สวีเม่าซิวสติแตก สวีปั้งฉุยก็ไม่ได้ต่างกันเท่าใดนัก คำพูดรุนแรงเพียงสองสามประโยคก็ทำเอาหูแดงหน้าแดงไปหมด
“พวกเราไม่ได้หนีทหาร! พวกเราถูกขุนนางเลวใส่ร้าย!” เขาเบิกตาโตตะโกนบอกอย่างหนักแน่น
“จะโดนใส่ร้ายหรือไม่ ข้าไม่สน ข้ารู้เพียงว่าพวกเจ้ามีชื่ออยู่ในบัญชีทหารหนีทัพ! ข้าต้องการจับพวกเจ้าเข้าสู่ขบวนการยุติธรรม!” แม่ทัพหลิวก็ถลึงตาตะคอกตอบไป “ถูกใส่ร้ายหรือไม่ พวกเจ้าไปโต้แย้งเอาเอง! เอาแต่หลบซ่อนให้ผ่านไปวันๆ เช่นนี้นับว่าเป็นชายอกสามศอกอะไรได้อีก!”
“ใต้เท้าตั้งใจมาจับทหารหนีทัพอย่างเดียวเลยหรือ” สวีเม่าซิวสูดหายใจลึกเอ่ยถาม
แม่ทัพหลิวตะโกนขึ้น ก็มีคนก้าวขึ้นมาพลางเปิดจดหมายในมือออก
“ย่อมเป็นเช่นนั้น” เขาตอบ
“พี่…” สวีปั้งฉุยหันหน้ามามองด้วยสีหน้าซับซ้อน
สวีเม่าซิวมองเหล่าทหารที่เดินล้อมเข้ามาเรื่อยๆ แล้วถอนหายใจ
“โทษหนีทัพมิอาจลดหย่อนได้” เขาเอ่ยขึ้นพลางคลายมือออก “หรือต้องฆ่าบรรดาพี่น้องพวกนี้เพื่อหลบหนีไปจริงๆ”
สวีเม่าซิวคลายมือออก สวีปั้งฉุยก็ปล่อยมือตามเขา ทั้งคู่รีบพลิกตัวหลบหนีพลางกุมลำคอที่ไอโขลกออกมาไม่หยุด
แม่ทัพหลิวโบกมือ คนอื่นๆ กรูกันเข้ามาล้อมเอาไว้ เล็งอาวุธไปที่พวกเขา
“เช่นนี้จึงจะนับว่าเป็นชายอกสามศอกขึ้นมาหน่อย!” เขาเอ่ย จากนั้นสีหน้าพลันตกใจจนส่งเสียงร้องออกมา “เป็น…เจ้าหรือนี่”
ขณะนั้นเองพวกเขาก็เดินเข้ามาใกล้ จึงได้เห็นใบหน้าของกันและกันชัดขึ้น
สวีเม่าซิวตะลึง
“เป็นเจ้านี่เอง!” เขาก็ตกใจเช่นกัน
แม่ทัพหลิวเห็นบุรุษตรงหน้าสีหน้าก็พลันซับซ้อนขึ้น
“ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง” เขากล่าว “ในเมื่อมีชะตาต่อกัน ข้าก็จะไว้หน้าเจ้า”
เขากล่าวจบก็โบกมือ
“ไม่ต้องตัดแขนตัดขาให้ขาดแล้ว มัดไว้แล้วพาตัวไปก็แล้วกัน”
เห็นชายหนุ่มทั้งสองไม่ได้ขัดขืนจึงมัดมือไพล่หลัง ก่อนจะถูกดันอย่างแรงให้เดินหน้าไป ทว่าแม่ทัพหลิวกลับไร้ซึ่งความตื่นเต้นยินดีเหมือนในตอนแรก
ราวกับการระบายความกลัดกลุ้มเมื่อครู่ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ความอึดอัดใจที่ยาวนานที่เก็บกดเอาไว้ของเขาได้มลายหายไปแล้ว
นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นชายผู้นี้ เขาขมวดคิ้วมองคนที่ถูกทหารนำตัวไป
ชายที่มือขาดผู้นั้น เขาให้ความสนใจมาโดยตลอด แม้จะรู้ว่าต่อเข้าคืนแล้ว แต่มือนั่นกลับใช้งานไม่ได้อีกต่อไป เขาเห็นมากับตาที่เรือนไท่ผิง เขาไม่ได้ใช้มือขวาจับมีด แต่เริ่มที่จะใช้มือซ้ายมาทำอาหารแทน
