หลี่เหิงสะดุ้ง “ผู้อาวุโสท่านคงไม่ได้ตรวจผิดกระมัง?”

ผู้อาวุโสเฉินหน้านิ่ง “ทำไม? เจ้าสงสัยการแพทย์ของข้า หรือว่าสงสัยในตัวข้า?”

“ข้า…ข้ามิกล้า…แต่…”

“ข้าก็รู้การแพทย์นิดหน่อย ให้ข้าลองดูแล้วกัน” อาจารย์หญิงอีกท่านเดินออกมา นางเป็นอาจารย์หญิงคนเดียวของวิทยาลัย แต่ไหนมาก็มีชื่อเสียงด้านการแพทย์ อีกทั้งนางยังยุติธรรม

ให้นางไปจับชีพจร ทุกคนก็เชื่อถือมาก

อาจารย์ซู่แตะชีพจรของเย่เฟิง ใบหน้าสุขุมเปลี่ยนแปลงพลัน มองใบหน้าเย่เฟิงที่ขาวซีดอย่างไม่อยากจะเชื่อเหมือนผู้อาวุโสเฉิน สายตาตะลึงนั้นไม่ว่าจะปกปิดอย่างไรก็ปกปิดไม่มิด

ทุกคนต่างงุนงง

ก็แค่ตรวจชีพจรมิใช่หรือ?

ทำไมแต่ละคนต้องตกใจเช่นนี้ด้วย? แถมยังเหมือนจะเห็นใจอีกหน่อย…

อาจารย์ฉางตุ้มๆ ต่อมๆ เอ่ย “เป็นอย่างไรบ้าง?”

อาจารย์ซู่พยายามสงบจิตใจที่ระทึกของตัวเอง เอ่ยช้าๆ “มือซ้ายของเขา จากนิ้วมือถึงข้อมือ กระดูกทั้งหมดมิได้หักแค่ครั้งเดียว มือซ้ายของเขาไร้กำลัง ใช้ดาบไม่ได้ เป็นไปได้มากว่าคนร้ายจะไม่ใช่เขา”

ตั้งแต่นิ้วจรดข้อมือมิได้ถูกหักแค่ครั้งเดียว?

เกิดอะไรขึ้น?

หรือว่ามีคนหักมือของเย่เฟิงจริงๆ?

สีหน้าอาจารย์ฉางประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวม่วง เขาไม่ยอมรับผลลัพธ์นี้

“ถึงมือซ้ายเขาจะใช้ดาบไม่ได้ แต่หากเขาจงใจใช้มือขวาฆ่าคนล่ะ สร้างภาพลวงตาหลอกทุกคนว่าเขาถนัดซ้ายล่ะ?”

อาจารย์ซู่และผู้อาวุโสเฉินต่างไม่พอใจ

“อาจารย์ฉาง ข้ารู้ว่าการที่อาจารย์ใหญ่กับอาจารย์หรงถูกสังหาร ท่านต้องร้อนใจแน่ แต่เย่เฟิงใช้มีดมือซ้ายไม่ได้ และเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะฆ่าคน เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพก็บอกแล้ว ว่ามีแต่ใช้มีดมือซ้ายเท่านั้นถึงจะให้เปิดรอยแผลขวาลึกซ้ายตื้น นี่ทำปลอมขึ้นไม่ได้ ท่านก็อย่าทำให้เย่เฟิงต้องลำบากอีกเลย”

“ผู้อาวุโสเฉิน อาจารย์ซู่ ก่อนหน้านี้พวกท่านก็ปักใจเชื่อว่าอาจารย์ใหญ่ถูกเย่เฟิงสังหารมิใช่หรือ? ทำไมพวกท่านแค่จับชีพจรก็เปลี่ยนท่าทีเช่นนี้เล่า?”

จะไม่เปลี่ยนได้หรือ?

เย่เฟิงมีบาดแผลทั้งตัว ลมหายใจอ่อนแรง ร่างกายถูกทรมานหลายปี เกรงว่าจะอยู่ได้อีกไม่กี่ปีแล้ว

แผลทั้งตัวของเขาแทบเอาชีวิตเขาแล้ว เวลานี้ยืนอยู่ที่นี่ได้ก็แค่ฝืนทนเท่านั้น โดยเฉพาะมือซ้ายทั้งมือ ถูกคนใช้กำลังภายในกระแทกบาดเจ็บ กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่หายดี หากคาดเดาตามเวลา ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเป็นฆาตกรสังหารอาจารย์ใหญ่

