ตอนที่ 172 แย่งชิงหม้อเทพนิรันดร์

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

ขณะที่มู่เฉียนซีเดินตามกลิ่นนั้นไป นางก็ได้ยินเสียงคนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่ด้านหน้า

เสียงตะโกนดังก้องขึ้นว่า “ศิษย์สำนักซวนเหลยจงฟังคำข้าให้ดี ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ต้องเอาหม้อเทพนิรันดร์มาให้ได้”

จากนั้นเสียงของอีกคนดังขึ้น “พวกเจ้าสมควรตายยิ่งนัก!  สำนักซวนเหลยของพวกเจ้าไม่ใช่สำนักนักปรุงยา เหตุใดพวกเจ้าจึงต้องการแย่งหม้อเทพนิรันดร์กับสำนักตานจี้ ?”

“เจ้าพวกต่ำช้า! หม้อเทพนิรันดร์นี้ต้องเป็นของสำนักเฟินเทียนเท่านั้น”

“หม้อเทพนิรันดร์เป็นของสำนักจินติ่งต่างหากเล่า!”

“ฆ่ามัน!”

สำนักนิกายใหญ่หลายสำนักในขณะนี้เริ่มต่อสู้กันอย่างนองเลือดเพื่อแย่งชิงหม้อเทพนิรันดร์ไปเป็นของตน  สนามการต่อสู้เป็นไปด้วยความดุเดือดเลือดพล่าน

มู่เฉียนซีที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดพึมพำว่า “ดี! ฆ่ากันไปเลย ยิ่งพวกเจ้าฆ่ากันตายหมดก็ยิ่งดี”

— ปับ! —

ทันใดนั้นมีใครบางคนปรากฏตัวขึ้นด้านหลังมู่เฉียนซีและยื่นมือตบไหล่นาง

— ฟึ่บ! —

เข็มยาของมู่เฉียนซีพุ่งออกไปอย่างเร็ว ทว่าสองมือคู่หนึ่งก็จับเข็มยาของนางเอาไว้ได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน

“สาวน้อย เจ้าจะลอบฆ่ารึ ?!”

มู่เฉียนซีหันหลังไป นางรีบหยิบเข็มยากลับคืนมา “จวินโม่ซี เจ้านี่เอง ข้าตกอกตกใจหมด”

จวินโม่ซีกล่าวพลางยิ้ม “มู่เฉียนซีสาวน้อย ในที่สุดเจ้าก็กลับมา ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องไม่เป็นอะไร  พวกมันสู้รบกันมาครู่ใหญ่แล้ว หากเจ้ามาช้ากว่านี้อีกสักหน่อย มีหวังอดได้เห็นอะไรดี ๆ เป็นแน่แท้”

มู่เฉียนซีมองไปด้านหน้า ก็เห็นหม้อยาสีเขียวแกมน้ำเงินตั้งตระหง่านอยู่ภายในวงล้อมการต่อสู้  หม้อยานี้มีความสูงพอ ๆ กันกับร่างของผู้ใหญ่ มันมีขนาดใหญ่อย่างมาก ดูโบราณ เรียบง่าย และมีคุณค่ายิ่งนัก

ลักษณะภายนอกของหม้อเทพนิรันดร์ใบนี้ ดูเหมือนกับหม้อยาที่อาถิงเคยพานางไปดูภาพเมื่อนานมาแล้ว  ทว่านี่มันไม่บังเอิญไปหน่อยรึ ?! อยู่ ๆ หม้อเทพนิรันดร์มาปรากฏขึ้นในแคว้นเล็ก ๆ อย่างแคว้นจื่อเยี่ย  มันถือเป็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ชิ้นที่สามที่นางพบในแคว้นจื่อเยี่ย

มู่เฉียนซีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเล็กน้อยว่า “จวินโม่ซี เจ้าแน่ใจนะว่านี่คือหม้อเทพนิรันดร์จริง ๆ ?”

