ทหารหนีทัพอย่างนั้นหรือ หนีทัพอะไรจะมาถูกรายงานที่เมืองหลวงนี้
เรื่องเช่นนี้มักจะเกิดขึ้นอยู่แถวชายแดน ในเมืองหลวงแห่งนี้ต่อให้เป็นทหารหนีทัพก็ไม่มีใครสนใจหรอก
แม่ทัพหลิวตะลึงงัน เขายื่นมือออกไป ขุนนางน้อยก็รีบส่งจดหมายจากทางการนั้นให้เขา
แม่ทัพหลิวเปิดอ่านดูก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตำหนิขุนนางน้อยไม่ได้ หรือคำว่าตะวันตกเฉียงเหนือนี้มันแยงตาเขากันแน่ เขาฟาดจดหมาย ลงบนโต๊ะอย่างแรง
“ใต้เท้า นี่คือจดหมายสนเท่ห์[1] ไม่สนใจได้นะขะ…” ขุนนางน้อยเอ่ยเตือน
วันๆ ศาลาว่าการในเมืองหลวงได้รับจดหมายสนเท่ห์พวกนี้ไม่รู้ตั้งเท่าไรต่อเท่าไร
ในเมื่อเป็นจดหมายนิรนาม หากไม่ใช่เป็นการปรักปรำเพราะความแค้นส่วนตัว คนถูกฟ้องร้องก็คงเป็นขุนนางตำแหน่งที่ไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้อง พอพบเจอเรื่อเช่นนี้ส่วนใหญ่ก็มักคร้านจะจัดการ หรือไม่ก็ไม่มีปัญญาจะจัดการให้ ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมาทุกคนจึงเคยชินกับการแสร้งเป็นไม่ใส่ใจมาโดยตลอด
แม่ทัพหลิวจ้องมองจดหมาย สายตาตกอยู่ที่คำว่าค่ายทหารตะวันตกเฉียงเหนือและชื่อของทหารที่หนีทัพ ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกสะดุดตา
“สู้ได้แต่กลับหลบหนี สู้ได้แต่กลับไม่ยอมสู้…” เขาเอ่ยพึมพำ “ช่างเป็นการทำลายโชคดีแท้ๆ…”
เขาเอ่ยพลางตบโต๊ะดังฉาดอีกครั้ง
“ไม่รู้จักดีชั่ว!” เขาตะคอก
ขุนนางน้อยตกใจตัวสั่นงันงก
แม่ทัพหลิวอ่านจดหมายนั้น
“ทหารในทัพหลบหนี ต้องสังหารโดยการยิงให้ตาย ลงทัณฑ์ด้วยการทุบกระดูกให้แหลก” เขากล่าว “ขนาดสถานที่ซ่อนยังบอกมาแล้ว หรือว่าข้าต้องแกล้งทำเป็นไม่เห็น คนไร้ประโยชน์พวกนี้จะเอาไว้ทำอะไร!”
เขาพูดจบก็ลุกพรวดขึ้นมา
“ทหาร!” เขาตะโกนเรียก “ไปจับทหารหนีทัพกับข้า!”
