ภาคที่ 2 บทที่ 269 ตั้งแสดง

มู่หนานจือ

จงเทียนอวี่ที่นั่งอยู่ในมุมมองพลางเลิกคิ้ว

เขาเป็นคนหนุ่มที่สูงใหญ่ ผิวสีน้ำผึ้ง และพูดน้อย ไม่ได้กำลังกายกำลังใจเต็มเปี่ยมและเป็นที่สนใจเหมือนจงเทียนอี้พี่ชาย เขาชอบอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีใครสังเกตเห็นมากกว่า

บัณฑิตหนุ่มคือเกาเมี่ยวหวาหลานชายของเกาฝูอวี้กุนซือของตระกูลหลี่ ชายหนุ่มสูงอ้วนคือหม่าหย่งเซิ่งลูกชายของหม่ากุ้ยพี่น้องร่วมสาบานของหลี่ฉางชิง

หลายวันก่อนหลี่เชียนรวบรวมลูกน้องเก่าตามคำสั่งของหลี่ฉางชิง หม่ากุ้ยปฏิเสธคำเชิญของหลี่ฉางชิงทางอ้อมด้วยโรคเก่ารุมเร้า แต่กลับให้หม่าหย่งเซิ่งลูกชายคนรองพายามสามพันกว่าคนของตระกูลหม่ามาพึ่งพาอาศัยหลี่ฉางชิง หลี่ฉางชิงคิดถึงอายุของหม่าหย่งเซิ่ง จึงจัดให้หม่าหย่งเซิ่งกับกำลังคนของเขามาอยู่ใต้การนำของหลี่เชียนและรอคำสั่งไปปฏิบัติงานนอกสถานที่ เวลานี้หม่าหย่งเซิ่งจึงเรียกได้ว่าเป็นคนของหลี่เชียนแล้ว

แต่เกาเมี่ยวหวากลับผูกพันกับตระกูลหลี่เพราะท่านฝูอวี้ ตอนเขาอายุห้าขวบบิดามารดาเสียชีวิตทั้งคู่ ข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ในตระกูลพาเขากับเกาเมี่ยวหรงน้องสาวแท้ๆ ของเขามาพึ่งพาอาศัยเกาฝูอวี้ผู้เป็นอาด้วยกัน หลังจากนั้นสองพี่น้องก็เติบโตที่ตระกูลหลี่ ทว่าตระกูลเกาเป็นบัณฑิต แม้เกาฝูอวี้จะเป็นกุนซือที่ตระกูลหลี่ แต่ก็คอยควบคุมและเร่งรัดให้หลานชายเพียงคนเดียวคนนี้เรียนหนังสือตลอด สามปีก่อนเกาเมี่ยวหวาถูกเกาฝูอวี้ส่งกลับซานซีสถานที่ที่มีสำมะโนครัวอยู่ ผ่านย่วนซื่อกับเซียงซื่อแล้ว ตอนนี้เป็นจวี่เหรินหนุ่มแล้ว จึงค่อนข้างมีชื่อเสียงในหมู่ลูกหลานของตระกูลหลี่

เพราะหลี่เชียนไม่ค่อยชอบหวังไหวอิ๋นลูกศิษย์ของท่านฝูอวี้ เกาเมี่ยวหวากับหลี่เชียนจึงไม่ค่อยสนิทกันเช่นกัน

ตอนนี้ดูเหมือนเกาเมี่ยวหวากับหลี่หลินจะสนิทสนมกันมากทีเดียว

จงเทียนอวี่แอบครุ่นคิดอยู่ในใจ แล้วก็ได้ยินเสียงร้องอย่างตกใจของจงเทียนอี้พี่ชายของเขาดังมาจากห้องหนังสือที่อยู่ข้างๆ “จริงหรือ? เจ้าคงไม่ได้ดูผิดใช่หรือไม่!”

