ภาคที่ 2 บทที่ 268 เมื่อวานซืน

มู่หนานจือ

มนุษย์ทองคำ!?

เจียงเซี่ยนมองเจียงลวี่อย่างเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม และเอ่ยเสียงเบาว่า “ทั้งหมดเป็นเพราะพวกท่านทำให้ข้ากลายเป็นมนุษย์ทองคำในสายตาคนอื่น!”

เจียงลวี่เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “มนุษย์ทองคำไม่ดีตรงไหน? คนอื่นอยากเป็นมนุษย์ทองคำยังเป็นไม่ได้เลย? อย่างน้อยเป็นแบบนี้ หลี่เชียนชื่อเสียงโด่งดังแล้ว ใครๆ ก็รู้ว่าเขาเป็นลูกเขยของตระกูลเจียงแล้ว”

ทว่าคนของตระกูลเจียงก็ไม่ได้เป็นง่ายขนาดนั้นเช่นกัน

นึกถึงตอนนั้น เจียงหานก็เป็นเพราะแซ่เจียง จึงถูกคนวางหลุมพราง หลอกให้เขาจ่ายเงินจำนวนมากซื้อกำไลแขนหยกมันแพะสมัยราชวงศ์ฮั่นปลอมคู่หนึ่งเป็นของขวัญวันเกิดให้นาง ยังดีที่ตอนนั้นเมิ่งฟางหลิงดูออก จึงแอบรับไว้ ไม่อย่างนั้นครั้งนั้นเจียงหานก็คงเสียหน้ามาก

เจียงเซี่ยนอดที่จะถอนหายใจไม่ได้

ฮูหยินฉี ไป่เจี๋ย และฉิงเค่อกลับมาแล้ว

พี่น้องสกุลฉีติดตามอยู่หลังฮูหยินฉี พอเห็นเจียงลวี่ ทั้งสองคนก็หน้าแดงก่ำ และก้มหน้าหลบอยู่หลังฮูหยินฉีอย่างเขินอายปนขลาดกลัว

เจียงเซี่ยนอึ้งไป และคิดว่าอย่างไรก็ต้องหาสามีที่ถูกใจให้พี่น้องสกุลฉีเร็วหน่อย นางยังหวังมากว่าเจียงลวี่จะได้แต่งงานกับคนที่รักเหมือนชาติก่อน

ฮูหยินฉีเล่าเรื่องที่ไปปูเตียงที่ตระกูลหลี่ให้เจียงเซี่ยนกับเจียงลวี่ฟัง “ห้องหอของท่านหญิงอยู่ที่เรือนตะวันตก กว้างสามห้องแบ่งพื้นที่ออกเป็นสี่ส่วน ส่วนที่สองเป็นห้องหลัก ห้องนอนอยู่ที่ห้องตะวันออก ห้องตะวันตกเป็นห้องหนังสือของท่านหญิง ห้องโถงใหญ่เป็นห้องพักผ่อน ระหว่างส่วนที่สองกับส่วนที่สามมีสวนดอกไม้เล็กๆ ดังนั้นจึงจัดส่วนที่สามเป็นโถงบุปผากับห้องอุ่น ส่วนที่สี่ชั้นบนเป็นห้องเก็บของ ชั้นล่างเป็นที่อยู่ของพวกไป่เจี๋ยกับฉิงเค่อ ข้าเห็นว่าสถานที่ของทางนั้นล้วนไม่ใหญ่นัก ห้องเก็บของไม่ค่อยพอใช้ จึงปรึกษากับฮูหยินเหอ ไว้ผ่านไปร้อยวันแล้ว จะส่งของที่ใหญ่และหนักอย่างฉากกั้นไม้กฤษณากับพวกเครื่องเรือนกลับไปเก็บที่ห้องเก็บของของบ้านเก่าที่เฝินหยางก่อน แล้วต่อไปค่อยย้ายกลับมาตอนที่มีโอกาสขยายคฤหาสน์” พอเอ่ยถึงตรงนี้ นางก็ยิ้มและเอ่ยว่า “ฟังจากน้ำเสียงของฮูหยินเหอ นางอยากซื้อบ้านสองหลังที่อยู่ข้างๆ พร้อมกันมานานแล้ว แต่คนอื่นไม่อยากซื้อ เรื่องนี้จึงจำเป็นต้องปล่อยไปก่อน ทว่าใต้เท้าหลี่ก็บอกแล้วเช่นกันว่า เพราะตระกูลของพวกเขารีบแต่งลูกสะใภ้ เรื่องบางเรื่องจึงไม่เป็นธรรมกับท่านหญิง ไว้ผ่านไปสักระยะ ใต้เท้าหลี่คิดว่าจะซื้อที่ดินแปลงหนึ่งและสร้างบ้านที่ใหญ่หน่อยทางทิศตะวันตกของเมือง ถึงเวลานั้นของของท่านหญิงก็ไม่ต้องกังวลว่าจะวางไม่พอแล้ว”

