ตอนที่ 13 จ้าวเหวินเทาโชคดีอย่างน่าเหลือเชื่อ

เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]

ตอนที่ 13 จ้าวเหวินเทาโชคดีอย่างน่าเหลือเชื่อ

จ้าวเหวินเทาไตร่ตรองถึงเรื่องแยกบ้านตลอดทางระหว่างที่กำลังเดินทางกลับบ้าน

หากต้องแยกบ้านอย่างไรก็ต้องแยก เขาไม่อยากช่วยเลี้ยงลูกของพวกพี่สะใภ้ไปพลางโดนรังเกียจไปพลางหรอก

เขาเคยลองหยั่งเชิงดูแล้ว ภรรยาของเขาก็คิดแบบเดียวกัน หากเขาแยกออกมา ภรรยาของเขาย่อมยินดีที่จะแยกบ้านไปพร้อมกับเขา คงไม่ถ่วงรั้งเขาไว้ จะเหลือก็แต่พ่อกับแม่เขาแล้ว

เขาเองก็รู้ดีว่าที่พ่อแม่ยังไม่ยอมให้แยกบ้านก็เป็นเพราะเขา เพราะหลังจากที่แยกบ้านไป เขาที่ยังไม่มีลูกหลังจากนี้ก็จะไม่มีใครช่วยเหลือ อีกอย่างหลานชายและหลานสาวที่อยู่ในห้องด้านหน้าก็เติบโตมากับครอบครัวใหญ่ ทุกครั้งที่ตัวเขาออกไปข้างนอกก็จะนำของกินกลับมาไม่น้อย หลานชายหลานสาวเหล่านี้ก็จะได้กินคนละคำด้วย

หลังจากแยกบ้านแล้วเขาก็อาจจะไม่มีใครช่วยเหลือ

เพราะหากอ้างตามกฎของที่นี่ หลังจากแยกบ้านจากพ่อแม่แล้ว พ่อแม่ก็จะกินอยู่กับลูกชายคนโต

แต่ต่อให้จ้าวเหวินเทาจะตัดสินใจออกไปอยู่กับภรรยาด้วยตัวเอง แบบนี้เขาก็ยังเป็นลูกที่กตัญญูได้ อีกอย่างพวกเขาสองสามีภรรยาก็ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว สามารถทำงานไปด้วยแล้วก็เลี้ยงลูกไปด้วยได้

ภรรยาของเขาขี้บ่นแบบนั้นเกรงว่าคงทำคนเดียวไม่ได้ เขาจึงวางแผนที่จะทำธุรกิจใหญ่ ถึงเวลานั้นคงไม่มีเวลาว่าง

เพราะเขามองออกว่าหลังจากนี้จะไม่มีใครกีดกันเขาในการเลี้ยงสัตว์อีกต่อไป ไม่เห็นไก่จำนวนมากของแม่ยายเขาที่กำลังฟักไข่เหรอ?

ก่อนหน้านี้ใครจะกล้าทำแบบนี้กันล่ะ แต่ตอนนี้คงไม่ใช่แบบนั้นแล้ว เขาเข้าไปในบ้านของพ่อตาและพบว่าหลังบ้านมีไก่มากมายขนาดนั้น โดยที่คนอื่นก็มองไม่เห็นด้วย ถึงเขาจะไม่เห็นแต่ก็ยังได้ยินเสียง เสียงร้องของไก่หนึ่งตัวกับไก่หนึ่งฝูงแตกต่างกันขนาดไหน ถ้าไม่ใช่คนหูหนวกก็ได้ยินกันหมดนั่นแหละ

 

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นไกล พูดถึงบ้านของหลี่เฉียจื่อที่อยู่ในหมู่บ้านของพวกเขาก็พอ หลี่เฉียจื่อคนนี้ลักลอบเลี้ยงไก่เกินจำนวนเมื่อ 7-8 ปีก่อน แต่เป็นเพราะค่านิยมของสมัยนั้นไม่อาจเทียบได้กับสมัยนี้ ดังนั้นแล้วเขาจึงถูกจับตัวไปขัง