จวินโม่ซี “ข้าเองก็ไม่เคยเจอหม้อยานั่น  ข้าจะไปรู้รึ ? อย่างน้อยก็ต้องเอามันมาให้ได้ก่อนเราถึงจะรู้ว่าของจริงหรือของเก๊  แต่ตอนนี้ ข้าว่าเรามานั่งดูพวกมันต่อสู้กันเองก่อนดีกว่าหรือไม่ ?”

“อืม ก็ดี”

สำนักนิกายเหล่านี้ต่างต่อสู้กันดุเดือดขึ้นเรื่อย ๆ  ในขณะเดียวกันนั้น องครักษ์ลับตระกูลมู่และชิงอิ่งเดินตามเครื่องหมายลับที่มู่เฉียนซีทิ้งเอาไว้เพื่อให้ตามนางมา

“ท่านผู้นำตระกูล!” มู่อีเรียกด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมเต็มที่

มู่เฉียนซีกล่าวว่า… “หากเป็นสมบัติอย่างอื่น กองกำลังแย่งชิงมากมายเช่นนี้ ข้าจะไม่บุ่มบ่ามไปแย่งชิงหรอก แต่หากนี่มันเป็นหม้อเทพนิรันดร์จริง ๆ วันนี้ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือไป มันคือความหวังเดียวที่ท่านอาเล็กของข้าจะกลับมาเดินได้อีกครั้ง”

มู่อี “ขอเพียงแค่ท่านผู้นำสั่งการ พวกเราจะต่อสู้อย่างไม่กลัวตาย”

มู่เฉียนซีโบกมือ จากนั้นนำเอาชุดเกราะออกมา “พวกเจ้าทั้งหมดใส่ชุดเกราะนี้ไว้ให้เรียบร้อย”

จวินโม่ซีเห็นชุดเกราะ พลันเบิกตากว้างทันทีด้วยความตกใจ “มู่เฉียนซีสาวน้อย เจ้าเอาชุดเกราะเหล่านี้มาจากไหนรึ ? ชุดเกราะเหล่านี้อยู่ในระดับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ หากราชาแห่งภูตใส่ชุดเกราะนี้ไปต่อสู้กับระดับจักรพรรดิแห่งภูตก็ไม่มีวันตาย นี่เท่ากับมอบชีวิตเพิ่มอีกชีวิตให้พวกเขาเลยก็ว่าได้”

มู่เฉียนซี “หากมันมีคุณค่าเช่นนั้นก็ถือว่าไม่เลวเลย”

จากนั้นทุกคนสวมชุดเกราะเพื่อการต่อสู้ในครั้งนี้ ความแข็งแกร่งของชิงอิ่งนั้นไม่ธรรมดา เขาแข็งแกร่งกว่าชุดเกราะนี้มากจึงไม่จำเป็นต้องใส่มัน  ส่วนจวินโม่ซีผู้มีพลังอันแข็งแกร่งเป็นถึงจักรพรรดิแห่งภูตอยู่แล้ว เขาคิดว่าใส่ชุดเกราะแล้วไม่สบายตัว ไม่กระฉับกระเฉง จึงไม่อยากจะใส่มัน

มู่เฉียนซีกล่าว “อู๋ตี้ เจ้ากินอิ่มหรือยัง ? แล้วพลังของเจ้า เลื่อนขั้นขึ้นหรือไม่ ? ”

“งั่ม… งั่ม… งั่ม!  ใกล้แล้วนายท่าน ใกล้แล้ว  อู๋ตี้จะได้เลื่อนขั้นเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในไม่ช้านี้ อีกไม่นานข้าจะได้ออกรบกับนายท่านแล้ว” อู๋ตี้กล่าวไป มือก็รีบยัดผนึกวิญญาณเข้าปากอย่างว่องไว

ไม่นานนัก พลังของมันก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

— ตูม! —

มู่เฉียนซีรับรู้ได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของอู๋ตี้อย่างชัดเจน  ในที่สุดอู๋ตี้ก็ทะลวงพลังเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งได้ ความแข็งแกร่งของฝ่ายมู่เฉียนซีถือว่าเพิ่มขึ้นอีกระดับ