เรื่องที่มีเงินและอำนาจก็สามารถทำได้ ล้วนไม่ใช่เรื่องยากในสายตาของเจียงเซี่ยนกับเจียงลวี่ จะบ้านหลังใหญ่หรือบ้านหลังเล็กพวกเขาก็อยู่ทั้งนั้น ขอเพียงอยู่สบายก็พอแล้ว ดังนั้นทั้งสองคนจึงแค่ฟังอย่างเงียบๆ และไม่มีความเห็นแย้งกับสิ่งที่ตระกูลหลี่ทำ

ฮูหยินฉีเห็นแล้วก็ดื่มชาอึกหนึ่ง และเอ่ยต่อว่า “ห้องหลักข้าทำตามที่แม่นมเมิ่งมอบหมายมาก่อนหน้านี้ ตกแต่งด้วยสิ่งของที่ท่านหญิงใช้ประจำ ห้องหนังสือ ห้องรับแขก และห้องโถงใหญ่ของเรือนด้านหน้าเป็นสถานที่ที่แม่ทัพหลี่ใช้ประจำ ก็ฝากให้เซี่ยหยวนซีผู้ช่วยที่อยู่ข้างกายแม่ทัพหลี่จัดแล้ว แต่ข้ายังคงทำตามคำสั่งของฮูหยินฝาง ส่งพวกของโบราณล้ำค่าไปให้เรือนด้านหน้าตั้งแสดง…”

ใช้เวลาหนึ่งก้านธูป ฮูหยินฉีถึงจะเอ่ยเรื่องราวทั้งหมดชัดเจน

เจียงลวี่ก็รินชาให้ฮูหยินฉีด้วยตนเอง “ลำบากท่านแล้ว! ท่านกินอาหารเย็นหรือยัง? จะให้ข้าสั่งให้ห้องครัวจัดอาหารเย็นที่นี่หรือไม่”

“พวกเจ้าไม่ต้องห่วงข้า” ฮูหยินฉีเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ารับที่ตระกูลหลี่มาแล้ว” นางพูดไปก็หาวอย่างเหนื่อยล้า

เพราะจำเป็นต้องมาถึงไท่หยวนก่อนต้นยามอู่ เช้าวันนี้พวกเขาจึงตื่นและรีบออกเดินทางตั้งแต่ยามอิ๋น

เจียงลวี่รีบเอ่ยว่า “ท่านอา รีบกลับไปพักที่ห้องเถอะ! ดูแลสุขภาพด้วย”

พรุ่งนี้เจียงเซี่ยนขึ้นเกี้ยว ฮูหยินฉียังต้องส่งตัวเจ้าสาวแทนคนในครอบครัวของเจียงเซี่ยนอีก

ฮูหยินฉีเหนื่อยล้าจริงๆ จึงไม่เกรงใจ นางเอ่ยสองสามคำก็บอกลาพร้อมกับพี่น้องสกุลฉี

เจียงเซี่ยนก็เตือนเจียงลวี่ว่า “ท่านลุงใหญ่บอกแล้วว่า ท่านไม่ต้องแต่งงานเร็วขนาดนั้น ท่านก็อย่าได้พัวพันกับสตรีอย่างคลุมเครือเชียว แบบนี้จะทำร้ายคนที่สุด”