คนที่คุยกันในห้องเงียบลงทันที

แล้วเสียงที่เย็นยะเยือกเสียงหนึ่งก็ดังมาจากห้องหนังสือที่อยู่ข้างๆ “ข้ามองอย่างอื่นไม่ชัด แล้วจะดูอันนี้พลาดด้วยอย่างนั้นหรือ? เจ้าดูเสื้อกับกระโปรงของผู้หญิงคนนี้สิ ลายเส้นไหลลื่น วิธีการวาดงดงามและเป็นธรรมชาติ สีสันชัดเจน นี่เป็นวิธีวาดแบบฉบับของคนสกุลอู๋ หากภาพนี้ไม่ใช่ภาพของอู๋ซานเต้า ข้าจะตัดศีรษะของข้าลงมาเป็นจอกเหล้าให้เจ้าเลย!”

“ศีรษะน่ะไม่ต้องแล้ว!” ได้ยินเพียงจงเทียนอี้เอ่ยอย่างกระอักกระอ่วนว่า “คุณชายหลี่เป็นเจี่ยหยวน[1]ของซานซี เจ้าบอกว่านี่เป็นภาพของอู๋ซานเต้า นั่นก็ต้องเป็นภาพของอู๋ซานเต้าอย่างแน่นอน…”

ทว่าหลี่เจี่ยหยวนผู้นี้กลับไม่ปล่อยจงเทียนอี้ไป และเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าจำเป็นต้องยอมรับว่าสิ่งที่ข้าพูดมีเหตุผลเพราะชื่อเสียงของข้าเท่านั้น เจ้าไม่ได้ยอมรับว่าตนเองมีความรู้น้อย แต่เคารพนับถือผู้มีอำนาจ หากข้าไม่พูดให้ชัดเจน เจ้าจะต้องไม่ตัดใจอย่างแน่นอน เจ้าตามข้ามา เห็นตราที่ประทับอยู่ตรงนั้นหรือไม่? นั่นคือตรา ‘สามศีล’ ที่อู๋ซานเต้าแกะสลักให้ตนเองตอนวันเกิดอายุสี่สิบ ตรานี้เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญที่แยกแยะภาพของเขาว่าเป็นของจริงหรือของปลอม แล้วเจ้าดูตรานี้อีก นี่คือตรา ‘สะท้อนจันทร์’ ของหวงเหล่ยสหายคนสนิทของอู๋ซานเต้า ดูอันนี้อีก นี่คือตรา ‘กระท่อมกระจกใสสะอาด’ ของหวงเฉิงลูกชายของหวงเหล่ย ดูอันนี้อีก นี่คือตรา ‘เรือนกึ่งหิมะ’ ของลูกชายของหวงเฉิง…”

จงเทียนอี้ยอมแพ้ตั้งนานแล้ว “ข้ารู้ ข้ารู้ ภาพนี้สืบทอดกันตามลำดับ เป็นภาพจริง…”

หลี่เจี่ยหยวนผู้นั้นยังคงไม่ปล่อยจงเทียนอี้ไป และเอ่ยต่อว่า “เจ้าเห็นผีเสื้อตัวนั้นที่หยุดอยู่บนศีรษะของหญิงสาวคนนั้นหรือไม่? อู๋ซานเต้าชมตนเองว่าเป็นบุรุษรูปงาม ภาพหญิงงามทุกภาพที่เขาวาดจะมีผีเสื้อที่โบยบินอย่างผ่อนคลายและมีความสุขหลายตัวเสมอ นี่ก็กลายเป็นหนึ่งในวิธีที่แยกแยะภาพของเขาว่าเป็นของจริงหรือของปลอมเช่นกัน…”

จงเทียนอี้ขอความเมตตา “หลี่เจี่ยหยวน ข้ารู้ว่าภาพนี้เป็นของจริงแล้ว ท่านมีความรู้ล้ำลึก ข้ามีความรู้ตื้นเขิน พรุ่งนี้เป็นวันมงคลของหลี่เชียน วันนี้ทุกคนเพียงแค่ฉวยโอกาสที่พวกผู้ใหญ่ต่างดื่มเหล้าอยู่ที่เรือนด้านหน้า รวมตัวกัน ท่านว่า…วันหลังข้าค่อยขอคำแนะนำจากท่านได้หรือไม่?”

คนที่อยู่ในโถงบุปผาที่ฟังเข้าใจอดที่จะหัวเราะไม่ได้

เกาเมี่ยวหวายิ่งเอ่ยว่า “พี่เน่อหมิ่น คิดไม่ถึงว่าท่านจะอยู่ที่นี่ด้วย พวกเราแอบดื่มเหล้าไผ่เขียวที่ใต้เท้าหลี่เก็บเอาไว้อยู่ตรงนี้ ท่านอยากมาชิมสักหน่อยหรือไม่?”

