บทที่ 146 ใจตรงกัน มองปุ๊บก็รู้ปั๊บ

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม

“อาจารย์ใหญ่ถูกมีดปาดคอ ไม่ทราบว่าพวกท่านสังเกตหรือไม่ รอยมีดบนคอของอาจารย์ใหญ่แม้คล้ายคลึงกัน แต่ถ้าสังเกตดีๆ ก็จะเห็นขวาลึกซ้ายตื้น หรือก็คือเขาถูกมือกระบี่ซ้ายสังหาร รอยมีดบนคอของอาจารย์หรงก็เช่นกัน”

อาจารย์สวีกระซิบกับอาจารย์ฉางและผู้อาวุโสอีกสองสามท่าน “ชันสูตรพิสูจน์ความมาตั้งนาน เพิ่งจะได้ความว่ารอยมีดบนคอของอาจารย์ใหญ่และอาจารย์หรงล้วนแต่ขวาลึกซ้ายตื้น เป็นไปได้มากว่าจะเป็นคนถนัดซ้ายเป็นคนลงมือ”

เสียงของเขาไม่ดัง แต่กลับถูกคนจำนวนมากในที่นั้นได้ยิน

กู้ชูหยุนเอ่ยเรียบ “หากเย่เฟิงตั้งใจปกปิดว่าตนถนัดซ้ายเล่า?”

บรรดานักเรียนในวิทยาลัยต่างเห็นด้วย

“หากเย่เฟิงมาวิทยาลัยด้วยประสงค์อื่น เช่นนั้นเขาก็ต้องปกปิดว่าตนเป็นคนถนัดซ้ายตั้งแต่ทีแรกแล้ว มิแปลกอันใด”

กู้ชูหน่วนยิ้มเย็น “ถ้าเขาจะปกปิด ถ้าเขาเป็นคนร้ายจริง แล้วทำไมตอนที่เขาลงมาจึงไม่ปิดใบหน้า จำต้องให้พวกเจ้าเห็นใบหน้าเขาด้วย?”

“บางทีเขาอาจคิดถึงจุดนี้แต่แรกแล้ว จึงจงใจเผยใบหน้า จะได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน”

กู้ชูหน่วนแทบอยากโยนนางชาเขียว(*หญิงกร้านโลกที่แสร้งทำเป็นบริสุทธิ์) ออกไปจริงๆ สองมือนางประสาน บีบข้อกระดูกนิ้วทั้งสิบของตัวเองจนลั่นกรอบแกรบ จ้องกู้ชูหยุน น้ำเสียงลับลมคมใน

“กู้ชูหยุน ข้าไม่ยักรู้ว่าปากเจ้าจะร้ายกาจเพียงนี้ โบ้ยความผิดได้ง่ายดายเช่นนั้น”

ครั้นเห็นประกายเย็นชาจากใบหน้า แล้วคิดโยงที่นางเพิ่งชกพวกหลี่เหิงไปเมื่อครู่ เมื่อนั้นทุกคนก็เริ่มตื่นตระหนกเล็กน้อย

กู้ชูหน่วนคิดจะทำอะไร?

คงไม่ใช่จะตบกู้ชูหยุนกระมัง?

อาจารย์ฉางตวาด “กู้ชูหน่วน! เจ้าคิดจะทำอะไรอีก?”

“แล้วท่านอาจารย์คิดว่าข้าจะทำอะไรเล่า?”

กู้ชูหยุนกระซิกน้ำตา เช็ดหยาดน้ำตาที่มุมดวงตาของตัวเองอย่างน้อยใจ สะอื้นเอ่ย “ข้าแค่พูดความคิดของตัวเองเท่านั้น มิได้ความหมายถึงใครอื่น ไยน้องสามต้องกล่าวหาข้าเช่นนี้ด้วย?”

เดิมทีกู้ชูหยุนก็หน้าตาดั่งบุปผาดั่งดวงจันทร์ เวลานี้สาลี่ต้องหยาดฝนยิ่งชวนให้เอ็นดู

คุณชายทั้งหลายพากันยืนฝั่งนาง

“กู้ชูหน่วน คุณหนูรองกู้เพียงพูดความจริงเท่านั้น เดิมเย่เฟิงก็ต้องสงสัยมาก หรือว่านางกล่าวอะไรผิดหรือ?”

“นั่นสิ ตั้งแต่เย่เฟิงหนีไปเมื่อสามวันที่แล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา หากเขาถูกปรักปรำจริง ไยจึงไม่กล้าแสดงตนเล่า?”