พวกเขาไม่รู้ว่าเย่เฟิงผ่านอะไรมาบ้างกันแน่ แต่จากลมหายใจ ร่างกายเขาแทบถูกผลาญไปสิ้นแล้ว

ผู้อาวุโสเฉินไม่พอใจเล็กน้อย “มือซ้ายและมือขวาเขาต่างเจ็บหนักมาก่อน เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้มือซ้ายถือดาบ มือขวายิ่งไม่มีแรงสร้างภาพหลอกผู้คน”

“หากเขาไม่ใช่ฆาตกร แล้วทำไมวันนั้นต้องหนีด้วย?” อาจารย์ฉางเอ่ยถาม

ทุกคนต่างผสมโรง

“ก็นั่นนะสิ ถ้าเขาไม่ใช่ฆาตกร แล้วจะหนีไปทำไม?”

“มีชนักติดหลังชัดๆ ถึงได้หนี แต่เขาหนีไปแล้วก็กลับมาอีก ข้างงไปหมดแล้ว สรุปเย่เฟิงเป็นฆาตกรหรือเปล่ากันแน่?”

กู้ชูหน่วนพูดอย่างขี้เกียจ “เพราะเทพสงครามส่งคนมาจับเขานะสิ”

“ทำไมเทพสงครามต้องจับเขาด้วย?”

“คงเพราะข้าสนิทกับเขา เทพสงครามก็เลยหึงกระมัง?”

“คุณหนูสามกู้ คำพูดนี้ใครจะเชื่อ?”

“ถ้าพวกท่านไม่เชื่อก็ไปถามเขาดูสิ เขาอยู่ที่จวนอ๋องหาน พวกท่านไปถามได้ทุกเมื่อ”

ทุกคนต่างพากันพูดไม่ออก

ถามเทพสงคราม? นั่นมิใช่ย่างเท้าเข้าประตูผีหรือ?

เย่เฟิงมองกู้ชูหน่วนด้วยความซาบซึ้ง

นางปกป้องศักดิ์ศรีของเขา

กู้ชูหน่วนหันไปขยิบตากับหน้างามของเขา

กู้ชูหยุนเอ่ย “ถึงเย่เฟิงจะไม่ใช่ฆาตกร แต่น้องสามเจ้ารับปากวิทยาลัยว่าจะหาฆาตกรตัวจริงให้พบ ฉะนั้นเจ้า…”

“สวรรค์! ยัยขี้เหร่ ทำไมพวกเจ้าอยู่ที่นี่ล่ะ? ใต้เท้าโม่ส่งคนไปทางหมู่บ้านสายธารตั้งเยอะ เท่าที่ได้ยินมา ความหมายของพวกเขาคือจะจับยายของเย่เฟิงไว้ก่อน สอบสวนเข้มงวด” เซียวหยู่เซวียนรีบๆ ร้อนๆ วิ่งเข้ามา

สีหน้าเย่เฟิงเปลี่ยนหนัก ร่างกายกระตุกอย่างห้ามไม่อยู่ “เช่นนั้นท่านยายของข้าล่ะ? ถูกจับแล้วหรือยัง?”

“น่าจะ…ยัง…”

“ฟิ่ว…”

ร่างกายของเย่เฟิงกลายเป็นควันเขียวกลุ่มหนึ่ง พริบตาเดียวก็หายไปไกลหลายจั้งแล้ว

หากมิใช่เพราะยอดฝีมือของวิทยาลัยล้อมเขาอยู่ เกรงว่าเขาคงหายไปอยู่นอกเส้นสายตานานแล้ว

ผู้อาวุโสเฉินโบกมือ เอ่ยปาก “ให้เขาไปเถอะ”

ครั้นยอดฝีมือของวิทยาลัยเปิดทาง เย่เฟิงก็หายตัวไปทันที

อาจารย์ฉางไม่พอใจ เริ่มบ่นอุบอิบ

กู้ชูหน่วนหน้าขรึม กวักมือเอ่ย “เสี่ยวเซวียนเซวียน เราไปดูที่หมู่บ้านสายธารกันเถอะ”

ว่าแล้วก็ไม่รอให้เหล่าอาจารย์เห็นด้วย วิ่งเหยาะออกจากวิทยาลัยไปแล้ว

“ไม่เห็นอาจารย์อยู่ในสายตา ไม่เห็นอาจารย์อยู่ในสายตาเลย ผู้อาวุโสนักเรียนดื้อด้านเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไล่ออก”

“ถึงเวลาเรียนแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันเถอะ” ผู้อาวุโสเฉินก็ไม่อยากพูดพล่ามกับอาจารย์ฉางให้มาก ใจก็คาดเดาสาเหตุที่เย่เฟิงได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนั้นไม่หยุด