สายฝนยามราตรีคลายความอบอ้าวของคิมหันตฤดูลงไปมาก อากาศเย็นขึ้นมาบ้างแล้ว เป็นช่วงฤดูที่สบายที่สุด
ฮูหยินฉินนั่งอยู่บนระเบียง มองดูบรรดาสาวใช้เก็บดอกไม้ พลางฟังท่านชายฉินสิบสามพูดคุย นางสีหน้าผ่อนคลายสบายอารมณ์จนกระทั่งมาถึงประโยคนี้
“เจ้าจะให้ข้าทำอะไรนะ”
ฮูหยินฉินมองท่านชายฉินสิบสามด้วยความตกใจ นึกว่าตัวเองฟังผิด
“หาแม่สื่อไปสู่ขอเฉิงเจียวเหนียง” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย
แม่นมที่อยู่ในห้องล้วนเบิกตาโพรงมองเขา ในที่สุดฮูหยินฉินก็รู้แล้วว่าตนไม่ได้ฟังผิด
“เร็วเช่นนี้เชียวหรือ” นางแย้มยิ้มแฝงไว้ด้วยการหยอกล้อและหยั่งเชิงลูกชาย พลางเลิกคิ้วเอ่ยขึ้นว่า “หมู่นี้มีความรักซุกซ่อนหรือสัญญาลับอะไรไว้ใช่หรือไม่ ข้านึกว่าอย่างน้อยๆ ต้องมีสามเดือนห้าเดือนเจ้าถึงจะพูดออกมาเสียอีก”
“ข้ารู้ว่าท่านแม่เข้าใจผิดแล้ว”
“ข้ารู้กฎของนาง” ฮูหยินฉินยิ้มกล่าว
ท่านชายฉินสิบสามยกใหญ่ยิ่งกว่าเดิม
“เช่นนั้นท่านแม่รู้กฎข้อที่สามของนางหรือไม่” เขาเอ่ยถาม
สีหน้าฮูหยินฉินแฝงไปด้วยความสงสัยไม่น้อย ท่านชายฉินสิบสามลำพองใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ไม่ได้มีแค่สองข้อหรอกหรือ มีข้อสามด้วยหรือ” ฮูหยินฉินขมวดคิ้วเจือด้วยความตกใจอยู่ไม่น้อย นางนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “ไม่แต่งงานกับตระกูลที่เคยช่วยไว้ ข้ารู้อยู่แล้ว”
ท่านชายฉินสิบสามสีหน้าตกใจ
เสียงหัวเราะฮูหยินฉินดังขึ้นภายในห้อง
“ท่านแม่!” ท่านชายฉินสิบสามทั้งจนใจทั้งโมโห ลุกขึ้นสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป
“อย่าโมโหไปเลย” ฮูหยินฉินรีบตะโกนเรียกเขาไว้ด้วยรอยยิ้ม “ข้าตามใจเจ้า เอาตามที่เจ้าว่า จะส่งแม่สื่อไปสู่ขอนางให้เจ้า ไม่เพียงแค่แม่สื่อ เดี๋ยวแม่จะไปหาแม่นางเฉิงด้วยตัวแม่เอง…”
ท่านชายฉินสิบสามหันหน้ากลับมา
“ก็ไม่…ใช่…ไม่จำเป็นจะต้อง…เพื่อข้าเอง” เขากล่าวอย่างลังเล “ท่านแม่เลือกคนจากตระกูลดีๆ มาสองสามตระกูลก็ได้ ขอเพียงไม่ให้นางแต่งกับตระกูลหวังผู้นั้นที่ท่านพ่อนางเลือกให้ก็พอ”
ฮูหยินฉินมองเขา
“เลือกคนจากตระกูลดีๆ สองสามตระกูลให้นาง” นางโบกพัดยิ้มถาม “เจ้า ตัดใจลงหรือ”
เทียบกับการพูดคุยหยอกล้อกันระหว่างแม่ลูกของตระกูลฉินแล้ว ทางด้านตระกูลโจวยามนี้กลับโกลาหลวุ่นวาย
“หาแม่สื่อไปคุยเรื่องแต่งงานกับนางหรือ” ฮูหยินโจวถามขึ้นเสียงหลง เบิกตากว้างด้วยความโมโห ยื่นมือชี้หน้าท่านชายโจวหก “เจ้าลูกไม่เอาอ่าวคนนี้นี่ ข้ารู้ว่า ข้ารู้ว่าเจ้าหลงเสน่ห์นางเข้าให้แล้ว!”
ท่านชายโจวหกเริ่มหน้าแดง
“หาแม่สื่อมาไม่จำเป็นต้องเพื่อข้า แต่เพื่อหาตระกูลดีๆ ให้นางอีกรอบ” เขากล่าว
“เหตุใดการแต่งงานของนางกับตระกูลหวังครั้งนี้จึงไม่ดีล่ะ” ฮูหยินโจวตะคอก “นางถูกใจเอง ซ้ำยังยินดีปรีดาอย่างมาก เจ้าจะเข้าไปยุ่มย่ามอะไรอีก!”