“ก่อนหน้านี้เจ้าก็พูดแล้ว ว่าให้เวลาเจ้าสามวัน หากสามวันให้หลังเจ้าหาตัวผู้ร้ายไม่ได้ ก็สุดแต่พวกเราจะจัดการเย่เฟิง คำพูดนี้หรือว่าเจ้าจะลืมไปแล้ว?”

“ความจำกู้ชูหน่วนดีจะตาย นางจะลืมได้อย่างไร นางก็แค่ก่อกวนปั่นป่วนเท่านั้น”

ทันใดนั้นกู้ชูหน่วนก็กลายเป็นเป้าโจมตี

แม้แต่อาจารย์สวีก็ไม่เข้าข้างนาง

กลับเป็นผู้อาวุโสเฉินที่กล่าว “ส่งคนออกไป ต้องหาตัวเย่เฟิงให้พบ”

กู้ชูหยุนอึกๆ อักๆ อีกหลายครั้ง ผู้อาวุโสเฉินจึงถาม “เจ้าอยากพูดอะไรก็พูดมาเถอะ”

กู้ชูหยุนมองกู้ชูหน่วนด้วยความกังวลเล็กน้อย ปากก็อ้ำๆ อึ้งๆ

กู้ชูหน่วนก็อยากรู้จริงๆ ว่านางยังจะพูดอะไรออกมาอีก

“น้องสามเอาแต่พูดแทนเย่เฟิง ไม่รู้ว่าเย่เฟิงกรอกยากรอกยาเสน่ห์อะไรให้นาง หรือว่าหลงกลอะไรของเย่เฟิง ถึงได้เข้าข้างเขาตลอด ข้าเป็นห่วงน้องสามจริงๆ”

อาจารย์สวีฉุกคิด

“คุณหนูสามคงไม่ได้หลงกลอะไรเย่เฟิงจริงๆ หรอกนะ ผู้อาวุโสอู๋ ท่านมิรอบรู้เรื่องการแพทย์หรือ? มิเช่นนั้นท่านก็ลองตรวจให้คุณหนูสามสักหน่อย อย่าได้ให้คุณหนูสามเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

“เด็กๆ ล้อมคุณหนูสามเอาไว้”

กู้ชูหน่วนปลิ้นตาขาว

อะไรนางก็ไม่ยอม ยอมให้กู้ชูหยุนนี่แหละ

นางถลกแขนเสื้อ ขณะที่กำลังจะโต้กู้ชูหยุนกลับ กลับได้ยินคนข้างนอกตะโกนอย่างหวาดกลัว “เย่เฟิงมาแล้ว! จอมมารฆ่าคนกลับมาแล้ว!”

เมื่อมองบนก็เห็นเย่เฟิงค่อยๆ มาในชุดสีเขียวจากไม่ไกล

ท่วงท่าพลิ้วไหว เทพเซียนบนแดนดิน เส้นผมสีดำรับกับสายลมปลัดปลิว กอปรกับโฉมหน้าที่งามถึงที่สุด ทันใดนั้นก็ราวกับเทพมาจุติ งามจนให้ทนไม่ไหว

เมื่อเขาปรากฏตัว ยอดฝีมือในวิทยาลัยจำนวนมากก็เข้าล้อมเขาราวกับเผชิญกับศัตรู จ้องเขาอย่างระแวดระวัง

อาจารย์ฉางบันดาลโทสะ “เจ้าก็คือเย่เฟิง! เจ้าสังหารอาจารย์ใหญ่กับอาจารย์หรง ยังกล้ากลับมาอีก วันนี้ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องให้เจ้าชดใช้ชีวิตกับอาจารย์ใหญ่ให้ได้ เด็กๆ! กุมตัวเย่เฟิงไว้!”

“ใครกล้าแตะเขาก็ข้ามศพข้าไปก่อน!”

กู้ชูหน่วนตะคอก จิตสังหารแผ่ออก

นางอายุไม่มาก แต่บุคลิกกลับแข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นที่อยู่นอกผ้าคลุมหน้า แสงเย็นมุ่งหมาย ความน่าเกรงขามอัดแน่น

ทุกคนสะท้านอย่างไม่มีเหตุผล

ความน่าเกรงขามแรงกล้ามาก

ผู้หญิงคนนี้เป็นคนไร้ค่าที่ไม่มีวรยุทธ์สักนิดจริงหรือ?

ทำไมพวกเขาจึงรู้สึกว่าดวงจิตกำลังสะท้านล่ะ?