เรือนไท่ผิงร่ำรวย ยอมเลี้ยงเขาให้ค่อยๆ ฝึกฝน แต่ในหมู่ทหารกลับไม่มีเงิน
ทหารนายหนึ่งแขนขาขาด ต่อเข้าไปใหม่ก็ต้องมาปรับตัวใหม่ จะหยิบจับอาวุธต่างๆ ใช่ว่าวันสองวันจะฝึกได้เก่งกาจ
เขาไม่ได้ไปสนใจพ่อครัวผู้นั้น ทั้งยั้งไม่ได้ไปสนใจเรือนไท่ผิงอีกต่อไป
เพราะรู้ตั้งนานแล้วว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เดิมทีคดีทำร้ายร่างกายพวกนี้เป็นของเมืองจิงเจ้า เขาก็คร้านจะไปสนใจเรื่องไร้สาระ จึงปล่อยผ่านไม่เข้าไปยุ่มย่าม ทำเหมือนเรื่องในคืนนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เผชิญเข้ากับสถานการณ์เช่นนี้
ที่แท้ชายผู้นี้ก็ออกจากเรือนไท่ผิงมาเรือนนางฟ้านี่เอง
“ไม่มีพรรคพวกคนอื่นเลยหรือ” แม่ทัพนึกขึ้นมาได้จึงเอ่ยถาม
“ไม่มีขอรับ มีแค่สองคนนี้ที่ออกมาจากเรือนนางฟ้า” ผู้ติดตามตอบ
แม่ทัพหลิวหยิบจดหมายสนเท่ห์ออกมา รายชื่อทั้งหมดมีเจ็ดคน แต่สถานที่ซ่อนที่บอกมากลับมีแค่เรือนนางฟ้าที่เดียว
“หรือจะอยู่ที่เรือนไท่ผิง” เขาพลันเอ่ยขึ้น
“ใต้เท้า ข้าจะไปตรวจสอบดู” ผู้ติดตามเอ่ยบอก
แม่ทัพหลิวพยักหน้า
“ไปตรวจดู! อย่าปล่อยเอาไว้แม้แต่คนเดียว!” เขาเอ่ยเสียงโหดเหี้ยมพลางหันกลับไปขึ้นควบม้า
…
หน้าศาลาว่าการยามคล้อยบ่ายผู้คนบางตา
“นี่ ทำอะไรน่ะ”
มีคนเอ่ยตะโกนขึ้น
เซี่ยงชีรีบหันกลับมา แล้วมองไปยังขุนนางผู้น้อยสองสามคนที่เดินออกมาจากโถง ท่าทางเหมือนกำลังจะออกไปกินข้าวกัน
“ข้าอยู่ฝ่ายเฝ้าประตูศาลาว่าการ มาเอาจดหมายราชการน่ะ” เซี่ยงชีรีบบอก
“ไปก่อน ไปก่อน ตอนบ่ายค่อยมาใหม่” เหล่าขุนนางผู้น้อยเอ่ยอย่างรำคาญ
เซี่ยงชีพยักหน้าส่งเสียงตอบรับ มองดูเหล่าขุนนางผู้น้อยหัวเราะพูดคุยเดินผ่านไป เขาหันกลับมามอง ข้างๆ นั่นคือคุกหลวงของเมือง ช่วงนี้เขาจับตาดูเป็นที่นี่เป็นพิเศษ แต่กลับไม่เห็นเพิ่มคนเข้าไปเสียที
เช่นนั้นก็แปลว่าจดหมายสนเท่ห์ที่แพร่กระจายออกไปเหล่านั้น ล้วนเป็นการเอาหินมาถมทะเลเสียแล้วหรือนี่
แต่เขาเองก็พอจะเดาออก
เขาเองก็เป็นขุนนางชั้นผู้น้อย ย่อมรู้ดีว่าทางการไม่สนใจจดหมายจากบุคคลนิรนามพวกนี้ที่สุด โดยเฉพาะเรื่องทหารหนีทัพที่ไม่ได้สลักสำคัญเช่นนี้
เขาก็แค่ลองเสี่ยงดวงดู พูดจาใส่ร้ายไปเท่านั้นเอง
เซี่ยงชีเดินกลับไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
ทว่าบนถนนกลับโกลาหลวุ่นวายจากเกือกม้าจนฝุ่นตลบ
“หลีกไป!”