“ได้สิ!” หลี่เจี่ยหยวนตอบตกลงอย่างดีใจ แล้วทยอยออกมาจากห้องหนังสือกับจงเทียนอี้ และเข้าไปในโถงบุปผา

เกาเมี่ยวหวากับหลี่เจี่ยหยวนเป็นคนที่สอบขุนนางผ่านรุ่นเดียวกัน จึงสนิทสนมกันมากกว่าคนอื่นเล็กน้อย

เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเจ้ากำลังเถียงอะไรกันหรือ? ที่ไหนมีภาพของอู๋ซานเต้า”

อู๋ซานเต้าเป็นจิตรกรในสมัยราชวงศ์ก่อน วาดภาพหญิงงามได้ไม่เป็นสองรองใคร จนถึงตอนนี้ก็ไม่เคยมีมาก่อนในอดีตและจะไม่มีอีกในอนาคต ภาพของเขาเป็นของล้ำค่าที่มีมูลค่าสูงมากแต่มีคนต้องการน้อยมาก จึงขายออกยากมาก

สายตาของหลี่เจี่ยหยวนก็จับจ้องไปที่หลี่เชียน และเอ่ยว่า “ตอนที่ข้ามาก่อนหน้านี้ ห้องหนังสือของแม่ทัพหลี่ยังเก็บหนังสือไว้เพียงเล็กน้อย ทว่าตอนที่มาเมื่อครู่ กลับพบว่าห้องหนังสือของแม่ทัพหลี่มีของเพิ่มหลายชิ้น หนึ่งในนั้นก็คือภาพหญิงงามของอู๋ซานเต้า ข้าจึงถามเด็กรับใช้ที่รับใช้อยู่ในห้อง เด็กรับใช้คนนั้นบอกว่า ผู้ติดตามของท่านหญิงเข้ามาตกแต่งเรือน…”

เกาเมี่ยวหวาสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากทันที สีหน้าเดี๋ยวก็หม่นหมองเดี๋ยวก็สดใส ครู่ใหญ่ถึงจะกลับมาเป็นปกติ และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านหญิงเป็นคนที่ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยจริงๆ ภาพของอู๋ซานเต้าก็แขวนไว้ในห้องหนังสือแบบนี้”

นี่หากตระกูลธรรมดาได้มาภาพหนึ่ง ก็ต้องเก็บรักษาเอาไว้อย่างทะนุถนอมเหมือนเป็นของล้ำค่าที่สืบทอดกันมาภายในตระกูล

เรื่องนี้ไม่เพียงแต่เป็นความคิดของเกาเมี่ยวหวา ทว่ายังเป็นความคิดของคนอื่นด้วย

แม้แต่หลี่เชียนก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าตระกูลเจียงจะตกแต่งห้องหนังสือของเขาอย่างฟุ่มเฟือยแบบนี้

หลี่เหลยลูกพี่ลูกน้องที่มีศักดิ์เป็นน้องชายและญาติห่างๆ ของหลี่เชียนก็อยากไปดู “ข้ายังไม่เคยเห็นผลงานของอู๋ซานเต้ามาก่อนเลย!”

ทุกคนต่างก็คิดเช่นนี้

จึงไปห้องหนังสือที่อยู่ข้างๆ ด้วยกัน

ห้องหนังสือไม่เพียงแต่แขวนภาพของอู๋ซานเต้าไว้บนกำแพง ทว่ายังแขวนภาพหญิงงามของหวงเหล่ยจิตรกรใหญ่ในสมัยราชวงศ์ก่อนไว้ด้วย ส่วนบนตู้หนังสือวางไหหรู่เหยาสีเขียวอมฟ้าที่สูงสามนิ้ว พระสังขจายปางไสยาสน์ขนาดเท่าฝ่ามือ ที่ทับกระดาษงาช้างแกะสลักลายบันทึกธารดอกท้อ และที่ล้างพู่กันดอกบัวหยกมันแพะเอาไว้อย่างกระจัดกระจาย…มีของหลายชิ้นเพิ่มเข้ามา ทั้งห้องหนังสือแลดูสูงส่งและงดงามเป็นอย่างมากทันที