ไม่รู้เป็นเมื่อไรที่อาจารย์ซ่างกวนปรากฏตัว เสียงที่ราวกับน้ำใสของเขาค่อยๆ ดังขึ้น

“ในเมื่อเย่เฟิงปรากฏตัวแล้ว ก็ให้เขาเล่าเรื่องความมาให้ชัดเถอะ แม้เขาจะเป็นฆาตกร แต่วิทยาลัยเราก็ต้องให้โอกาสเขาแก้ต่าง”

ซ่างกวนฉู่มีฐานะโดดเด่นในวิทยาลัย คำพูดที่เขากล่าวออกมา ถึงทุกคนอยากคัดค้านก็ไม่กล้าข้ามหน้าเขา

“เจ้าไม่ใช่ว่ามีเรื่องต้องทำหรือ? กลับมาทำไม?” กู้ชูหน่วนถาม

เย่เฟิงไม่สนใจสายตาเขม็งของทุกคนและคนที่อยากกำจัดเขาให้สิ้น เพียงเอ่ยเรียบ “จู่ๆ ก็นึกได้ว่ามีธุระที่วิทยาลัย ง่ายกว่าเรื่องที่ข้าต้องไปทำ ก็เลยมาดูสักหน่อย”

กู้ชูหน่วนกับเย่เฟิงสบตากัน ยิ้มให้กันทีหนึ่ง

บางคำพูดไม่จำเป็นต้องพูดออกมา

พวกเขาก็สามารถเดาความคิดของอีกฝ่ายได้

กู้ชูหน่วนเข้าใจดี

เย่เฟิงต้องรู้เรื่องการนัดหมายสามวันของนางกับทางวิทยาลัยแน่ กลัวว่านางจะถูกวิทยาลัยทำให้ลำบาก ถึงได้เลี้ยวกลับมาที่ราชวิทยาลัย

“เย่เฟิง เจ้าบอกว่าเจ้าไม่ได้สังหารอาจารย์ใหญ่ เจ้ามีหลักฐานอะไรพิสูจน์ตัวเองหรือไม่?”

“ข้าไม่มีอะไรพิสูจน์ได้ แต่ข้าเย่เฟิง ไม่ผิดต่อมโนธรรมตัวเอง!”

“ถุย! ไม่ผิดต่อมโนธรรมตัวเองอะไร เจ้าไม่มีคำพูดชัดๆ!” หลี่เหิงเอ่ยด้วยโทสะ

กู้ชูหน่วนง้างหมัด หรี่ดวงตาเย็นชา “ข้าว่าเจ้ายังอยากชิมรสหมัดของข้าอีกสักหน่อย”

หลี่เหิงหดลำคอ ถอยหลังไปสองสามก้าว

อาจารย์ฉางยิ่งเห็นก็ว่าโมโห

วิทยาลัยใหญ่โตเช่นนี้ หรือจะจัดการกู้ชูหน่วนไม่ได้เลยหรือ? มิเห็นผู้ใดอยู่ในสายตาเช่นนี้ จะโอหังเกินไปแล้ว

ขณะที่กำลังจะอ้าปากสั่งสอน กู้ชูหน่วนก็อุดปากเขา

“มือซ้ายของเย่เฟิงเคยได้รับบาดเจ็บ กระดูกหัก เขาดีดพิณยังลำบาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะใช้มือซ้ายฆ่าใครได้? ข้าเชื่อว่าในที่นี้ต้องมีคนรู้การแพทย์อยู่บ้างกระมัง หากพวกท่านไม่เชื่อ ก็ดูมือซ้ายของเขาได้”

บรรดาอาจารย์สบตากันทีหนึ่ง

สุดท้ายผู้อาวุโสเฉินก็ก้าวออกมา

“ข้าพอรู้เรื่องการแพทย์อยู่บ้าง เช่นนั้นก็ให้ข้าดูก็แล้วกัน”

เย่เฟิงขมวดคิ้ว มองทางกู้ชูหน่วนอย่างสับสน

ตัวเขามาบาดแผลมากมาย

ให้ผู้อาวุโสเฉินตรวจมิต้องเผยความว่าตนมีแผลเต็มตัวหรือ?

กู้ชูหน่วนมอบสายตาอุ่นใจกับเขา เป็นการบอกให้เขาวางใจ เย่เฟิงถึงได้ยื่นมือซ้ายของตนออกไป

ครั้นผู้อาวุโสเฉินจับชีพจรก็สะดุ้งโหยง ใบหน้าตกตะลึงมองเย่เฟิงที่มีสีหน้าสงบเรียบ กว่าค่อนวันจึงจะดึงสติกลับ

“ผู้อาวุโสเฉิน เป็นอย่างไรบ้าง?”

ทุกคนแปลกใจ

เขาตกใจขนาดนั้นทำไมกัน?

หรือว่าเป็นเย่เฟิงสังหารจริงๆ?

ผู้อาวุโสเฉินพยายามทำจิตใจให้สงบ เอ่ยเสียงเย็น “เย่เฟิงไม่ใช่ฆาตกร”