ทหารที่นำหน้าสะบัดแส้ตะโกนขอทาง ผู้คนบนท้องถนนต่างพากันหลีกทางให้ มองดูกลุ่มทหารควบม้าผ่านไป
เซี่ยงชีในฝูงชนถูกเบียดจนโซเซ หมวกโดนเบียดจนตกแต่เขากลับไม่รู้สึกตัว มองสองคนที่ถูกควบคุมตัวโดยเหล่าทหารที่เพิ่งผ่านไปอย่างไม่เชื่อสายตา
บรรดาฝูงชนต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา
“ขโมยของล่ะสิเนี่ย”
“แต่แต่งตัวไม่เหมือนโจรเลยนี่นา…”
หนึ่งในสองคนนั้นหันมองมาข้างทางด้วยสายตาเป็นประกาย เซี่ยงชีปิดหน้าหันหลังกลับไปหลบอยู่หลังคนอื่น
ขบวนทหารผ่านไปอย่างรวดเร็ว เรื่องเช่นนี้มักจะเห็นได้บ่อยๆ ในเมือง ผู้คนบนถนนจึงต่างแยกย้ายกันไป
เซี่ยงชียังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหนนานสองนาน ใจเต้นแรงเหมือนกับจะหลุดออกจากอก
ถูก… ถูก…จับจริงๆ ด้วย!
เขาถอนหายใจออกมาสองสามเฮือกอย่างแรง กลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก มองไปรอบๆ แล้วรีบเดินจากไป แม้แต่หมวกที่ตกลงบนพื้นก็ลืมเก็บขึ้นมา ไม่นานก็หายไปจากถนนอย่างไร้ร่องรอย
ณ ศาลาว่าการเมืองจิงเจ้า เสียงจ้อกจ้อกจอแจทำลายความเงียบสงบของยามบ่ายไปจนสิ้น
“ช่างหาได้ยากยิ่ง พวกท่านจับโจรมาได้จริงๆ…” บรรดากงเฉา[1]และซวีลี่[2]ต่างพากันหัวเราะพลางมองหนังสือราชการที่ทหารหุ้มเกราะเตรียมไว้ส่งมาให้ประทับตรา พลางมองสองคนด้านหลังที่ถูกมัดอยู่ “แต่นี่มันน้อยเกินไป เหตุใดจึงมีแค่สองคนเล่า”
“อย่าได้รีบร้อน พวกที่เหลือเดี๋ยวจะส่งตัวมาทีหลัง” ทหารเอ่ยตอบพลางเร่ง “รีบพาเข้าคุกหลวงได้แล้ว พวกเรายังต้องไปรายงานกับกรมทหารอีก”
สายตาของซวีลี่ตกลงบนหนังสือราชการ
“กรมทหารหรือ” เขาเงยหน้าขึ้นถามอย่างสงสัย “ไปรายงานกับกรมทหารเพื่อการใด แค่ขโมยขโจรไม่กี่คนแค่นี้”
“พวกนี้เป็นทหารหนีทัพ” ทหารคนนั้นบอกอย่างรำคาญและร้อนใจ “เร็วๆ หน่อย พวกเราต้องรีบไปช่วยใต้เท้าจับพวกที่เหลืออีก”
ซวีลี่ส่งเสียงอ๋อคำหนึ่งแล้วประทับตราลงหนังสือราชการ
เหล่าทหารหยิบหนังสือราชการมาได้ ก็ผลักคนให้เดินไปทางคุกหลวง
ทหารหนีทัพ…
ดูเหมือนจะคุ้นๆ อยู่บ้าง…
ซวีลี่ยังนิ่งอึ้งอยู่เล็กน้อย ไปได้ยินมาจากไหนนะ
ไม่ได้การแล้ว อายุมากขึ้นความจำก็เลอะเลือนเสียแล้ว
ซวีลี่หันกลับไปชงชาให้ตัวเอง เตรียมจะพักผ่อนสักครู่ ชาหอมเพิ่งจะชงเสร็จ สูดดมกลิ่นหอมของชาแต่ยังไม่ทันจะได้จิบก็มีคนพรวดพราดเข้ามาตะโกนว่า
“ลูกพี่! แย่แล้ว!”