ขาข้างนั้นถูกทุบจนหักตอนที่ถูกคุมขัง เดิมทีเขาเป็นคนที่ไม่เลว เติบโตมาด้วยการแสร้งทำเป็นสุภาพบุรุษ แต่เป็นเพราะขาข้างนั้นจึงเกือบทำให้เขาไม่มีภรรยา ทว่าท้ายที่สุดก็ได้แต่งงานกับแม่ม่ายคนหนึ่ง

จนถึงตอนนี้ในบ้านของหลี่เฉียจื่อก็ยังเลี้ยงไก่ไว้ไม่น้อยจนคนในหมู่บ้านพากันกระซิบกระซาบเป็นการส่วนตัว แต่ก็ทำได้แค่กระซิบ เพราะไม่เพียงแค่ในบ้านของหลี่เฉียจื่อ คนอื่น ๆ ก็เลี้ยงไว้เยอะเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ทางฝั่งของพวกเขามีกฎในการจำกัดจำนวนเลี้ยงไก่แต่ละครัวเรือน ไม่อนุญาตให้เลี้ยงเกินกว่าจำนวนที่กำหนด แต่มาถึงตอนนี้ล่ะ? ทุกคนต่างเลี้ยงกันในจำนวนมาก จนเป็นที่เข้าใจกันได้โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมา

 

ยกตัวอย่างเช่นบ้านแม่ของเขาที่ปีนี้มีความกล้าเลี้ยงเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ก็มีแค่ 8 ตัวเท่านั้น ช่วงที่ออกไข่จำนวนมากก็ออกไข่มาได้ 5-6 ฟองในหนึ่งวัน ทว่าคนในบ้านมีเยอะขนาดนั้น มันจะไปพออะไร?

แต่พ่อแม่ของเขาก็เก็บไว้ตลอดทั้งชีวิต จ้าวเหวินเทาจึงไม่ได้พูดอะไร อย่างไรก็ตามเขารู้สึกอยากแยกบ้านจริง ๆ ไม่แยกคงไม่ได้

 

ขณะที่จ้าวเหวินเทากำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องแยกบ้าน เพื่อนบ้านก็นำเรื่องที่เขาหิ้วปลาตัวอ้วนใหญ่ไปให้แม่ยายไปบอกกับพี่สะใภ้สี่จ้าว

พี่สะใภ้สี่จ้าวรู้สึกจุกอยู่กลางอกโดยพลัน!

“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่มีใครเหมือนกับตระกูลจ้าวของพวกเธอหรอก ลูกชายลูกสาวโตขนาดนี้แล้ว แถมยังเป็นฝั่งเป็นฝากันหมดแล้วด้วย แต่กลับไม่ยอมแยกบ้าน นี่คิดจะทำอะไร จะให้พวกเธอเลี้ยงดูสองสามีภรรยาเด็กคู่นั้นต่อไปเรื่อย ๆ เลยเหรอ?” สะใภ้ใหญ่ของเพื่อนบ้านซุบซิบนินทาราวกับเป็นเดือดเป็นร้อนแทน

พี่สะใภ้สี่จ้าวไม่ได้อยากแยกบ้าน เพราะหล่อนก็ไม่ได้ดีไปกว่าพี่สะใภ้ทั้งสองคน ตอนนี้ภายในบ้านก็มีแค่ลูกสาวสองคนที่เป็นตัวขาดทุน หล่อนแยกบ้านไปก็เท่ากับเสียเปรียบอย่างหนักไม่ใช่เหรอ?