“ข้ายังต้องให้เจ้าบอกหรือ!” เจียงลวี่เอ่ย จะเห็นได้ว่าก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้ตัวเลยเช่นกัน “พวกเราทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่คบหากันมาหลายรุ่น เรื่องนี้หากไม่ระวังก็จะทำให้ทั้งสองตระกูลแตกหักกันและกลายเป็นศัตรูกัน ควรทำอย่างไร ข้ารู้อยู่แก่ใจ”

“เช่นนั้นก็ดี!” เจียงเซี่ยนคุยกับเจียงลวี่พักหนึ่ง เจียงลวี่คิดอยู่ตลอดเวลาว่าพรุ่งนี้เป็นวันแต่งงานของนาง จึงกำชับให้นางพักผ่อนเร็วหน่อย และกลับไปห้องพักแขกที่ตนเองอยู่

เจียงเซี่ยนนอนไม่หลับเลย จึงเรียกไป่เจี๋ยกับฉิงเค่อมาคุย และถามถึงสถานการณ์ของตระกูลหลี่ของพวกเขา

ส่วนหลี่เชียนถูกเหล่าพี่น้องในตระกูลลากมาดื่มเหล้าในโถงบุปผาเล็กที่ลานด้านหน้าของห้องหอของเขา

หลี่หลินลูกพี่ลูกน้องที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายของเขาทำเสียงจุ๊ปากและเอ่ยว่า “ครั้งนี้อารองคงดีใจจริงๆ! เจ้าดูสิ ยังตั้งใจตั้งห้องครัวเล็กที่เรือนของพวกเจ้าโดยเฉพาะด้วย พวกเราพี่น้องโตมาขนาดนี้ แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าชอบกินก็กิน ไม่ชอบกินก็หิวไป หิวมากแล้ว ก็จะกินอย่างแน่นอน ท่านหญิงแต่งเข้ามาก็ดูแลอย่างดี!”

หลี่เชียนไม่ชอบฟังเขาว่าเจียงเซี่ยนแบบนี้ และหลายวันนี้ญาติกับเพื่อนของตระกูลหลี่ต่างก็อยู่ที่นี่ หากคำพูดเหล่านี้ทำให้เจียงเซี่ยนเสื่อมเสีย นั่นก็ยิ่งได้ไม่คุ้มเสียแล้ว

เขาเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ห้องครัวเล็กนี้ข้าเป็นคนให้ท่านพ่อทำ ท่านหญิงเติบโตในวังฉือหนิงตั้งแต่เด็ก ตอนที่ข้าเป็นขุนนางเล็กๆ ในพระราชวังต้องห้ามก็รู้ว่า เพราะท่านหญิงคลอดก่อนกำหนด ตอนที่ฝ่าบาทพระองค์ก่อนอยู่จึงตั้งห้องครัวเล็กในวังฉือหนิงให้ท่านหญิง อาหารในวังฉือหนิงห้องครัวเล็กเป็นคนจัดให้ ห้องเครื่องแค่ส่งพวกเนื้อไก่ เป็ด และปลาที่จัดการเรียบร้อยแล้วไปให้เท่านั้น และทุกครั้งที่ถึงเวลาเปลี่ยนฤดู หมอหลวงจากสำนักหมอหลวงก็จะตรวจชีพจรปกติให้ท่านหญิง ห้องครัวเล็กถึงจะกล้ากำหนดรายการอาหาร ดังนั้นสินเดิมของท่านหญิงในครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่มีทอง เงิน ไข่มุก และอัญมณี ทว่ายังมีมือหนึ่งของวงการแพทย์แผนจีนด้วย พวกเจ้าอาจจะมองว่าฟุ่มเฟือยมาก แต่สำหรับท่านหญิง นั่นเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิต ไม่มีสิ่งเหล่านี้ นางก็จะไม่ค่อยชิน เหมือนเวลาที่พวกเราดื่มน้ำไม่ใช่ถ้วยและต้องใช้มือประคอง”