นายท่านโจวที่อยู่ข้างๆ นั่งเงียบไม่เอ่ยคำมาโดยตลอด พอฟังมาถึงตรงนี้ก็ตบที่เข่าดังฉาด
“ใช่แล้ว เรื่องหาแม่สื่อแม่ชักมาดูตัวแต่งงาม ตระกูลเฉิงพวกนั้นยังทำได้ พวกเราย่อมทำได้เช่นกัน ตระกูลเฉิงพวกนั้นมีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าต้องคนนี้ก็เอาคนนี้! ดีหรือไม่ดี พวกเราเองย่อมมีสิทธิ์ตัดสินเช่นกัน” เขาเอ่ยพลางมองท่านชายโจวหก “เด็กดี โชคดีนักที่เจ้าคิดออก”
เห็นท่านพ่อกล่าวเช่นนี้ ท่านชายโจวหกก็ปลื้มปริ่มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ได้ผลจริงๆ หรือนี่…
“ไม่ได้!” ฮูหยินโจวรีบขัดขึ้น “พวกเจ้าเลอะเลือนกันหมดแล้ว นางถูกใจอีกฝ่ายเอง พวกเราคิดเหลวไหลอะไรกัน! ทำลายการแต่งงานของนาง ยั่วโมโหนาง นี่ไม่ใช่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ”
“นางไม่ได้ถูกใจ นางเพียงแค่จนปัญญาจึงจำต้องถูกใจต่างหาก” ท่านชายโจวหกบ่นเพียงอุบอิบ
“เจ้าจะไปรู้อะไร!” ฮูหยินโจวเลิกคิ้วหันมามองเขา แล้วตะคอกว่า “ข้ารู้ว่านางไม่ได้ถูกใจเจ้า เจ้ารีบตัดใจเสียแต่เนิ่นๆ!”
“ข้ารู้ว่านางไม่ได้ชอบข้า” ท่านชายโจวหกก็เดือดขึ้นมาเช่นกัน เขาเงยหน้าเอ่ยต่ออีกว่า “เป็นข้าที่ชอบนาง พอใจหรือยัง!”
นี่มัน…เรื่องบ้าอะไร?
นายท่านโจวและฮูหยินมองเขาอย่างตกตะลึง
ท่านชายโจวหกก็ตกใจเช่นกัน สีหน้าพลันแดงก่ำ ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไป
ฟ้าหลังฝนสดชื่นปลอดโปร่ง ผู้คนบนถนนเพิ่มขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด
สวีเม่าซิวที่เดินฝ่าผู้คนอยู่ชะงักฝีเท้า สวีปั้งฉุยที่เดินตามอยู่ข้างหลังเกือบจะเหยียบส้นเท้าเข้า
“พี่” เขาเรียกอย่างสงสัย
สวีเม่าซิวมองร้านเนื้อที่อยู่ข้างทางด้วยสีหน้าอมยิ้ม
“วันนี้ก็เป็นเนื้อแกะสดใหม่ใช่หรือไม่” เขาเอ่ยถาม
แม้จะเป็นเวลาไม่นาน แต่ทั้งสองก็เทียวมาที่ตลาดนี้จนใครๆ ต่างก็รู้จัก เถ้าแก่เรือนนางฟ้าที่จู้จี้จุกจิกที่สุด และก็ยังเป็นเถ้าแก่ที่ใจกว้างที่สุด นอกจากนี้ที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาขึ้นชื่อเรื่องซื้อแต่เนื้อที่สดใหม่และดีที่สุด
ผู้ใดได้ขายของให้พวกเขา นั่นก็คือความมีหน้าตาและชื่อเสียง ควรค่าแก่การโอ้อวด อีกทั้งยังมีโอกาสที่จะค้าขายได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
เพียงแต่ว่าเรือนนางฟ้านี้ก็ช่างทำอะไรตายตัวเสียเหลือเกิน ตั้งแต่ได้ร้านเนื้อแกะมาร้านหนึ่งก็ไม่ไปดูของร้านอื่นอีกเลย ทำเอาพ่อค้าแม่ขายในตลาดโมโหกันยกใหญ่
เจ้าของร้านเนื้อแกะคิดไม่ถึงว่าจะถูกเอ่ยปากถาม จึงตกตะลึงพลันดีใจขึ้นมายกใหญ่