แต่หล่อนเองก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน จึงกล่าวว่า “พ่อกับแม่ก็อยากให้ทุกคนสามัคคีปรองดองกัน ซึ่งเรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึงเลย ติดแค่น้องสามีคนเล็กคนนั้นของฉันนี่แหละ ทุกคนต่างก็รู้ว่าพ่อแม่ของฉันลำเอียงมาโดยตลอดไม่ใช่เหรอ พอพวกเขาสองสามีภรรยาแต่งงานกัน ก็ลำเอียงรักแต่น้องสามีกับน้องสะใภ้”

ถึงปากจะพูดว่าสามัคคีปรองดองกัน แต่ในคำพูดนี้กลับกลายเป็นความปากหวานก้นเปรี้ยว

 

“เขาไปส่งของนั่นซะเร็วเชียวนะ ก่อนหน้านี้มีของดีเก็บไว้ให้บ้านตัวเองกินแล้วสิท่า? ฉันจำได้ว่าช่วงเก็บเกี่ยวฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงของทุกปี คนอื่นต่างก็หากระต่ายป่าไม่ได้ แต่น้องสามีคนเล็กของเธอไม่รู้ว่าไปโชคดีมาจากไหน กระต่ายพวกนั้นวิ่งมาอยู่ข้างเท้าเขา ข้างละตัวเลย” พี่สะใภ้ข้างบ้านพูด

พี่สะใภ้ใหญ่ข้างบ้านที่พูดซุบซิบนินทาได้เกิดความอิจฉาเสียแล้ว เพราะในปีนั้นทุกคนต่างก็ยากจนแร้นแค้น บ้านใครจะมีเนื้อให้กัดหนึ่งคำกันล่ะ?

ตอนเก็บเกี่ยวช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงเป็นช่วงเกี่ยวข้าวสาลีไม่ใช่หรือ ดังนั้นมันจึงมีสัตว์ป่าบางส่วนออกมาจากพื้นดินด้วย

สัตว์ป่าเหล่านี้ใครจับได้ก็เป็นของคนนั้น ใครมีความอดทนก็ได้กินเนื้อ

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่บ้านคนอื่นจะจับกระต่ายหรือไก่ฟ้า ถึงจับได้ก็ไม่มากเหมือนกับตระกูลจ้าว

คนอื่น ๆ ในตระกูลจ้าวและคนทั่วไปไม่ได้มีความสามารถนั้น แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไร น้องหกแห่งตระกูลจ้าวถึงได้โชคดีอย่างน่าเหลือเชื่อ เพราะสัตว์ป่าเหล่านั้นต่างก็โผล่ออกมาทางฝั่งเขาทั้งหมด

เป็นเหตุให้เขาจับพวกมันได้และได้เนื้อกลับไปกินที่บ้านไม่ใช่เหรอ?

  

ทุกคนที่ผ่านการเก็บเกี่ยวช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงต่างก็เหนื่อยแทบทนไม่ไหวจนสายตัวแทบขาด แต่ผู้ใหญ่และเด็ก ๆ ของตระกูลจ้าวกลับมีสีหน้าดูดีมากขึ้นทุกครั้งที่การเก็บเกี่ยวช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงมาถึง!

กลิ่นหอมของหมูสามชั้นผัดน้ำแดงทำให้เด็กในหมู่บ้านต้องร้องไห้เพราะความอยากกิน

ทว่าคุณแม่จ้าวเองก็อยู่เป็น นางจัดการส่งเนื้อบางส่วนไปให้พี่น้องของคุณพ่อจ้าว พวกลุง ๆ ที่ได้รับความเคารพยกย่องภายในตระกูล รวมถึงพี่ชายของคุณแม่จ้าวด้วย

ดังนั้นต่อให้มีคนแอบอิจฉาตาร้อนเป็นการส่วนตัว แต่มันก็ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้โชคไม่ดีเองล่ะ? ยังจะโทษใครได้อีก

แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่คนนอกรู้ ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเรื่องที่คนนอกไม่รู้ด้วยเช่นกัน

เพราะเจ้าหกคนนี้ก็หิ้วปลากลับมาที่บ้านไม่น้อย ซึ่งเป็นปลาตัวใหญ่ทั้งหมด ไม่รู้ว่าเขาไปตกกลับมาจากที่ไหน

แต่วันนี้คนที่บ้านคงไม่ได้กินแล้ว เพราะเขามีความกตัญญูนำไปมอบให้แม่ยายของตัวเอง ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งเอาไปให้หนึ่งตัว คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะเอาไปให้อีกหนึ่งตัว ช่างเป็นลูกเขยที่ดีเสียเหลือเกิน!

