ตอนที่ 14 วางแผนสำหรับอนาคต

  

เถี่ยต้านและหลูต้านเป็นลูกชายของสะใภ้รองจ้าว ส่วนหม่าต้านเป็นลูกชายของสะใภ้สามจ้าว แต่สะใภ้สี่จ้าวกลับรักพวกเขาจริง ๆ เพราะหล่อนเองก็อยากมีเป็นของตัวเองบ้าง ใครใช้ให้หล่อนโชคไม่ดีคลอดซานหยากับซื่อหยาที่เป็นตัวขาดทุนออกมากันล่ะ?

ตอนนี้หล่อนไม่มีที่ยืนภายในบ้านเลย พูดอะไรไปก็ไม่มีใครฟัง มันเป็นเพราะหล่อนไม่มีลูกชายอยู่ข้างกายไม่ใช่เหรอ?

ดังนั้นสะใภ้สี่จ้าวจึงถอนวัชพืชไปพลางบ่นพึมพำไปพลาง “ตอนนี้ก็รีบร้อนเอาปลาไปให้ขนาดนี้แล้ว หลังจากนี้ของดี ๆ จะไม่ถูกย้ายไปฝั่งนั้นหมดเหรอ? มองไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าน้องสะใภ้หกจะมีความสามารถแบบนี้ ฉันว่าหล่อนพูดอะไรไปน้องสามีหกก็คงฟังทุกอย่าง”

สะใภ้รองจ้าวที่อยู่ข้าง ๆ ก็ได้ยิน หล่อนก็แอบรู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน

หล่อนที่เป็นลูกสะใภ้คนโตจะพูดอะไรได้? สามีของหล่อนไม่ได้อยากแยกบ้านขนาดนั้น ถึงหล่อนอยากแยกบ้าน แต่หล่อนก็ไม่กล้าพูดเอง ไม่เช่นนั้นหลังจากนี้หล่อนจะอยู่ในหมู่บ้านได้อย่างไร?

ทว่าการใช้ชีวิตแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะแอบรู้สึกอึดอัดใจอยู่ดี

ยกตัวอย่างเช่นตอนที่พวกหล่อนทำงานเสร็จแล้วกลับไปที่บ้าน ก็เห็นน้องสามีหกกำลังนั่งแทะข้าวโพดอยู่หน้าประตูบ้าน

ทุกคนต่างก็ออกไปทำงานกันข้างนอก มีเขาที่เป็นเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวที่ได้กิน ๆ ดื่ม ๆ อยู่ในบ้าน เห็นแบบนี้แล้วจะมีใครสบายใจกัน?

ใบหน้าของสะใภ้รองจ้าวกับสะใภ้สี่จ้าวดูไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ส่วนสะใภ้สามจ้าวนั้นไม่ได้คิดมาก ครั้นได้ยินน้องสามีหกถามว่าทำไมภรรยาของเขายังไม่กลับมา หล่อนจึงพูดว่า “เมื่อกี้พี่เห็นหล่อนอยู่กับแม่เฒ่าฟาง คาดว่าอีกไม่นานก็กลับมาแล้วล่ะจ้ะ”

  

ผ่านไปครู่หนึ่งเย่ฉูฉู่ก็กลับมา เนื่องจากวันนี้เธอทำงานอย่างจริงจัง อีกอย่างอากาศช่วงนี้ก็ร้อนอบอ้าว จึงถูกแดดเผาจนใบหน้าเท่าฝ่ามือแดงก่ำไปหมด

ภรรยาซื่อบื่อคนนี้นี่ ออกไปทำงานตากแดดข้างนอกจนสภาพเป็นแบบนี้ ไม่รู้จักแอบอู้งานเอาเสียเลย

ระหว่างที่จ้าวเหวินเทากำลังคิดเช่นนี้ เขาก็พบว่าภรรยาของเขากำลังเดินตรงเข้ามา และส่งรอยยิ้มหวานหยดย้อยให้เขา นั่นทำให้จ้าวเหวินเทายิ้มตามไปด้วย

สายตาของพวกเขาทั้งสองคนอยู่ในการมองเห็นของคุณแม่จ้าวทั้งหมด ในใจนางรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง

สองสามีภรรยาคู่นี้ผ่านเรื่องราวมาด้วยกัน ความรู้สึกในตอนนี้ช่างดีเหลือเกิน คาดว่าอีกไม่นานนางคงได้เป็นคุณย่าอีกครั้งแล้ว

หลังจากทำงานมาทั้งวัน คุณแม่จ้าวก็เตรียมอาหารเย็นให้ทุกคน

 

วันนี้เนื้อที่พ่อค้าเนื้อไช่นำมาให้ถูกกินจนหมดเกลี้ยงแล้ว แน่นอนว่าตอนค่ำจึงไม่มีอะไรอร่อย ๆ ให้กิน อีกอย่างวันนี้ทั้งวันก็ได้กินเนื้อแล้วไม่ใช่เหรอ? นี่ก็ดีเกินกว่าที่คิดไว้แล้ว

ส่วนกระต่ายตัวนั้นยังตากแดดอยู่ ยังไม่ถึงเวลาที่จะได้กิน

อาหารที่ผัดในช่วงค่ำจึงใส่เพียงน้ำมันหมูหนึ่งทัพพี แต่ก็หอมกรุ่นมาก นับว่าคุณแม่จ้าวยอมเสียสละให้แล้ว

หลังรับประทานอาหารมื้อค่ำเสร็จก็ไม่มีอะไรต้องทำแล้ว

จ้าวเหวินเทาตะโกนเรียกเย่ฉูฉู่ที่กำลังช่วยเก็บจานชามไปล้าง เย่ฉูฉู่ยิ้มแล้วพูดกับต้าหยาว่า “ต้าหยา พวกเธอล้างจานกันไปก่อน อีกเดี๋ยวเดินไปเอาผลไม้ป่าที่ห้องอาสะใภ้หกนะ”

ต้าหยายิ้มเขินให้เธอ ส่วนเย่ฉูฉู่ก็เดินตามออกไป

ไม่มีอะไรดีไปกว่าห้องที่อยู่ด้านหลังแล้วจริง ๆ มันค่อนข้างเป็นส่วนตัวทีเดียว สองสามีภรรยาจึงปิดประตูและรับประทานไข่ต้ม

ภายในบ้านไม่มีอาหารมัน ๆ อะไรเลยจริง ๆ

 

“วันนี้ผมไปหาแม่ยายมา ท่านเลี้ยงบะหมี่ผมถ้วยใหญ่ แถมยังใส่ไข่เจียวให้ตั้งสองฟองแน่ะ หอมสุด ๆ เลย” จ้าวเหวินเทาพูด

  

เขาคิดจริง ๆ ว่าบ้านของแม่ยายเขาต่างหากล่ะที่เรียกว่าการใช้ชีวิต บ้านของเขาใช้ชีวิตแบบนี้ นับว่ายากจนข้นแค้นเกินไปแล้ว

 

อีกอย่างตอนนี้ก็ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้แล้ว เพราะมีคนในหมู่บ้านจำนวนไม่น้อยทีเดียวที่ใช้ชีวิตดีขึ้น ทว่าบ้านของเขากลับยังย่ำอยู่กับที่ แบบนี้มันไม่ได้การ

ก่อนหน้านี้อาจเป็นเรื่องที่ว่าต่อให้ฉันยากจนแต่ฉันก็ยังภูมิใจ ต่อให้เป็นคนจนรุ่นที่สามก็ยังมีภูมิหลังทางครอบครัวที่ดี แต่ในอนาคตคนแบบนี้จะถูกคนอื่นดูถูกเอาได้

“ยังอยากแยกบ้านอยู่เหรอคะ?” เย่ฉูฉู่รับประทานไข่ไก่พลางพูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม

 

“อยากสิครับ ถ้าพวกเราแยกบ้านออกไป ต้องได้ใช้ชีวิตดี ๆ แน่นอน ภรรยา คุณเชื่อไหมครับว่าผมสามารถทำให้คุณได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้?” จ้าวเหวินเทาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“คุณกับฉันยังจะไม่ไว้ใจกันอีกเหรอคะ? ฉันแต่งงานกับคุณแล้วนะ” เย่ฉูฉู่มองเขาอย่างขุ่นเคือง

 

ครั้นเห็นสายตาเชื่อมั่นที่ดูอ่อนโยนดุจสายน้ำของภรรยา จ้าวเหวินเทาพลันคิดภายในใจว่าคงไม่ต้องพูดอะไรแล้ว มันช่างสวยงามเหลือเกิน

เขากระซิบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คุณคิดว่าหลังจากนี้พวกเราเลี้ยงกระต่ายได้ไหมครับ?”