หลี่เหลยก็ชกหลี่เชียนหมัดหนึ่ง และเอ่ยว่า “ท่านหญิงแต่งเข้ามาแล้วเจ้าต้องแนะนำให้ข้ารู้จัก ข้าจะลองถามนางสักหน่อยว่ามีลูกพี่ลูกน้องทางฝั่งบิดาหรือลูกพี่ลูกน้องทางฝั่งมารดาหรือไม่ และเป็นแม่สื่อให้ข้าได้หรือไม่!”

ลูกพี่ลูกน้องทางฝั่งบิดาของเจียงเซี่ยนคือคุณหนูของจวนเจิ้นกั๋วกง ลูกพี่ลูกน้องทางฝ่ายมารดาคือองค์หญิง

เจียงเซี่ยนไม่มีสองอย่างนี้ และคนในใต้หล้าต่างก็รู้ว่านางไม่มี

หลี่เหลยกำลังหยอกหลี่เชียนเล่นอย่างไม่ต้องสงสัย

ทุกคนหัวเราะ

จงเทียนอวี่ยังคิดว่าหลี่เชียนจะลำบากใจ ใครจะรู้ว่าหลี่เชียนไม่ใส่ใจแม้แต่นิดเดียว และยิ้มพลางเอ่ยอย่างใจกว้างว่า “เจ้าบอกช้าไปแล้ว ท่านหญิงมีพี่น้องคนหนึ่งที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก แต่ถูกเฉิงเอินกงแต่งไปก่อนแล้ว”

หลี่เหลยทำท่าร้องไห้ด้วยความเสียใจ

ทุกคนหัวเราะกันอีกครั้ง

หลี่ไท่หัวหน้าพ่อบ้านของตระกูลหลี่มาเชิญทุกคนไปกินอาหารมื้อดึกที่เรือนตะวันออกด้วยกัน

ทุกคนเห็นว่าดึกมากแล้ว ไม่อาจรบกวนการพักผ่อนของหลี่เชียนได้อีก จึงพูดคุยพลางหัวเราะและตามหลี่ไท่ไปที่เรือนตะวันออก

หลี่เจี่ยหยวนมีสมญานามว่าเน่อหมิ่น ชื่อหนิง เป็นลูกชายของหลี่ขุยเจ้าเมืองไท่หยวน

ก่อนหน้านี้เขาไม่ค่อยสนิทกับหลี่เชียนนัก ครั้งนี้เป็นเพราะบิดาเป็นพ่อสื่อของหลี่เชียน และมารดาก็ถูกตระกูลหลี่เชิญมาเป็นเฉวียนฝูเหริน ช่วงนี้ทั้งสองตระกูลจึงสนิทสนมกันเล็กน้อย เขาถึงตามบิดามารดามาดื่มเหล้ามงคล

ทว่าเวลานี้สีหน้าของเขากลับร้อนรนเล็กน้อย เขาลากหลี่เชียนเดินไปหน้าสุด และเอ่ยว่า “จงเฉวียน ข้ามีคำขอที่ไม่สมเหตุสมผลข้อหนึ่ง…ในสินเดิมของท่านหญิงน่าจะมีหนังสือหายากกับผลงานที่มีชื่อเสียงเยอะมากใช่หรือไม่? ถึงเวลานั้นบอกท่านหญิงว่าให้โอกาสข้าชมสักครั้งได้หรือไม่”

หลี่เชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นั่นเป็นสินเดิมของท่านหญิง ข้าไม่กล้าตบอกและบอกว่าได้อย่างแน่นอน แต่ข้าจะบอกท่านหญิงให้”

“ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว!” หลี่หนิงเอ่ยหลายครั้งอย่างดีใจจนออกนอกหน้า

ทว่าเกาเมี่ยวหวากับหลี่หลินกลับค่อยๆ เดินช้าลง จนค่อยๆ อยู่รั้งท้ายของกลุ่มคน

———————————-

[1] เจี่ยหยวน ผู้สอบขุนนางระดับเซียงซื่อได้ที่ 1