ทุกคนได้ยินก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก

หน้าตาของหลี่หลินยิ่งฉายแววกระอักกระอ่วน

ชายหนุ่มผอมสูงที่สวมชุดดำและแต่งตัวเป็นบัณฑิตคนหนึ่งในนั้นเห็นสถานการณ์ก็รีบยิ้มและเอ่ยว่า “ดูเหมือนท่านพี่จงเฉวียนจะถูกใจท่านหญิงมากทีเดียว! เหวินจี้เอ่ยประโยคเดียว จงเฉวียนก็ตอบมายาวขนาดนี้ ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า จงเฉวียนที่เย็นชาของพวกเราจะมีวันที่รู้จักปกป้องผู้หญิงเหมือนกัน!”

คนที่อยู่ในห้องได้ยินแล้วต่างก็รู้ว่าเขากำลังแก้หน้าให้หลี่หลิน ทุกคนจึงหัวเราะออกมาอย่างประจบประแจง และหยอกหลี่เชียนเล่นว่า “เจ้าไม่บอกพวกเราก็ไม่รู้เหมือนกันนี่นา! ก็เหมือนเมื่อครู่ ตู้แช่อะไรนั่น ทำอย่างประณีตและงดงามขนาดนั้น ข้ายังคิดว่าเป็นของโบราณอะไรสักอย่าง ปรากฏว่าเป็นแค่ของที่ใช้สำหรับแช่เย็นผลไม้ให้ท่านหญิงตอนหน้าร้อน พวกเราไม่มีใครรู้จักสักคน!”

“ใช่แล้ว! ใช่แล้ว!” ชายหนุ่มที่ทั้งสูงและอ้วนคนหนึ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “สินเดิมของท่านหญิงในวันนี้ทำให้พวกเราเปิดหูเปิดตามากทีเดียว”

แล้วก็มีคนถามหลี่เชียนว่า “เจ้าเคยไปจวนเจิ้นกั๋วกงหรือไม่? เจิ้นกั๋วกงหน้าตาเป็นอย่างไร? ข้าได้ยินว่าเจียงลวี่ซื่อจื่อเจิ้นกั๋วกงเป็นคนที่เก่งมาก อายุสิบห้าก็น้าวธนูที่ต้องใช้แรงสองต้านได้แล้ว เป็นความจริงหรือไม่? ครั้งนี้เขาน่าจะเป็นคนมาส่งตัวเจ้าสาวใช่หรือไม่? เขาคอแข็งไหม? นิสัยดีไหม? ข้าได้ยินชื่อเสียงของเขามานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสรู้จัก งานเลี้ยงในวันพรุ่งนี้ เจ้าต้องชี้ให้ข้าดูนะ ต่อให้ชี้ให้ข้าดูไม่ได้ ตอนที่ชวนเขาดื่มเหล้า เจ้าก็ต้องยืนนานหน่อยเช่นกัน ให้ข้าจำเขาได้…”

พูดจ้อมามากมาย

ทว่าคนที่อยู่ในห้องส่วนใหญ่ต่างก็สนใจมาก และแย่งกันถามเรื่องซุบซิบนินทาของชนชั้นสูงในเมืองหลวง

หลี่เชียนอดทนตอบทีละเรื่อง สิ่งที่ควรพูดก็พูด สิ่งที่ไม่ควรพูดก็ไม่เอ่ยถึงเลย

บัณฑิตชุดดำกับชายหนุ่มสูงอ้วนนั้นต่างเป็นคนที่ไม่สนใจเรื่องนี้

คนหนึ่งมองไปทางหลี่หลิน ส่วนอีกคนก็ถือถ้วยชา และนั่งฟังพวกหลี่เชียนคุยกันอยู่ข้างๆ พลางยิ้มตาหยี

———————————-