“เถ้าแก่ เนื้อแกะร้านเราสดใหม่ที่สุด วันนี้ตอนเช้าเพิ่งนำเข้ามาเป็นกลุ่มแรกจากประตูเมืองทิศใต้ เพิ่งจะเชือดเมื่อครู่นี้เอง…ท่านเข้ามาดูหลังร้านก่อนได้…” เขากล่าวอย่างดีใจ
สวีเม่าซิวยื่นมือไปหยิบเนื้อแกะขึ้นมาดู เขายิ้มพลางเอ่ยขึ้นว่าดี ขณะที่เจ้าของร้านกำลังมองใจจดใจจ่อ ทว่าพวกเขากลับเดินไปดูร้านอื่นกันต่อ
ร้านเนื้อทั้งตลาดคึกคักขึ้นมา เสียงเรียกให้เข้าไปดูดังจ้อกแจ้กจอแจ
“พี่ นั่นพี่ทำอะไรน่ะ” สวีปั้งฉุยกระซิบถามด้วยความสงสัย กว่าเขาจะผละตัวออกจากร้านเนื้อช่างเจื้อยแจ้วออกมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด จากนั้นจึงเดินตามสวีเม่าซิวไป
“มีคนตามมา” สวีเม่าซิวกระซิบบอก “อย่าหันไปมอง”
สวีปั้งฉุยชะงักคอที่กำลังจะเหลียวไป แล้วหยุดอยู่หน้าร้านร้านหนึ่งตามสวีเม่าซิว
“อันนี้ขายอย่างไรหรือ…”
การซักถามยังคงดำเนินไปตลอดทาง
เดินเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาผ่านเข้ามาในซอกซอยหนึ่ง พวกสวีเม่าซิวพิงตัวชิดกำแพง แล้วหันไปมองอย่างระแวดระวัง
“พี่ เราหนีพ้นหรือยัง” สวีปั้งฉุยกระซิบถาม
สวีเม่าซิวขมวดคิ้ว
“ไม่แน่ใจ” เขาบอก “คนที่มารอบนี้ท่าทางเก่งกาจ ดูแล้วน่าจะเป็นมืออาชีพ”
เขาพูดจบก็โบกมือ
ทั้งคู่เร่งดินหน้ากันต่อ ทว่าพอออกจากซอยมาก็เห็นอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาเป็นทั้งคนทั้งม้า
“ไม่เลวนี่ มีฝีมือ นึกไม่ถึงเลยว่าจะหนีรอดจากคนของข้าได้!” ชายฉกรรจ์สวมชุดเกราะที่เป็นผู้นำตะโกนขึ้น
สวีเม่าซิวและสวีปั้งฉุยเห็นพวกเขาแวบแรกก็รีบโต้แย้งขึ้น
ด้านนี้ก็มีคนและม้ากลุ่มหนึ่งฝ่าเข้ามา
“คนชั่วกำเริบเสิบสาน รีบชูมือขึ้นกุมหัวให้จับเสียดีๆ!”
เสียงตะโกนดังขึ้นในตรอกบนถนน
“พี่ เหตุใดจึงมีแต่คนของทางการล่ะ” สวีปั้งฉุยถามอย่างตกใจ
หรือเรื่องราชเลขาหลิวถูกเปิดโปงแล้ว
ก่อนหน้านี้น้องสาวเคยพูดไว้ว่า เว้นแต่เป็นนางที่เอาพวกเขาเข้าคุก คงไม่มีเหตุอื่นที่ทำให้พวกเขาติดตารางแน่นอน ไม่ว่าอย่างไรก็จะให้พวกเขาจับตัวไปไม่ได้เด็ดขาด ต่อให้ต้องฆ่าคนก็ไม่เป็นไร หนีไปได้ก็พอ
สวีเม่าซิวไม่เอ่ยคำใด ย่างเท้าก้าวเดินฝ่ากลุ่มคนพวกนั้นไปตรงๆ
สวีปั้งฉุยก็ตามไปติดๆ
ครู่ต่อมา ทั้งคู่ก็ฝ่าคนกลุ่มนี้เข้าไป
“ฝีมือไม่เลวนี่!” แม่ทัพหลิวตะโกน ทว่ากลับยิ่งโมโหมากขึ้นกว่าเดิม “มีฝีมือเพียงนี้ แต่กลับไม่ใช้ฆ่าฟันศัตรู เอาแต่หลบหนี!”
กล่าวจบก็โบกมือ
“พลธนู!”
“สวีเม่าซิว สวีปั้งฉุย!”
“หากยังไม่ยอมชูมือขึ้น ก็จะยิงให้ตาย โดยไม่มีละเว้น!”