ณ หมู่บ้านสายธาร

ตอนที่กู้ชูหน่วนทั้งสามรีบไปถึง ใต้เท้าโม่ก็ส่งคนจับยายเย่แล้ว ผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านจำนวนมากต่างคุกเข่าขอร้อง แต่กลับถูกใต้เท้าโม่เตะกระเด็น

ครั้นเย่เฟิงมาถึง ก็ประคองผู้ใหญ่บ้านที่ถูกเตะกระเด็น ต้องใต้เท้าโม่ด้วยความโมโหและเย็นชา

ทันใดนั้นองครักษ์นามหนึ่งก็กรีดร้องขึ้นมา

“เป็นเย่เฟิง เขาก็คือเย่เฟิง!”

“อะไรนะ? เจ้าก็คือเย่เฟิง? เป็นเจ้าที่สังหารอาจารย์ใหญ่? เด็กๆ จับกุมมันไว้!”

แชว๊งๆๆ…

ทุกคนต่างชักดาบออกมา โดยมีใต้เท้าโม่เป็นผู้นำ

แต่ยังไม่ทันได้ดาหน้าเข้าไป กลับเห็นป้ายประกาศิตฮ่องเต้ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขาในเวลานี้

ใต้เท้าโม่ตัวสั่นพั่บ ติดอ่างเอ่ย “ป้าย…ป้ายประกาศิตฮ่องเต้…ป้ายประกาศิตทองคำที่ฮ่องเต้องค์ก่อนทิ้งไว้…”

นี่…

“ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี” ใต้เท้าโม่เข่าอ่อน ทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้น

ริมฝีปากแดงกู้ชูหน่วนเผยอเล็กน้อย โพล่งออกมาคำหนึ่งอย่างเย็นชา “ไสหัวไปซะ!”

ใต้เท้าโม่ยังอยากจะพูด แต่พอเห็นสีหน้ากู้ชูหน่วนไม่เป็นมิตร ทั้งยังมีป้ายประกาศิตฮ่องเต้อยู่กับตัว จึงได้แต่ปล่อยยายเย่พาลูกน้องทั้งหมดก้มหน้าก้มตาจากไป

“เฟิงเอ๋อ …” ยายเย่คลำทางหาเย่เฟิง

“ท่านยาย ท่านเป็นอะไรไหม บาดเจ็บหรือเปล่า?”

“เปล่า ข้าดวงแข็งจะตาย ไม่เป็นอะไรหรอก แม่นางกู้ ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณที่ท่านช่วยเราไว้อีกครั้ง”

“เรื่องเล็กน้อย”

บรรดาชาวบ้านในหมู่บ้านสายธารต่างตกตะลึง

ตะลึงที่ในมือกู้ชูหน่วนมีป้ายประกาศิต และขับไล่ใต้เท้าโม่ไปได้

และยิ่งตะลึงในฐานะของเย่เฟิง

เถ้าแก่หน้าเบี้ยวรีบถาม “เย่เฟิง พวกเขาบอกว่าเจ้าเป็นผู้ชนะอันดับสองของงานชุมนุมแข่งขันบุ๋น จริงหรือเปล่า?”

“อือ…” เย่เฟิงอือไปเบาๆ

ทั้งหมู่บ้านสายธารเตลิดกันทันที แต่ละคนไม่อยากจะเชื่อ

“เป็นเจ้าจริงหรือ? ที่เข้าร่วมงานชุมนุมแข่งขันบุ๋นได้ก็มีแต่คนใหญ่คนโต นั่นจะได้ชื่อเสียงก้องปฐพีเชียวนะ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะได้อันดับสอง”

“ท่านปู่ ข้าก็บอกแล้วว่าเป็นไปได้มากที่พี่เย่เฟิงจะเป็นเย่เฟิงที่ชนะในงานชุมนุมแข่งขันบุ๋น พวกท่านก็ไม่เชื่อข้า” เด็กชายอายุเจ็ดแปดขวบคนหนึ่งแหงนหน้ามองผู้ใหญ่บ้าน

ผู้ใหญ่บ้านตื่นเต้นจนพูดไม่เป็นภาษา เดินไปมาไม่หยุด สีมือทั้งสอง “ข้าคิดมาตลอดว่าเจ้าเหนือคน แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเอาชนะคนเก่งชายหญิงทั่วหล้า อยู่อันดับสองได้ เย่เฟิง เจ้ารู้ไหมว่านี่เป็นเกียรติขนาดไหน? ครึ่งชีวิตหลังเจ้าก็จะสบายแล้ว”