“เลี้ยงกระต่าย? ได้สิคะ กระต่ายคลอดลูกเร็วนะ” เย่ฉูฉู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและตอบเสียงเบา

จ้าวเหวินเทามีดวงตาเป็นประกาย สมกับที่เป็นภรรยาของเขาจริง ๆ เธอคิดเหมือนกับเขาเลย

กระต่ายคลอดลูกเร็วไม่ใช่เหรอ?

หลังกระต่ายคลอดลูกครอกแรกเพียงหนึ่งเดือนมันก็คลอดลูกครอกที่สองออกมาได้แล้ว กระต่ายหนึ่งครอกมีลูกกระต่ายหลายตัว เมื่อลองคำนวนดูแล้ว ในระยะเวลาหนึ่งปีเขาก็จะมีธุรกิจกระต่ายขนาดเล็กได้

“แต่ไม่มีที่เลี้ยงนี่สิคะ” เย่ฉูฉู่พูดความจริง

การเลี้ยงกระต่ายจำเป็นต้องมีสถานที่ แต่ตอนนี้ทุกคนอาศัยอยู่ร่วมกัน แล้วจะเลี้ยงได้อย่างไร?

  

“อีกอย่างกระต่ายคู่แรกก็จำเป็นต้องใช้เวลาครึ่งปีจึงจะคลอดกระต่ายน้อยออกมา ระยะเวลาครึ่งปีนี้พวกเราจะทำมาหากินอะไรล่ะคะ?” เย่ฉูฉู่พูดอีกครั้ง

จ้าวเหวินเทารีบกล่าว “ภรรยา คุณสบายใจได้เลย ถ้าพวกเราแยกบ้านแล้ว ผมจะขนของส่วนหนึ่งเข้าไปขายในเมือง ถึงเวลานั้นต้องขายออกหมดแน่นอน!”

“นั่นก็เท่ากับว่าเป็นการขายเก็งกำไรน่ะสิคะ?” เย่ฉูฉู่อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา

 

“ก่อนหน้านี้ผมก็กังวลอยู่ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้วล่ะ ถ้ามีคนมาถาม ผมก็จะบอกว่าเอาของไปให้พี่สาวห้า เพราะตัวหล่อนก็อยู่ในเมือง!” จ้าวเหวินเทาพูด

เรื่องพวกนี้เขาได้วางแผนไว้แล้ว สามารถพูดได้ว่าทุกอย่างพร้อมพรัก ขาดก็แต่ลมบูรพา[1]

เขาวางแผนที่จะเลี้ยงกระต่าย เมื่อกระต่ายโตก็สามารถนำเข้าสู่ตลาดได้ไม่ใช่เหรอ? ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาย่อมอยากไปสัมผัสสักหน่อย

อันที่จริงเขาก็เคยได้สัมผัสมาก่อนแล้ว ตอนเข้าไปในเมืองเพื่อขายโสม เขาก็ไม่ได้เข้าไปขายโสมป่าในเมืองเฉย ๆ แต่ยังเตร็ดเตร่ไปยังสถานที่แห่งอื่นด้วย โดยเฉพาะตรงหน้าทางเข้าโรงภาพยนตร์ ก็มีคนถือตะกร้าแกล้งถามทางอยู่เช่นกัน ซึ่งความจริงแล้วในตะกร้านั้นเต็มไปด้วยเมล็ดทานตะวัน ถั่วลิสงและอื่น ๆ ครั้นถามทางแล้วก็พากันหลบเข้ามุมและแลกเปลี่ยนสินค้ากัน

 

แน่นอนว่าคนที่ทำส่วนใหญ่ล้วนเป็นเยาวชน โดยที่บรรดาสายตรวจก็แกล้งทำเป็นปิดตาข้างหนึ่ง แต่จ้าวเหวินเทากลับเห็นทั้งหมด