ทั้งคู่หันหลังชนกันรับหน้าศัตรูด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พลางเหลือบมองไปทางต้นเสียง
“พี่!” สวีปั้งฉุยเรียกเสียงเบา “มือธนูของพวกเขามีน้อย เราเอาคนตรงนี้มาป้องกัน วิ่งไม่กี่ก้าวก็หนีรอดแล้ว”
สวีเม่าซิวพยักหน้าพร้อมกับเสียงขู่ขวัญของแม่ทัพหลิว ทั้งคู่โถมไปด้านหนึ่งพร้อมกัน
พอเห็นทั้งคู่ไม่ชูมือขึ้นให้จับกุม แถมยังไม่หลบหนี ซ้ำยังโถมเข้าใส่ทหารที่ล้อมเอาไว้ ทุกคนต่างหน้าถอดสี
ท่ามกลางเสียงร้องตะโกน ทั้งคู่ดึงเอาทหารสองนายที่ถือหอกยาว ดาบ กระบองมาเป็นโล่บังตัว
“ใต้เท้า สะ…สองคนนี้โหดเหี้ยมนัก!”
ยิ่งโหดเหี้ยม แม่ทัพหลิวก็ยิ่งโมโห
“โธ่เว้ย! โหดเหี้ยมอะไรกัน! นี่มันเศษสวะสองตัว!” เขาตะโกนแล้วกระโดดลงม้า รับธนูมาขึ้นคันชักเล็งไปยังทั้งคู่ พร้อมก้าวเข้าไปทีละก้าว “เศษสวะสองตัวอย่างพวกเจ้า! มีปัญญาหนีทัพ มีปัญญาเอาพี่น้องของตนมาเป็นโล่ มีปัญญามากนักก็มาสู้กับข้า!”
หนีทัพอย่างนั้นหรือ
สวีเม่าซิวแข็งทื่อไปทั้งร่าง
“หนีทัพอะไรกัน ใต้เท้าจับผิดคนแล้วกระมัง” เขาตะโกนบอก
แม่ทัพหลิวถุยออกมาคำหนึ่ง ยังคงเดินหน้าเข้าไปต่อไป ง้างธนูขึ้นคันชัก
“ทหารกล้าหุ้มเกราะภายใต้สังกัดป้อมปราการจย้าสือในเว่ยโจว สวีเม่าซิว สวีปั้งฉุยรับคำสั่ง!” เขาตะคอกเสียงเข้ม
ปีกว่าแล้วที่ไม่ได้ยินคำเรียกขานนี้
“เหล่าผู้กล้าทั้งหลายบุกทำลายศัตรู!”
ราวกับประโยคนี้ดังขึ้นมาข้างหู เสียงรบราฆ่าฟังดังขึ้นไม่หยุด
ทั้งร่างของสวีเม่าซิวแข็งทื่อไปหมด มือที่จับทหารอยู่เริ่มสั่นไหว
“เหตุใดเล่าเจ้าผู้กล้า ห้าวหาญชำนาญศึก นำทัพบุกทำลาย เจ้าดูสิว่ายามนี้กำลังทำอะไรกันอยู่” แม่ทัพหลิวตะคอกดุ “เอาพี่น้องของตนมาบังธนูเยี่ยงหน้าตัวเมีย ข้าปลิดชีพคนอย่างพวกเจ้าไปก็สกปรกเสียเปล่า! ยามนี้ข้าจะไม่ฆ่าพวกเจ้า แต่พวกเจ้าต้องมากับข้า! วางอาวุธลงซะ ทุกคนน้อมส่งผู้กล้า!”
พร้อมกันนั้น เหล่าผู้ติดตามของแม่ทัพวางอาวุธลงกันจริงๆ พลางมองมาทางพวกเขาทั้งคู่ด้วยความเย้ยหยัน
ขนาดทหารที่ถูกสวีเม่าซิวกำคออยู่ยังหัวเราะเยาะ
“ผู้กล้า จับแน่นๆ หน่อย แม้ข้าจะเป็นขุนนางชั้นผู้น้อย แต่ยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ก็สู้สุดชีวิต ไม่หนีเจ้าไปไหนแน่” เขากล่าว
สวีเม่าซิวหมดกำลังลง
…………………..