ครั้นนึกถึงสามีโง่เง่าของตัวเอง พี่สะใภ้สี่จ้าวก็รู้สึกร้องไห้ไม่ออกอย่างฉับพลัน เมื่อเทียบกับอีกคนแล้วมันน่าโยนทิ้งจริง ๆ!

แต่พี่สะใภ้สี่จ้าวก็ยังไม่หายอึดอัดใจ ดังนั้นจึงมากระซิบเรื่องนี้กับพี่สะใภ้สามจ้าว “วันนี้เขาดันคิดถึงบ้านพ่อตาตัวเองขึ้นมา ก็เลยกระตือรือร้นเอาของไปให้เพื่อเอาอกเอาใจ แต่บ้านตัวเองกลับไม่สนใจใยดี!”

“ในบ้านก็ยังมีไม่ใช่เหรอ” พี่สะใภ้สามจ้าวพูด หล่อนกดน้ำเสียงให้เบาลง เพราะด้านนอกยังมีคนอื่นอยู่

วันนี้น้องสามีคนเล็กก็เพิ่งจับกระต่ายกลับมาได้หนึ่งตัวไม่ใช่เหรอ? แถมมันยังตัวอ้วนขนาดนั้น พอตอนบ่ายก็ตกปลาตัวอ้วนมาได้อีกตัวหนึ่ง เอาไปให้พ่อตาแม่ยายก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย

 

พี่สะใภ้สามจ้าวนึกถึงกระต่ายอ้วนตัวนั้นก็ยังรู้สึกดีใจ เพราะนั่นน่ะเนื้อทั้งหมดเลยนะ

ในใจหล่อนก็ฉุกคิดถึงเรื่องแยกบ้านตามที่สามีพูด ต่อให้หล่อนเองจะเห็นด้วย แต่ลึก ๆ ก็อดทำใจไม่ได้เหมือนกัน ถ้าแยกบ้านไปแล้ว หลังจากนี้ก็คงไม่ได้กินเนื้อที่น้องสามีคนเล็กจับมาแล้วน่ะสิ

วันนี้หล่อนมาชั่งใจอีกครั้ง ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรหากไม่แยกบ้าน แต่สามีของหล่อนนี่สิอยากแยกบ้านมาก เพราะคิดว่าน้องสามีและภรรยาของเขาได้กินของดีโดยไม่ยอมทำอะไร ซึ่งอันที่จริงมันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น เพราะการจับเนื้อกลับมาที่บ้านได้เป็นประจำนั้นเป็นความสามารถที่ใช่ว่าคนทั่วไปจะทำได้

พี่สะใภ้สี่จ้าวกลอกตาใส่หล่อน “เถี่ยต้าน หลูต้าน หม่าต้านก็โตกันหมดแล้ว ต้องกินบำรุงให้เยอะ ๆ หน่อยถึงจะสูงใหญ่ แต่เขากลับเอาไปให้ตระกูลเย่ ซึ่งตระกูลเย่เองก็ไม่ได้ขาดแคลนของกินสักหน่อยนี่คะ อีกฝ่ายฐานะดีจะตายไป!”

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

คนจับไม่เดือดร้อน คนไม่ได้จับกลับเดือดร้อนแทนซะงั้น เช่นนั้นก็แยกบ้านไปให้จบเรื่องเถอะค่ะ

ไหหม่า(海馬)