สำนักนิกายต่าง ๆ ที่ต่อสู้กันต่อเนื่องอย่างดุเดือด ต่างฝ่ายต่างก็ได้รับบาดเจ็บ  ต่างฝ่ายต่างก็ได้รับความเสียหายอย่างมาก  ขณะนี้หม้อเทพนิรันดร์ตกอยู่ในมือของจักรพรรดิแห่งภูตระดับสามผู้แข็งแกร่งอย่างเจ้าสำนักเฟินเทียน—ฮั่วอู๋จี๋

มู่เฉียนซีกล่าว “เสี่ยวหง อู๋ตี้ เตรียมลงมือได้”

“ขอรับนายท่าน”

— ฟึ่บ!  ฟึ่บ! —

ร่างของอู๋ตี้และเสี่ยวหงพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

“เจ้าสำนัก!”

“หม้อเทพนิรันดร์!”

ขณะที่ฮั่วอู๋จี๋กำลังกินยาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ ทันใดนั้นหม้อเทพนิรันดร์ที่อยู่ตรงหน้าโดนสัตว์ทั้งสองตัวแย่งชิงไป  ร่างของเสี่ยวหงและอู๋ตี้นั้นเล็กก็จริง แต่ถึงอย่างไรทั้งสองก็เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มีความสามารถไม่เลว  การยกหม้อเทพนิรันดร์นี้จึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับสัตว์ทั้งสอง

ฮั่วอู๋จี๋ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “ไปสิ!  ไป!  รีบไปแย่งกลับมาให้ได้”

“เร็วเข้า รีบไปแย่งคืนมาให้ได้!”

อู๋ตี้และเสี่ยวหงยื่นหม้อเทพนิรันดร์ให้กับมู่เฉียนซี

“พวกเจ้าทำได้ดีมาก” มู่เฉียนซียิ้ม นางพยายามจะนำเอาหม้อเทพนิรันดร์เก็บไว้ในพื้นที่ของนาง ทว่านางพยายามใส่เข้าไปเท่าไหร่ก็มิสามารถใส่เข้าไปได้  นี่มันอะไรกัน ?

อาถิงอธิบาย “หม้อยานี่มีข้อจำกัด หากไม่ได้รับอนุญาตจากมันก็ไม่อาจเอามันไว้ในพื้นที่ได้”

มู่เฉียนซี “ตกลงนี่คือหม้อเทพนิรันดร์ของจริงหรือไม่ ?”

อาถิง “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรกันเล่า ? นี่ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะมาสงสัยเรื่องนี้  เจ้าไปคิดหาวิธีรับมือกับพวกนั้นก่อนเถอะ”

— ตูม!  ตูม!  ตูม! —

“อ๊า! นั่นมู่เฉียนซี คิดไม่ถึงเลยว่านางจะนำเอาสัตว์พันธสัญญามาแย่งชิงหม้อเทพนิรันดร์”

“แย่งคืนมา!  ไปแย่งกลับคืนมาให้ได้ เจ้าสตรีบัดซบสมควรตายยิ่งนัก!  กล้าดีอย่างไรถึงมาแย่งจากมือข้าเยี่ยงนี้ ?!”

“ฮึ่ม!…”

เหล่าบรรดาผู้แข็งแกร่งจากสำนักนิกายต่าง ๆ มุ่งเป้าเข้ามาที่มู่เฉียนซี   ชิงอิ่งและองครักษ์เงาตระกูลมู่พุ่งตัวออกไปขวางสกัดกั้นพวกนั้นเอาไว้

— ตูม! —

“พวกมันบ้าไปแล้วแน่ รนหาที่ตายชัด ๆ!”