ซวีลี่เกือบจะทำชาหก เงยหน้าขึ้นอย่างหมดสภาพ เห็นเป็นจากผู้คุมจากคุกหลวง
“อะไรที่ว่าแย่แล้ว” เขาเอ่ยถาม วางถ้วยชาลง
“ลูกพี่ เรือนไท่ผิงเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกหรือ” ผู้คุมเดินเข้ามาใกล้แล้วกระซิบถาม “เหตุใดจึงส่งคนพวกนั้นเข้าคุกมาอีกแล้ว”
“เรือนไท่ผิงหรือ” ซวีลี่ตกใจยกใหญ่
ยามนี้นับว่าเรือนไท่ผิงเป็นร้านอาหารที่โด่งดังในเมืองหลวง แต่อาหารรสเลิศเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะทำให้ผู้คุมของเมืองจิงเจ้าตกใจได้ ที่ทำให้พวกเขาตกใจกันคือชื่อหายนะนั่นต่างหาก
แรกเริ่มเดิมทีมันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใดแล้วนะ มีคนเกริ่นเรื่องนี้กับพวกเขา บอกว่าจะส่งเข้ามาไม่กี่คน ให้พวกเขาดูแลดีๆ หน่อย
การดูแลในคุกหลวงย่อมไม่ใช่สุรารสเลิศอาหารชั้นยอด แต่คือกระบองและไม้ที่ลนไฟจนแดง
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ส่งคนเข้ามา ซ้ำคนที่เกริ่นเรื่องนี้กับพวกเขากลับล้มตายไปหมด
หากนี่เป็นเรื่องบังเอิญเพียงครั้งหนึ่ง คนพวกนั้นโชคดีก็แล้วไปเถิด แต่นี่กลับมีครั้งที่สอง ครั้งนี้คนพวกนั้นถูกส่งตัวเข้ามาจริงๆ
ครั้งนี้ยิ่งครึมโครมกว่าคราวก่อน มีคนกำชับไว้ว่าให้ดูแลดีๆ มีคนบอกว่าให้จับตาดูเป็นพิเศษ
แน่นอนว่าพวกที่เข้าคุกมาล้วนเป็นทหารกระจอกที่มีคนหนุนหลังอยู่ การแย่งชิงผลประโยชน์ระหว่างคนหนุนหลังพวกนี้ สำหรับคนคุมคุกอย่างพวกเขายิ่งมีให้เห็นอยู่มากมาย
ไม่นานคนพวกนี้ก็จะถูกปล่อยตัวออกมาอย่างไร้รอยขีดข่วนใดๆ ส่วนคนที่กำชับว่าให้ดูแลดีๆ ผู้นั้นแม้ว่าจะไม่ตาย แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับตายไปแล้ว
นี่คือเรื่องบังเอิญหรือ อาจเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ถ้าหากคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ล่ะก็ พวกเขาเหล่านั้นก็คงไม่รอดมาจนถึงตอนนี้หรอกกระมัง
รายชื่อคนพวกนี้ รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวโยงในทุกๆ ครั้ง เขาล้วนจำได้หมดแล้ว
เรือนไท่ผิง ฟ่านเจียงหลิน ฟ่านสือโถ่ว สวีเม่าซิว สวีซื่อเกิน สวีล่าเย่ว์ ฟ่านซานโฉ่ว สวีปั้งฉุย…
ซวีลี่มองหนังสือราชการ มือชี้ไปที่สองรายชื่อที่จำได้ขึ้นใจ
สวีเม่าซิว! สวีปั้งฉุย!
