาไปล่วงเกินขุนนางชั้นผู้ใหญ่เข้า ยังไม่ทันได้สร้างคุณูปการใดก็ถูกลงโทษให้ลดตำแหน่งมาคุ้มครองตรวจตราบ้านเมือง แต่สุดท้ายเป็นถึงคนในตระกูลหลิว จึงไม่มีใครมาทำอะไรเขาได้ ทำได้เพียงหลับตาข้างเปิดตาข้างไม่สนใจเขาเท่านั้น
ทหารที่มาจากตะวันตกเฉียงเหนือเหล่านี้ล้วนไม่ได้เรื่องได้ราว
ขุนนางน้อยส่ายหน้าพลางมองจดหมายในมือ ทันใดนั้นก็เห็นรอยอักษรแถวหนึ่ง
“วันนี้มีค่ายทหารจากตะวันตกเฉียงเหนือ…” เขาเบะปากอ่านได้ครึ่งหนึ่งก็หยุดลง “ทหารหนีทัพที่รอลงอาญาพวกนี้ส่งมาให้พวกเราเพื่ออะไร…ควรส่งไปให้กรมทหารจึงจะถูก…”
พูดยังไม่จบประโยคก็เห็นแม่ทัพหลิวที่เดิมทีกรนเสียอย่างกับฟ้ากำลังถล่มลุกขึ้นนั่งอย่างฉับพลัน
“ไหนๆ ค่ายทหารจากตะวันตกเฉียงเหนือหรือ” เขากล่าว “รับสั่งอย่างไร ข้าน้อยรับคำสั่ง!”
ขุนนางมองเขานิ่งค้าง อยากจะขำแต่ก็ไม่กล้า
แม่ทัพหลิวได้สติมองไปทางขุนนางผู้นั้น แววตาสับสนหายไป ถูกแทนที่ด้วยความกระจ่างชัดเจน สีหน้าก็พลันแปรเปลี่ยน
“ให้เจ้าอ่านจดหมายขโมยขโจร เจ้าจะพูดถึงค่ายทหารจากตะวันตกเฉียงเหนือเพื่ออะไร” เขาตะคอก น้ำเสียงแฝงความโมโห “ตั้งใจจะหาเรื่องสนุกมาแกล้งข้าใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่นะขอรับ” ขุนนางคนนั้นรีบตอบอย่างตกใจ “นะ…ในจดหมายมี…”
“จะไปมีจดหมายค่ายทหารตะวันตกเฉียงเหนือมาที่เราทางนี้ได้อย่างไร” แม่ทักหลิวตะคอก
“มีจริงๆ นะขอรับ” ขุนนางน้อยรีบตอบ แล้วส่งจดหมายในมือไปให้ “ท่านดูสิ ไม่รู้ว่าใครเอามาใส่ไว้ บอกว่าสมาชิกในค่ายทหารตะวันตกเฉียงเหนือ ฟ่านเจียงหลิน สวีเม่าซิวและคนอื่นๆ อีก จำนวนทั้งสิ้นเจ็ดคนหลบตัวซุกซ่อนอยู่ที่เมืองหลวง…”
……………….