เขามีประสาทสัมผัสที่ว่องไวเป็นอย่างมากจึงได้เห็นลู่ทางแบบนั้น

ดังนั้นเรื่องแยกบ้านจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ

หากเป็นแบบนี้เขาก็ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำได้แล้ว

“เรื่องแยกบ้านมันก็ได้อยู่หรอกค่ะ แต่ฉันคิดว่าตามความหมายของคุณพ่อคุณแม่แล้ว คาดว่าพวกท่านคงอยากช่วยพวกเรา ดังนั้นจึงไม่พูดถึงเรื่องแยกบ้าน” เย่ฉูฉู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ภรรยา ถ้าพวกเราจะแยกบ้านจริงๆ ให้พ่อกับแม่ไปอยู่กับพวกเราได้หรือเปล่า? ถึงเวลานั้นผมจะสร้างบ้านให้ใหญ่ ๆ ไม่เป็นการรบกวนคุณแน่นอน” จ้าวเหวินเทากล่าว

 

“การกตัญญูต่อบุพการีเป็นสิ่งพึงกระทำ ฉันไม่คัดค้านอยู่แล้วล่ะค่ะ แต่กฎของพวกเราคือพ่อแม่ต้องอยู่กับลูกชายและลูกสะใภ้ใหญ่ ถ้าหากคุณพ่อกับคุณแม่มาอยู่กับคุณ คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกคนในหมู่บ้านพูดถึง แล้วพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะคะ” เย่ฉูฉู่พูด

  

จ้าวเหวินเทาเองก็เข้าใจดี “เรื่องนี้ผมจะหาวิธี ถ้าคุณไม่มีความเห็นอะไร ถึงเวลานั้นผมจะพูดแล้วนะ?”

เย่ฉูฉู่พยักหน้า การกตัญญูต่อบุพการีคือคุณธรรมอันสูงส่ง ให้คุณพ่อและคุณแม่มาอยู่ด้วยเธอจะติดขัดอะไรล่ะ เธอเองก็พอจะมองออกว่า ไม่ใช่เรื่องยากในการดูแลปรนนิบัติพ่อและแม่สามีคู่นี้เลย

 

“ภรรยาของผมช่างแสนดีเหลือเกิน” จ้าวเหวินเทาอดไม่ได้ที่จะยื่นหน้าเข้ามาหอมแก้มชมพูนุ่ม ๆ ของภรรยาตนเอง

เย่ฉูฉู่หน้าแดงระเรื่อ

แต่ภายในใจของเธอก็นึกเห็นด้วย เพราะระหว่างทางที่กลับบ้านเธอก็ได้ยินข่าวลือบางอย่าง มีคนมาพูดให้เธอฟังว่าพี่สะใภ้สี่ไม่พอใจเป็นอย่างมากที่จ้าวเหวินเทานำปลาไปให้แม่ของเธอ ทำเป็นแสดงออกอย่างประจบสอพลอว่าไว้สำหรับกินดื่มในบ้าน แต่แล้วก็ขนของกลับไปที่บ้านแม่ของเธอ ทั้งหมดก็เป็นเพราะความลำเอียงของคุณแม่จ้าว!

เย่ฉูฉู่ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้จ้าวเหวินเทาฟังก็จริง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าในใจของเธอไม่ได้คิดอะไร

การแยกบ้านกันคงจะเป็นเรื่องดีกับทุกคนมากกว่าจริงๆ ขืนยังให้คนหลายคนมาอยู่ร่วมกันมากขนาดนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วในใจแต่ละคนก็จะเปลี่ยนจากดีเป็นร้าย ถึงเวลานั้นก็คงจบไม่สวย

………………………………………………………………………………………………………………………

[1] ทุกอย่างพร้อมพรัก ขาดแต่ลมบูรพา หมายถึง ทุกอย่างได้ตระเตรียมไว้พร้อมแล้ว ขาดเพียงสิ่งที่สำคัญอย่างเดียว

สารจากผู้แปล

อ่านไปอ่านมาก็รู้สึกว่าเหวินเทาคือแม่ชิงเหอเวอร์ชันผู้ชายจริง ๆ ค่ะ ตรงที่ดูหาลู่ทางทำงานสบายที่ได้ผลตอบแทนเยอะมากกว่าลำบากแต่ได้ผลตอบแทนน้อยนี่แหละ

แยกบ้านไปทำฟาร์มกระต่ายน่าจะรุ่งนะคะบ้านนี้

ไหหม่า(海馬)