“ข้านึกออกแล้ว!” ซวีลี่ตะโกนขึ้นเสียงดัง รู้ชัดกระจ่างแจ้งเหมือนโดนน้ำมนต์สาด
“นี่ยังต้องคิดอีกหรือ พี่ใหญ่ พวกเราต่างจำกันได้แม่น ท่านลืมไปได้อย่างไร” ผู้คุมกล่าวขึ้น
“ไม่ใช่ ข้านึกเรื่องทหารหนีทัพขึ้นได้แล้วว่ามันเป็นมาอย่างไร!” ซวีลี่บอกพลางหันไปรื้อค้นโต๊ะ
กองหนังสือคดีต่างๆ ถูกผลักออกจนกระแทกเข้ากับถ้วยชาให้ล้มลง
ซวีลี่ไม่สนใจ ไม่นานก็ได้เอกสารมาสองสามฉบับ เขาพลิกเปิดออกดู
ผู้คุมฉวยเอาไปดู เห็นจดหมายจากบุคคลนิรนามฉบับหนึ่ง
‘ใต้เท้า จดหมายสนเท่ห์เพิ่มขึ้นมาตั้งหลายฉบับ…’
‘วันไหนที่ไม่มีมาบ้าง ไม่ต้องไปสนใจ…’
‘ใต้เท้า คนที่ถูกกล่าวถึงในนี้คือคนผู้นั้นของเรือนไท่ผิงนะขอรับ…’
‘เรือนไท่ผิงหรือ เช่นนั้นก็ยิ่งไม่ต้องไปสนใจ เถ้าแก่หนุนหลังแย่งผลประโยชน์อีกล่ะสิ…พวกเราอย่าได้ไปข้องเกี่ยวด้วยเลย…’
‘อย่างที่ใต้เท้าบอกจริงๆ เรือนไท่ผิงนี่เป็นดาวหายนะ หากทำให้ไม่พอใจเข้าล่ะก็ ไม่พิการก็ตาย ดูอย่างราชเลขาหลิวยามนี้สิ…’
‘ถูกต้อง เรือนไท่ผิงคือปีศาจดีๆ นี่เอง หากไม่ทันระวังก็อาจจะถูกจัดการจนบ้านแตกสาแหรกขาดได้…’
‘แต่บัตรสนเท่ห์พวกนี้อย่าได้ใส่ใจเลย ใครจะเชื่อกัน…’
เสียงบทสนทนาของเขากับใต้เท้าในจวนดังขึ้นมาในหัวของซวีลี่ ตอนนั้นแค่พูดกันขำๆ นึกไม่ถึงว่าจะมีคนใส่ใจขึ้นมาจริงๆ! คนพวกนั้นถูกจับขึ้นมาจริงๆ! หนำซ้ำยังเข้ามายังคุกหลวงของพวกเขาอีก! หนังสือราชการนั่นพวกเขาก็ลงนามไปเรียบร้อย!
มีเรื่องให้ปวดหัวอีกแล้วหรือนี่
“สรุปแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” เขาพูดขึ้นก่อนจะหยิบหนังสือราชการเดินรี่ไปยังโถงในจวนของใต้เท้า
สรุปแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
มีคนกรูกันเข้ามามากมายในเรือนหลังของเรือนไท่ผิง ฟ่านเจียงหลินผลักกระจาดที่ตากผักอยู่ให้ล้มลงขวางทหารสองคนที่ตามมาด้านหลังพร้อมกับเสียงกรีดร้องตกใจที่ดังขึ้น
อีกด้านหนึ่ง สองคนพี่น้องกลับถูกทหารสองสามคนกรูกันเข้ามาจับไว้
“ข้าเป็นขุนนางทำคดี จับกุมนักโทษที่หลบหนี ชูมือยอมแพ้ให้จับกุมเสียดีๆ มิฉะนั้นจะฆ่าโดยไม่มีข้อแม้!”
เสียงตะโกนดังขึ้นจากนอกเรือนมาติดๆ ในขณะเดียวกันพลธนูก็กรูกันเข้ามา คันธนูถูกยกขึ้นเล็งไปทางเหล่าพี่น้องที่ถือเครื่องมือไว้สารพัดอย่างเพื่อเตรียมจะขัดขืน
พี่น้องสองคนที่ถูกทหารสี่นายกดตัวไว้ก็พลิกตัวลุกขึ้น กระชากทหารทั้งสี่นายนั้นออกไปอย่างแรง พร้อมกับเสียงตะโกนที่ดังขึ้นเมื่อครู่
พวกเขาเพิ่งจะยืนได้มั่น เสียงพรึ่บของธนูก็ดังขึ้นแหวกอากาศมา
ธนูดอกหนึ่งปักเข้าที่หัวไหล่ของพี่น้องคนหนึ่งอย่างแรงด้วยความแม่นยำ จนเขาเซถอยหลังไป
เสียงกรีดร้องของสาวใช้และปั้นฉินที่อยู่ริมหน้าต่างดังก้องไปทั่ว
เฉิงเจียวเหนียงยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ข้างหน้าต่าง สีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ มองความวุ่นวายภายในเรือนอย่างเฉยเมย
……………………..