และสิ่งที่ทำให้ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นประหลาดใจเป็นอย่างมากนั่นก็คือ… พลังการโจมตีที่รุนแรงของพวกเขา เมื่อปะทะกับร่างองครักษ์เงาตระกูลมู่แล้ว  องครักษ์เงาเหล่านั้นกลับไม่เป็นอะไรแม้เพียงนิด อีกทั้งยังทำให้พวกเขาบาดเจ็บอย่างสาหัส

มู่อีกล่าวอย่างโล่งใจ “โอ้! ชุดเกราะที่ท่านผู้นำตระกูลมอบให้พวกเรานี้ทรงพลังยิ่งนัก อีกทั้งยังป้องกันการโจมตีพลังระดับจักรพรรดิได้”

พลังของพวกมันอ่อนแรงลงมากเนื่องจากการต่อสู้อันนองเลือดอย่างต่อเนื่องที่ผ่านมา  เวลานี้ดูเหมือนว่าไม่มีทางใดที่จะโจมตีองครักษ์เงาสวมชุดเกราะนี้ได้เลย

มู่อีตะโกนอย่างฮึกเหิม “ฆ่ามัน!”

อาวุธ  อาวุธลับ  อีกทั้งยาพิษพุ่งเข้าไปที่ร่างศิษย์สำนักนิกายเหล่านั้นในทันที พวกเขาต่างร้องโอดครวญอย่างต่อเนื่องด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวยิ่ง

อย่างไรก็ตาม จำนวนคนของตระกูลมู่มีน้อยกว่าพวกมันมาก  ซ้ำร้ายบางคนยังหนีออกมาจากวงล้อมนั้นได้ แล้วพุ่งเข้ามาหามู่เฉียนซีทันที  คนแรกที่เข้าถึงมู่เฉียนซีได้คือฮั่วอู๋จี๋

ฮั่วอู๋จี๋กล่าวอย่างกรุ่นโกรธ “บัดซบ! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้มาล้วงคองูเห่าอย่างข้า เจ้ามันบังอาจยิ่งนัก!”

— ตูม! —

เสี่ยวหงกับอู๋ตี้พุ่งพรวดเข้าไปสกัดฮั่วอู๋จี๋เอาไว้

สีหน้าของมู่เฉียนซีในตอนนี้นั้นเคร่งเครียดเล็กน้อย ต่อให้ทั้งสองแข็งแกร่งพอที่จะรับมือได้ ทว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปอีกสักพักย่อมไม่ดีแน่ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เจอกับหม้อเทพนิรันดร์  หากยอมแพ้ไปง่าย ๆ ย่อมไม่มีผู้ใดสบายใจ

จวินโม่ซีกล่าวขึ้น “สาวน้อย เจ้าลองดูว่าสามารถทำพันธสัญญากับมันได้หรือไม่  ไม่ว่ามันจะเป็นหม้อเทพนิรันดร์หรือไม่ก็ต้องลองดู ขอเพียงแค่เจ้าทำพันธสัญญากับมันได้ เจ้าก็เอามันไว้ในพื้นที่ของเจ้าได้ หลังจากนั้นเราค่อยถอยกัน”

มู่เฉียนซีกล่าว “ทำพันธสัญญาด้วยเลือดรึ ?  อย่างไรก็ต้องลอง  ดีกว่าปล่อยให้ตกอยู่ในมือของคนพวกนั้น”

มู่เฉียนซีกรีดแขนตนเอง โลหิตแดงฉานหยดลงในหม้อยา  ทันใดนั้นภายในหัวของนางมีเสียงดังก้องขึ้น

“หม้อเทพนิรันดร์น้อมรับนายท่านเป็นนาย พันธสัญญาจงบังเกิด ณ บัดนี้…”

หม้อเทพนิรันดร์ของตนถูกแย่งชิงไปต่อหน้าต่อตา อีกทั้งยังทำพันธสัญญากับคนอื่นอีก  เมื่อเห็นแสงสีฟ้ากะพริบขึ้น ฮั่วอู๋จี๋แทบคลั่ง  เขารวบรวมพลังทั้งหมด  พุ่งพลังนั้นเข้าใส่มู่เฉียนซี ทะลุการป้องกันของอู๋ตี้  เสี่ยวหง  และจวินโม่ซีไป

.